เล่ม 1 ตอนที่ 139 สถานที่พิเศษ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“จือฉี โยวเย่ว์สำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ” เจ้าอ้วนชวีไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ จึงคว้าตัวเว่ยจือฉีมาถาม

เว่ยจือฉีปัดมือเขาทิ้งแล้วพูดว่า “เจ้าถามข้าแล้วจะให้ข้าไปถามใครเล่า”

“พวกเราดูกันอย่างสงบดีกว่า” เป่ยกงถังพูด

พวกเจ้าอ้วนชวีต่างพากันเงียบมองดูซือหม่าโยวเย่ว์ท้าชนกับอสูรหมีดิน

สำหรับคนนอก กระบวนการฝึกนั้นก็คือมนุษย์หนึ่งคนกับสัตว์อสูรหนึ่งตนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไม่พูดไม่จา ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่มีอะไรน่าดูเลย นอกจากนี้ยังกินระยะเวลาค่อนข้างนานอีกด้วย

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกมาตั้งแต่เช้าจนบ่าย ก็ยังไม่มีใครจากไปเลย

ทุกคนล้วนอยากจะเห็นว่าคนไร้ค่าเมื่อวันวาน ไม่เพียงแต่จะสำเร็จเป็นนักหลอมยาเท่านั้น แต่ยังสำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรด้วยจริงหรือไม่ อยากเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จหรือไม่

เว่ยจือฉีกับคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรคนอื่นๆ ล้วนเชื่อว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักฝึกสัตว์อสูรกันหมดแล้ว ถ้าหากเธอมิใช่ เธอย่อมไม่มีทางต้านทานอสูรหมีดินได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้อยู่แล้ว

“ใกล้สำเร็จแล้วล่ะ” รองประธานสมาคมเห็นแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์เปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกเว่ยจือฉีมองไปทางอสูรหมีดินจึงเห็นว่ามันไม่มีความดุร้ายอยู่ในแววตาอีกต่อไปแล้ว ดูเชื่องพอๆ กับสัตว์อสูรวิเศษที่ขายอยู่ในร้านจำหน่ายสัตว์อสูรวิเศษเลยทีเดียว

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงลืมตาขึ้น พลังจิตมิได้อ่อนล้ามากจนเกินไปนัก

อสูรหมีดินนอนหมอบอยู่ในกรง ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปแล้วเปิดกรงออก อสูรหมีดินยังไม่รู้เลยว่าตัวเองออกมาได้

พอผู้คนในที่นั้นเห็นเธอเปิดกรงออกก็พากันตกใจจนร่นถอยหลังไป แต่เมื่อเห็นอสูรหมีดินมิได้ออกมาโจมตีผู้คนจึงได้ชมต่อไปอย่างสบายใจ

รองประธานสมาคมก้าวเข้ามามองดูอสูรหมีดินพลางเอ่ยว่า “ฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จแล้วจริงด้วย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำได้สำเร็จจริงๆ นอกจากนี้ยังใช้เวลาสั้นกว่านักฝึกสัตว์อสูรทั่วไปถึงหนึ่งในสามส่วนอีกด้วย มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สัตว์อสูรวิเศษที่ข้าฝึกนั้นยังมีความพิเศษอยู่อีกอย่างหนึ่งด้วยนะ”

“อะไรหรือ” รองประธานสมาคมถาม

“เจ้านายของสัตว์อสูรวิเศษตนนี้อยู่หรือไม่ ถ้าหากอยู่ ท่านก็ให้เขาทดสอบดูที่นี่ได้เลย เชื่อว่าผลลัพธ์ไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

รองประธานสมาคมมองชายวัยกลางคนที่รออยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง คนผู้นั้นก็เข้าใจแล้วเดินเข้ามา

ความจริงแล้วในตอนแรกเมื่อได้ยินว่าจะให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกสัตว์อสูรวิเศษของตนให้เชื่อง เขาไม่เห็นด้วยเลย แต่ตนได้มอบความไว้วางใจให้สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรดูแลสัตว์อสูรวิเศษตนนี้แล้ว รองประธานสมาคมก็มิได้พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น

คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะฝึกสัตว์อสูรได้สำเร็จจริงๆ ตอนนี้เขาเชื่อในสิ่งที่เธอพูดแล้ว จึงเริ่มคาดหวังในสิ่งที่เธอบอกว่ามีความพิเศษ

รองประธานสมาคมพูดว่า “เจ้าก็ได้ยินที่โยวเย่ว์พูดแล้วนี่ เจ้าอยากทำพันธสัญญาที่นี่เลยหรือไม่”

“ได้สิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์และรองประธานสมาคมถอยไปอีกด้านหนึ่ง คนผู้นั้นมาถึงตรงหน้าอสูรหมีดินแล้ววางมือลงบนหน้าผากของมันเพื่อเริ่มต้นทำพันธสัญญา

เพียงไม่นาน ค่ายกลพันธสัญญาก็ก่อตัวขึ้นเหนือจัตุรัส ห่อหุ้มหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้ภายใน หลังจากที่การทำพันธสัญญาสิ้นสุดลงแล้ว ค่ายกลนั้นจึงกลายเป็นลำแสงสีเงินสองสายพุ่งทะลุเข้าไปกลางหว่างคิ้วของมนุษย์กับสัตว์อสูรคู่นั้น

“ไม่เห็นมีสิ่งใดพิเศษเลยนี่!” ผู้คนในที่นั้นมองดูการทำพันธสัญญาที่มิได้แตกต่างไปจากปกติแล้วอดผิดหวังมิได้

เจ้านายของอสูรหมีดินเองก็สัมผัสไม่ได้ว่ามีสิ่งใดพิเศษ ในขณะที่คิดจะเอ่ยปากถามอยู่นั้นเอง พลังวิญญาณมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากมิติพันธสัญญา

เขารีบนั่งขัดสมาธิลงแล้วเริ่มเหนี่ยวนำการโคจรพลังของตน เพียงไม่นาน ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับก็เปล่งประกายออกมาในเวลาเดียวกัน ห่อหุ้มหนึ่งมนุษย์กับหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้อีกครั้ง

“สวรรค์เอ๋ย นี่พวกเขาเลื่อนระดับไปพร้อมกันอย่างนั้นหรือ!”

“ทำพันธสัญญาแล้วยังเลื่อนระดับได้อีกด้วย!”

“นี่มันวิธีการฝึกสัตว์อสูรอะไรกัน”

“มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!”

“……”

ผู้คนในที่นั้นล้วนพรั่นพรึงกับเหตุการณ์นี้ สายตาที่หันไปทางซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับมองสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว

ถ้าหากทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษที่เธอฝึกแล้วเลื่อนระดับได้ทั้งหมด เช่นนั้นพวกเขาให้เธอทำพันธสัญญาเสีย ก็มิใช่จะเลื่อนระดับได้เช่นเดียวกันหรอกหรือ!

รองประธานสมาคมเองก็ใช้ชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน แต่นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเรื่องอย่างการเลื่อนระดับหลังทำพันธสัญญาเช่นนี้ มิน่าเล่าเธอจึงบอกว่ามีต้นทุนในการร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร

ในขณะที่ทุกคนกำลังซุบซิบกันอยู่นั้น ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับก็แผ่ออกไปอย่างช้าๆ เจ้านายเลื่อนขึ้นสองระดับ ส่วนสัตว์อสูรวิเศษเลื่อนขึ้นหนึ่งระดับ

คนผู้นั้นลืมตาขึ้นแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขาลุกขึ้นคารวะซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายห้ามากที่ฝึกสัตว์อสูรให้ข้า หากวันหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับจวนแม่ทัพก็มาหาข้าได้เลย ข้าไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์อมยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ “ทว่าไม่มีจวนแม่ทัพอีกต่อไปแล้ว มีเพียงแค่จวนซือหม่าเท่านั้น หากเกิดเรื่องขึ้นในภายหน้า ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านอย่างแน่นอน”

“ท่านแม่ทัพซือหม่ามีหลานเช่นท่าน ย่อมต้องปลอดภัยไร้ปัญหาเป็นแน่ ถ้าหากไม่มีธุระใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

พูดจบแล้วเขาก็คารวะรองประธานสมาคมและซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะหมุนกายจากไป เขาเพิ่งจะเลื่อนระดับ ยังต้องกลับไปตกผลึกพลังยุทธ์ของเขาอีกสักหน่อย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จึงรู้ว่าตนบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เธอพูดกับรองประธานสมาคมว่า “ท่านรองประธานสมาคม พวกเรากลับกันเถิด”

“ได้สิ” รองประธานสมาคมพยักหน้าแล้วพาคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรออกมา เหลือเอาไว้เพียงแค่คนเก็บข้าวของเท่านั้น

เมื่อผู้คนที่มาชมดูความคึกคักเห็นตัวต้นเรื่องไปกันหมดแล้วจึงค่อยๆ แยกย้ายกันไป แต่ทุกคนมิได้ปล่อยให้เรื่องนี้เลือนหายไป หากแต่บอกกันปากต่อปาก ต้องบอกเล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ให้ผู้คนรู้กันมากขึ้นอีกสิ!

สือมั่วลี่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรอีกด้วย เมื่อนึกถึงว่าเธอยังหลอมยาได้ร้ายกาจกว่าตนอีกด้วย ถึงแม้จะรู้สึกขุ่นเคืองใจ ทว่าได้แต่จากไปอย่างเดือดดาลเท่านั้น

น่าหลานหลานเองก็ตกใจกับฝีมือของซือหม่าโยวเย่ว์เช่นกัน นางผู้เติบโตอยู่ในตระกูลใหญ่มาตั้งแต่เล็กย่อมรู้ว่าการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์ในวันนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นไร เมื่อนึกถึงว่าตระกูลของตนยังวางแผนจะลงมือกับตระกูลซือหม่า เธอจึงให้คนรีบกลับมาในทันทีแล้วบอกเรื่องนี้กับบิดาของตน

เมื่อกลับไปถึงสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร สายตาของผู้คนในสมาคมที่มองเธอก็แตกต่างจากเดิมเสียแล้ว ลำพังแค่เป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรก็ทำให้พวกเขายกย่องได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองอีกด้วย!

เมื่อกลับมายังโถงรับแขกอีกครั้ง รองประธานสมาคมก็ให้คนมาดูแลซือหม่าโยวเย่ว์กับพวกเว่ยจือฉีเจ้าอ้วนชวี หลังจากนั้นตนจึงออกไปครู่หนึ่ง

เขาจะต้องรายงานเรื่องในวันนี้ให้ท่านประธานสมาคมทราบสักหน่อย เดิมทีเขาเพียงแค่คิดง่ายๆ ว่าจะช่วยเหลือตระกูลซือหม่าสักหน่อยเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะต่อรองอย่างใหญ่โตว่าจะร่วมมือกับพวกเขา ซึ่งหมายถึงว่าเขาให้ผลประโยชน์กับซือหม่าโยวเย่ว์ได้มากกว่านี้ แต่ก็ต้องรายงานท่านประธานสมาคมสักหน่อย

ภายในโถงรับแขก พวกเจ้าอ้วนชวียังคงจมดิ่งอยู่กับเรื่องกระทบใจเมื่อครู่ ยังมิได้สติกลับคืนมา สายตาที่แต่ละคนมองซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดเลยทีเดียว แม้กระทั่งแววตาของเป่ยกงถัที่เคยพบเห็นผู้มีพรสวรรค์มาไม่น้อยก็มิได้แตกต่างจากพวกเจ้าอ้วนชวีเลย

“โยวเย่ว์ ที่แท้แล้วเจ้ายังมีเรื่องอีกมากมายเพียงใดที่ไม่ยอมให้พวกเรารู้กันแน่!” เจ้าอ้วนชวีบ่นพึมพำ

“แค่กๆ…” ซือหม่าโยวเย่ว์กระแอมกระไอแล้วพูดในใจว่าความลับของตนยังมีอีกไม่น้อยเลยจริงๆ

“โยวเย่ว์ เจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรตั้่งแต่เมื่อใดกัน” โอวหยางเฟยถามอย่างใคร่รู้

“คราวก่อนตอนกลับมาจากเทือกเขาผู่สั่ว ที่ข้าแยกจากพวกเจ้าก็กลับมาฝึกสัตว์อสูรวิเศษในเทือกเขานั่นแหละ ตอนนั้นรู้ว่าอาจเกิดเรื่องกับตระกูลซือหม่า จึงอยากจะยกระดับพลังยุทธ์ของพวกเราสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา”

“เจ้าจะบอกว่าเจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์อสูรภายในสิบกว่าวันนั่นน่ะหรือ!” เจ้าอ้วนชวีร้องอุทานอย่างตกใจ