ตอนที่ 248 บอกใบ้

หลินจือเซี๋ยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทำท่าทางมองซ้ายมองขวาและเหลือบมองไปเห็นเหอเฉ่าที่นั่งอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงแม้ว่าจะเห็นเพียงดวงตาคู่นั้น แต่เธอก็สามารถจดจำมันได้ในทันที ดวงตาที่เหมือนกับองุ่นสีดำแจ๋วแหววเสียขนาดนั้น ยังไงเธอก็จำมันได้

เมื่อสบตากับเธอแล้ว เหอเฉ่าก็จำเธอได้เช่นเดียวกัน ก่อนจะพยักหน้าให้เบา ๆ ทำท่าทางราวกับบอกใบ้อะไรบางอย่าง

หลินจือเซี๋ยวเหลือบมองไปที่ฝั่งตรงข้ามของเธอก็เห็นว่ามีถ้วยกาแฟอีกหนึ่งใบ ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงชื่อของเหอเหมียว ไม่ใช่ว่าเธออยู่ที่นี่ด้วยหรอกใช่ไหม?

เธอรีบมองไปที่ห้องน้ำอย่างกังวลใจ เธอรู้สึกว่าตัวเองชักจะเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว โหรวโหรวคงไม่ใช่ว่าเผชิญหน้ากับเหอเหมียวอยู่หรอกนะ ในตอนนี้เธอเองก็ไม่ชอบโอวหยางลี่อีกแล้วด้วย มีจิ่งเป่ยเฉินอยู่ข้างกาย โอวหยางลี่นั้นก็ช่างมันสิ!

สงบจิตใจเอาไว้นะ! อันเปียวหาน[1]ของเธอร้ายกาจจะตาย!

เพียงแต่หลังจากนั้น หลินจือเซี๋ยวก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นคิดผิด อันโหรวไม่ได้พบเหอเหมียวในห้องน้ำแต่อย่างใด แต่ที่น่าแปลกคือเหลียวเว่ยที่เดินออกมานั่นต่างหาก

ในโลกใบนี้บางครั้งก็มีเรื่องฉงนอย่างน่าสงสารจริง ๆ

ดูเหมือนว่าตัวเธอนั้นจะตั้งท้องมาได้เดือนกว่าหรือสองเดือนแล้ว ท้องส่วนล่างยังไม่ปูดออกมามากเท่าไร ทางด้านอันโหรวเองเมื่อเห็นเหลียวเว่ย เธอก็รีบล้างมือและคิดจะออกจากห้องน้ำไปทันที

“เดี๋ยวก่อน!” เหลียวเว่ยปิดก๊อกน้ำ ก่อนจะหันหน้าไปมองเธอ

“คุณนายโอวหยาง มีธุระอะไรเหรอคะ?” เธอแค่เหลือบมองไปที่ตัวเธอเท่านั้นเอง ไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายใส่เธอเสียหน่อย แต่ดูท่าทางเธอที่มองมากลับเหมือนว่าเธอได้ทำเรื่องบางอย่างที่ไม่น่าให้อภัยเสียอย่างนั้น?

“เธอไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับใครใช่ไหม?” เธอตั้งแง่กับอันอีหานที่อยู่ตรงหน้าเธอไว้ก่อน เรื่องก่อนหน้านั้นก็เป็นตัวเธอเองที่ลากอันอีหานคนนี้ไปที่บ่อน้ำพุ เธอไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะใจดีเก็บความลับพวกนี้เอาไว้ให้

ทัศนคติต่อตัวอันอีหานนั้นดูไร้ซึ่งคำพูด เธอเชิดคางของตัวเองขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางที่ร้องขอ ดูยังไงก็ยังคงเป็นเหลียวเว่ยคนเดิมที่ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ตัวตนของเธอก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนกับคุณนายโอวหยางหรอกนะคะ ที่ปากสว่างเสียขนาดนั้น” เธอหมุนตัวและเดินออกไปข้างนอกทันที

เหลียวเว่ยมองท่าทีของเธอพลางรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย ลูกน้อยของเธอนั้นจะเป็นไพ่ตายต่อรองสุดท้าย ถ้าหากว่าโอวหยางลี่รู้ว่าอันโหรวกลับมาแล้ว เขาคงไม่อยากให้เด็กคนนี้เกิดมาแน่ ๆ

พูดกันตามตรง เขาไม่มีทางที่จะคิดถึงเรื่องพวกนี้หรอก ไม่อย่างนั้นหลายปีมานี้โอวหยางลี่ก็คงจะมีเด็ก ๆ ออกมาวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วท้องถนนตั้งนานแล้ว!

ซึ่งถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็จะเห็นได้ชัดว่าตัวเขานั้นทรยศต่ออันโหรว แต่ยังแสร้งทำเป็นรักใคร่อยู่เหมือนเดิม แต่เธอนั้นกลับแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เธอยังคงชื่นชอบในตัวเขาอยู่เช่นเคย ต่อให้เขาจะไม่ชอบเธอแล้วก็ตาม

เธอรีบก้าวไปด้านหน้าและคว้าข้อมือของเธอไว้ “อันอีหาน ถือว่าฉันขอร้องเธอ เรื่องนี้ไม่ว่ายังไงเธอก็ห้ามพูดออกไปเป็นอันขาดนะ เรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นเป็นฉันที่ผิดเอง ฉันขอสาบานเลยว่าหลังจากนี้จะไม่คิดทำร้ายเธออีกแล้ว! ฉันแค่อยากให้ลูกน้อยของฉันได้เกิดมาอย่างปลอดภัยเท่านั้นเอง”

อันโหรวรีบดึงมือของตัวเองออกทันที ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอนั้นเผยรอยยิ้มที่ดูจริงใจ เพียงแต่สำหรับเหลียวเว่ยที่มองดูแล้ว เธอรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ไม่ใช่รอยยิ้มที่จริงใจเท่าไรนัก

“คุณนายโอวหยาง ฉันจะไม่พูดอะไรไร้สาระแน่นอน แต่ตัวคุณเองเถอะ หวังว่าคงไม่ปากสว่างออกไปก่อนนะ” เธอไม่ได้รู้สึกหดหู่ใจกับสิ่งที่หญิงตั้งครรภ์คนนี้ทำเลยแม้แต่นิดเดียว

เหลียวเว่ยรีบปิดปากของตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปมองที่ห้องน้ำด้านหลัง และสังเกตว่าไม่มีอะไรเคลื่อนไหว เธอเองก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ก่อนที่เธอจะเดินออกไปอย่างรวดเร็วทันที

อันโหรวเดินไปข้างนอกอย่างจนปัญญา พูดกันตามหลักแล้ว ผู้หญิงคนนี้ตอนที่ได้ตั้งท้องควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ? ถึงแม้ว่าโอวหยางลี่จะไม่อยากได้ลูก แต่กลับกันเฉาลี่เฟยนั้นอยากได้หลาน เธอคงไม่ยอมให้โอวหยางลี่มาทำให้เธอต้องแท้งหรอก แล้วทำไมเธอถึงต้องกังวลขนาดนั้นด้วย?

หลังจากที่เธอออกไปแล้ว เธอก็ได้หยิบกระเป๋าและเดินออกไปพร้อมกับหลินจือเซี๋ยว “เมื่อกี้ฉันเห็นเหลียวเว่ย พวกเธอได้พูดคุยอะไรกันหรือเปล่า? ทำไมยัยผู้หญิงคนนั้นถึงได้ทำสีหน้าดูหงุดหงิดแบบนั้นด้วย?”

“กลัวตัวเองมั้ง” เธอไม่มีอะไรจะพูดกับคนนอกแบบนั้นด้วยซ้ำไป

จิ่งเป่ยเฉินเองก็แทบไม่ได้พูดอะไร ที่จริงตอนนี้เรื่องพวกนี้เธอก็แทบจะปิดบังอะไรจิ่งเป่ยเฉินไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำอีกต่างหาก

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องพวกนี้หรอก วันนี้เป้าหมายของเธอก็คือใช้สายตาที่เป็นมืออาชีพด้านความงามนั้นหาชุดและทรงผมที่ดูสดใส เตรียมให้ฉันไปนัดบอดวันอาทิตย์ดีกว่านะ” หลินจือเซี๋ยวจับมือเพื่อนรักของตนและเดินออกไปอย่างตื่นเต้นท่ามกลางถนนคนเดิน

เหอเฉ่าที่นั่งอยู่ตรงมุมที่เงียบสงบ เมื่อครู่นี้เธอเห็นอันโหรวและหลินจือเซี๋ยวออกไปข้างนอกร้านแล้ว ผ่านไปสักพักเหอเหมียวก็ออกมาจากห้องน้ำ

“ทำไมเธอไปนานจัง ยังจะไปซื้อของอยู่หรือเปล่า?” เธอเอ่ยกระซิบถาม

เหอเหมียวคิดถึงสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อครู่นี้ว่าเหลียวเว่ยตั้งท้องแล้ว เธอกำลังจะมีลูก เรื่องพวกนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่ ๆ

ถ้าหากเหลียวเว่ยตั้งท้องละก็ แล้วเธอจะอยู่กับพี่โอวหยางลี่ยังไง เธอจะมีลูกไม่ได้เด็ดขาด!

เธอแสร้งทำตัวเป็นสงบนิ่งพลางจิบกาแฟอุ่น ๆ อีกครั้ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่ไปดีกว่า! พอดีฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอกลับก่อนนะ”

“งั้นเหรอ? งั้นพวกเราก็ออกไปด้วยกันเถอะ!” เหอเฉ่าหยิบกระเป๋าขึ้นมาแนบตัวและมองดูเธอที่กำลังจะลุกขึ้น

เหอเหมียวจิบกาแฟขึ้นอีกรอบ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไป

ในวันนั้นอันโหรวกับหลินจือเซี๋ยวซื้อเสื้อผ้ามาสองชุด พร้อมกับตัดผมสั้นประบ่า ผมสีน้ำตาลแดงลอนผมเล็กน้อย แม้ว่าทรงผมก่อนหน้านั้นจะดูดีมากอยู่แล้ว แต่เมื่อทำทรงผมสั้น ๆ แบบนี้กลับให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน

เวลาก็ได้ล่วงเลยไปยันค่ำ ก่อนจะหาข้าวเย็นกินที่ข้างนอกแล้วเธอก็ค่อยกลับบ้านไป

เธอเดินเข้าประตูไปพร้อมกับลมหนาวที่พัดผ่าน ก่อนจะชนกับหน้าอกที่อบอุ่นเข้าอย่างจัง หลังจากนั้นก็ถูกคนตรงหน้ากอดเอาไว้อย่างแน่นแน่น “หนาวไหม?”

“ไม่หนาว” เธอเป็นกังวลว่าถ้าหากตัวเองไม่กลับคงมีใครบางคนโกรธแน่ ๆ

“ฉันหนาว” จิ่งเป่ยเฉินกอดเธอไว้แน่นมาก ตอนที่เธอเดินออกไปนั้นบอกกับเขาว่าจะรีบไปรีบกลับ แต่ครั้งนี้เธอได้กลับมาช้ามากจริง ๆ สามทุ่มแล้วถึงได้กลับมา

สิ่งที่เขาพูดนั้นดูไร้สาระมากเลยใช่ไหม? ภายในห้องแม้จะมีเครื่องทำความอุ่น อีกทั้งตัวเขาก็สวมแต่ชุดนอน เธอยังรู้สึกว่าตัวเขานั้นร้อนเสียยิ่งกว่าคำพูดที่เขาเพิ่งพูดออกมาว่าหนาวด้วยซ้ำ

“จิ่งเป่ยเฉิน นายต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับเด็ก ๆ นะ ห้ามพูดโกหกสิ” เธอขยับตัวไปมา เพียงแต่อ้อมกอดนี้กลับแน่นกว่าที่คิด มันทำให้ตัวเธอรู้สึกว่าหายใจได้ค่อนข้างยาก

“ฉันพูดโกหกตรงไหน?” เขายกมือขึ้นปิดประตูและกอดเธอพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน

คิดจะทวงความแค้นกันหรือไง?!

เธอถูกลากและผลักไปที่เตียงใหญ่ เธอคิดจะม้วนตัวเพื่อหลบออก แต่ก็พบว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นหนาไปหน่อย จึงทำให้การเคลื่อนไหวไม่ค่อยเป็นไปอย่างใจนัก และก็ถูกเขาจับข้อเท้าดึงเข้ามาที่ด้านหน้าพร้อมกับลากลงไปบนเตียง

การเคลื่อนไหวของเขานั้นเร็วมาก เธอที่เพิ่งจะลุกขึ้นยืน กลับถูกมือของเขาจับไปที่เอว เธอจึงต้องเงยหน้ามองไปที่เขา “ที่รักขา วันนี้ขอพักก่อนนะ!”

“เธอพูดอะไร?” ทำไมเขาเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย!

“วันนี้อากาศดีไม่เลวเลยนะคะ” เธอหันหน้ามองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิท พร้อมกับพูดจาที่ดูเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนขึ้นมา

เขาก้มหน้าลงและมองไปที่เธอด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงผ้าพันคอของเธอออก “เธอจำคำสาบานของฉันได้ไหม?”

ผ้าพันคอเริ่มหลุดออกทีละนิด ทีละนิด ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงไอเย็นที่สัมผัสกับลำคอของเธอ น้ำเสียงของเขานั้นยังคงดังกังวานอยู่ในหูของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

เธอไม่อยากจะพูดถึงคำสาบานที่เขาเคยพูดไว้ จึงทำท่าปิดปากสนิทแล้วจ้องตาเขาแทน

เมื่อเขามองไปที่ปากเล็ก ๆ ที่ปิดสนิทของเธอ ก่อนจะหันหน้าไปจูบแก้มใสแทน เสื้อตัวใหญ่เริ่มหลุดออกไปทีละเล็กทีละน้อย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ตัวเธอขยับมาอยู่ที่กลางเตียงแล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่นี้เพิ่งจะอยู่ที่ขอบเตียงแท้ ๆ

“ที่รักขา มันหนาวนะ! ฉันอยากจะนอนพร้อมกับเสื้อผ้าแบบนี้แหละ ห้ามถอดนะ!” เธอหรี่ตาลงก่อนจะมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“ถอดก่อนสิ เดี๋ยวฉันช่วยใส่ให้” การกระทำของเขาแทบไม่มีทีท่าที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย

ตั้งแต่ต้นฤดูหนาว จะมีสักครั้งไหมที่เธอจะได้สวมเสื้อผ้านอนบ้างเนี่ย?

[1] หลินจือเซี๋ยวใช้คำพ้องเสียงที่คล้ายคลึงกับอันอีหาน เปียวหาน แปลว่า กล้าหาญ