ตอนที่ 249 กลับมาช้า
“……”
วันนี้เธอกลับมาช้าไปหน่อยไม่ใช่เหรอ?
เมื่อเธอตื่นเช้ามาในวันรุ่งขึ้น เธอยกมือขึ้นบิดขี้เกียจและก้มลงมองตัวเอง ไหนบอกว่าจะใส่เสื้อให้ฉันไม่ใช่เหรอ?
คนหลอกลวง!
เธอยกศอกขึ้นและตบไปที่หน้าอกที่เปลือยเปล่าของคนที่อยู่ข้างกาย “จิ่งเป่ยเฉิน นายมันคนโกหก!”
“อืม” เขาหลับตาพร้อมกับตอบรับเบา ๆ
ไม่คิดว่ายังจะตอบรับ หน้าด้านขนาดนี้เลยเหรอ?
เพราะงั้นระหว่างทางที่ไปทำงานเธอจึงไม่ได้คุยกับจิ่งเป่ยเฉินเลยสักคำ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเธอก็ไม่สนใจเขา
ดังนั้นทันทีที่ทั้งคู่เข้าบริษัท แม้แต่ฉีเซิงเทียนที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์ เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองคนก็ยังรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ดูแปลกไป
ในตอนนี้เขาไม่ได้เข้าไปพูดหยอกล้ออะไร เพราะต้องตรงไปที่ห้องทำงานของเขาก่อน เมื่อเดินผ่านห้องทำงานของหลินจือเซี๋ยวเขาก็เข้าไปด้านในด้วยความเคยชิน
เข้าไปด้วยท่าทางที่ไม่ได้รีบร้อน ฝีเท้าของเขาเดินเข้าไปด้านใน “หลินจือเซี๋ยว?”
หลินจือเซี๋ยวเงยหน้าขึ้นมองเขา พร้อมเปิดลิ้นชักและหยิบกล่องสร้อยคอขึ้นมา “ประธานฉี สร้อยคออยู่นี่ค่ะ”
หลังจากที่ฉีเซิงเทียนมอบสิ่งนั้นให้กับเธอ เธอมักจะหยิบกล่องนั้นออกมาและพยายามคืนให้กับเขาทุกครั้ง
ฉีเซิงเทียนไม่ได้มองสร้อยคอนั้นเลยด้วยซ้ำ สายตาเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ “เธอไม่ได้เป็นอะไร เปลี่ยนทรงผมใหม่ทำไมกัน?”
มันดูดีมาก ๆ เลย
แต่คำพูดนั้นเขาไม่ได้พูดออกไป
“คิดว่า…นัดบอดค่ะ” เธอเองก็รู้ว่าเขาคงจะไม่ยอมรับ เธอจึงตอบกลับไปโดยไม่ได้มองตาเขา
“นัดบอด?” เธอเป็นเลขาของประธานจิ่ง จำเป็นต้องนัดบอดงั้นเหรอ?
“ความจริงแล้ว…ฉันไม่ถือสาถ้าจะใช้กับเธอ”
“ประธานฉี!” เธอรีบก้มหน้าลงและตัดบทเขาทันที “ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีก ถ้าหากคุณจะมาคุยเรื่องไร้สาระ รบกวนกลับไปห้องทำงานของตัวเองเถอะค่ะ”
เธองานยุ่งมากจริง ๆ งานเลี้ยงปีใหม่ของตระกูลจิ่งใกล้มาถึงแล้ว ซึ่งเป็นงานใหญ่ของตระกูลจิ่งในทุก ๆ ปี รายละเอียดของงานเลี้ยงทุก ๆ อย่างเธอต้องเป็นคนตรวจเช็กทุกครั้ง ตรวจเช็กแล้วเช็กอีก ห้ามเกิดข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด
“เธอไปนัดบอดที่ไหน? ไปกับใคร?” เขามองเธอด้วยความสนใจ เพื่อไปนัดบอดเลยเปลี่ยนทรงผมงั้นเหรอ?
“ประธานฉีคะ วันนี้คุณ….” เธอชี้ไปที่ศีรษะ “มีปัญหาเหรอคะ?”
“หลินจือเซี๋ยว!” สมองเขามีปัญหาที่ไหนกัน เห็นชัด ๆ ว่าสายตาต่างหากที่มีปัญหา
“ใช่!” เธออาจจะอยู่กับโหรวโหรวนานเกินไป ไม่คิดว่าจะกล้าพูดออกมาแบบนี้
เขามองเธอที่ยกคางและหลบสายตา ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “งานเลี้ยงปีใหม่สัปดาห์หน้า เธอต้องเป็นคู่เต้นรำของฉัน!”
“หือ?” เธอมองไปที่สร้อยคอเส้นนั้น หยิบกลับมาช้า ๆ “เมื่อถึงเวลานั้นก็ใส่สร้อยนี้”
ฉีเซิงเทียนมองท่าทางของเธอ พลันก็รู้สึกมีความสุขที่ทำสำเร็จ ก่อนจะหมุนตัวกลับออกไป ทันทีที่ออกจากห้องไปก็หยุดและหันกลับไปมองเธออีกครั้ง “ผมทรงนี้น่ารักใช้ได้เลย”
“จำเป็นต้องฟังนายเหรอ!” เธอตะคอกไปก่อนจะก้มลงทำงานต่อ
แต่ยังไม่ทันผ่านไปสองนาที เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นฉีเซิงเทียน
เธอรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “ประธานฉียังมีอะไรสั่งอีกไหมคะ?”
ฉีเซิงเทียนรีบเดินเข้ามาหา สายตาจับจ้องไปที่ร่างกายของเธอ “เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าเธอนัดบอดไว้กี่โมง ไปเจอกันที่ไหน และเขาเป็นใคร?”
“แล้วทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย?” ตอนนี้บริษัทจิ่งถามเรื่องส่วนตัวกันแล้วเหรอ? หรือไม่ยอมให้ไปเดต? มีเหตุผลหรือเปล่า?
“จะบอกไม่บอก!” ฉีเซิงเทียนตะโกนถาม เขาไม่เชื่อว่าหลินจือเซี๋ยวจะกล้าไม่ตอบคำถามของเขา
เธอที่ถูกเขาคำรามใส่จะไม่ตอบได้ยังไงกัน คำตอบอยู่ในหัวก็ตอบออกไปโต้ง ๆ “คืนวันศุกร์นี้ที่จื่ออวี๋ คู่เดตคือเซว์มู่”
“เซว์มู่?” ทำไมไม่ชื่อเซี่ยมู่! เป็นชื่อที่ไม่น่าฟังจริง ๆ เขาที่ยังไม่ทันได้เห็นตัวจริงก็ดูหมิ่นแล้ว
“แล้วพ่อเขาแซ่เซี่ยที่ไหนกัน!”
“หลินจือเซี๋ยว! เธอไม่ต้องมาพูด!” ฉีเซิงเทียนมองเธอ ผู้หญิงคนนี้เริ่มเป็นคนหงุดหงิดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอนอกจากจะตั้งใจทำงานมาก ๆ แล้ว เธอยังมุ่งมั่นต่อหน้าจิ่งเป่ยเฉินและเขา แต่ตอนนี้กลับกล้าแกล้งพูดเล่นกับเขาแล้ว
หรือว่าเป็นเพราะอันอีหานที่ตอนนี้เป็นผู้หญิงของจิ่งเป่ยเฉิน เธอจึงมีคนคอยหนุนหลังให้ถึงได้กล้าขนาดนี้?
เธอเม้มริมฝีปากโดยไม่ได้พูดอะไร
นอกจากนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะพูด เป็นเขาที่ถามและให้เธอตอบ ตอนนี้มีคนครอบงำอยู่หรือเปล่า?
เป็นครั้งแรกที่ฉีเซิงเทียนถูกผู้หญิงยั่วยุและปั่นหัวเล่นขนาดนี้ เขาหันหลังกลับและเดินออกไปจากห้อง
หลินจือเซี๋ยวมองเขาเดินออกไปอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าฉีเซิงเทียนถูกผู้หญิงที่อื่นกระตุ้นมาเลยวิ่งมาระบายอารมณ์ที่ห้องเธอ?
เธอสั่นไปทั้งตัว ประธานฉีคนนี้ดูท่าทางควรจะอยู่ห่าง ๆ ไว้จะดีที่สุด
…….
อันโหรวไปที่ห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉิน เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นโต๊ะทำงานของเขามีดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่วางอยู่ และเห็นว่าเก้าสิบเก้าดอก
“โอ้! ประธานจิ่งดูคึกคักมีชีวิตชีวาเป็นด้วย! ดอกกุหลาบส่งถึงห้องทำงานเลย” เธอเดินกอดเอกสารเข้ามา เพราะไม่มีคนอื่น ๆ อยู่เธอเลยพูดหยอกล้อออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ
จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้ามองเธอที่เดินเข้ามาใกล้จนเธอหยุดอยู่ตรงหน้า เขาพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ “สำหรับเธอ”
“จริงหรือเปล่า? จะให้ของฉันไม่ควรจะมาให้ที่ทำงานหรือเปล่า? นายวางไว้ตรงนี้เพื่อรอให้ฉันมาหยิบไปงั้นเหรอ? แบบนี้มีที่ไหนกัน?” วันนี้ถือว่าเธอเคยเห็นมาก่อนแล้ว
“มี ฉันไง” เขารีบส่งสายตาไป หากไม่ถูกเธอทิ้งสิแปลก เพราะงั้นวางเอาไว้ตรงนี้รอให้เธอมาเอาไป
หากเธอรับได้ก็หยิบมันไป ถ้ารับไม่ได้ก็วางไว้บนโต๊ะทำงานของเขาดีกว่าไปโยนทิ้งที่ห้องทำงานของเธอ
“เซ็นเอกสารเถอะค่ะ!” เธอเปิดแฟ้มเอกสารขึ้นมาโดยไม่ได้สนใจดอกกุหลาบช่อโต ทำเพียงแต่มองหน้าเขา “ประธานจิ่งคะ ทำไมยังไม่เชิญคุณวิเวียนมาทำงานที่บริษัทอีกคะ?”
ไม่มีแม้แต่ประชาสัมพันธ์ใด ๆ โอวหยางลี่เองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้วิเวียนตอบรับกับจิ่งเป่ยเฉินแล้วว่าจะเซ็นสัญญากับทางตระกูลจิ่ง
ชายคนนี้กำลังเล่นหมากอะไรกันแน่?
เธอไม่ต้องการให้เธอเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง ๆ ทางที่ดีคือไม่ควรเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เธอไม่โกรธแล้วเหรอ?” เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เพียงแต่มองเธอ ปากกาที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่ได้หยิบขึ้นมาเซ็น
เธอไม่ให้อภัยเขา เขาก็จะไม่เซ็นสินะ?
ยังมีคนที่ไร้เดียงสาแบบนี้อยู่อีกเหรอ?
“ฉันไม่ได้โกรธแล้ว” ความจริงเธอเบื่อหน่ายที่จะโกรธ “คืนนี้นายให้ฉันนอนพักผ่อนอย่างสงบสักคืนแล้วฉันจะไม่โกรธเลย””
จิ่งเป่ยเฉินกลอกตาไปทางขวา ดอกกุหลาบสีแดงที่เขามองอยู่นั้น เขาเอื้อมมือไปตรงหน้าเธอ “เธอยังจำคำสาบานแรกได้อยู่ไหม?”
“จิ่งเป่ยเฉินนายจะไม่จบจริง ๆ ใช่ไหม?” เธอหมุนตัวไปอีกทาง จะไม่ยอมให้เขากดขี่แบบนี้อีกต่อไป ครั้งนี้พูดอะไรไปก็จะไม่ให้อภัยเขาแล้ว ไม่เด็ดขาด
“ที่รัก เธอจะพูดอะไรก็ตามนั้น” เขาหยิบปากกาบนโต๊ะขึ้นมาเซ็นเอกสารอย่างชำนาญ “ไม่โกรธแล้วใช่ไหม?”
“รอดูพฤติกรรมนาย!” เธอหยิบเอกสารขึ้นมาแล้วหมุนตัวกลับออกไปทันที
“ดอกไม้…..” จิ่งเป่ยเฉินมองช่อดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ ดอกไม้ช่อนี้กินพื้นที่โต๊ะทำงานเสียจริง
ภาพที่เธอตอบกลับมาอย่างเด็ดขาด เขาจ้องมองไปที่ดอกไม้หนึ่งนาทีก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาและเดินไปด้านนอก
ทันทีที่เดินออกมา ฉีเซิงเทียนก็เดินผ่านมา พลางมองมาที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง “พี่เฉินโคตรโรแมนติกเลย!”
นี่ภาพลวงตาหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมวันนี้ทุกคนดูมีปัญหากันจัง?