ตอนที่ 247 ศัตรูที่พานพบแปดชั่วโคตร
เธอรู้สึกว่าพวกเขาน่าจะจับมือกันกลับมา เพราะท่าทางพวกนี้อย่างน้อยจะได้ช่วยกระชับความรู้สึกของพวกเขาให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่เมื่อมองดูใบหน้าที่หล่อเหลาทั้งสองคนนั้น ช่างดูสูงส่งกว่าคนทั่ว ๆ ไป ใบหน้าที่แสนเย็นชาเมื่อมองผ่าน ๆ ดูคล้ายกับศัตรูที่พานพบมาแปดชั่วโคตรอย่างไรอย่างนั้น
“อยากให้ฉันช่วยอุ้มไหม?” จิ่งเป่ยเฉินยื่นยาในมือของเขาให้หยางหยาง หยางหยางเองก็รับยามาโดยไม่แม้แต่จะมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินแต่อย่างใด
“ไม่ต้องหรอก นายขับรถไป เรื่องอุ้มฉันอุ้มได้ตลอดทางอยู่แล้ว” เธออุ้มหน่วนหน่วนไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกด้วยรอยยิ้มที่เผยออกมาเล็ก ๆ
ระหว่างทางกลับบ้านอันโหรวก็ได้รับโทรศัพท์จากหลินจือเซี๋ยวที่เป็นห่วงตลอดทาง เธอจึงให้หน่วนหน่วนพูดแทน เมื่อหน่วนหน่วนบอกกับเธอว่าไม่เป็นอะไร ในที่สุดเธอก็วางสายไป
หลังจากนั้นหน่วนหน่วนก็ได้พักพิงหลับไปในอ้อมแขนของแม่ เมื่อกลับมาถึงบ้านเธอก็อุ้มหน่วนหน่วนไปที่เตียง พร้อมจัดแจงที่นอนให้ลูกน้อย ก่อนจะก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้กับตัวเธอ
หยางหยางเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำร้อนในมือ “แม่จ๋า”
เธอรับแก้วน้ำมาพลางมองไปยังใบหน้าของหยางหยางที่ดูเหมือนกับกำลังตำหนิตัวเอง เธอยื่นมือไปลูบที่แก้มของเขาและพูดขึ้นว่า “หยางหยาง ไม่เป็นอะไร ไม่ใช่ความผิดของลูกนะ อย่าโทษตัวเอง”
“แม่จ๋า ผมเป็นพี่ชายนะ!” เขาควรจะดูแลน้องสาวให้ดี ๆ กว่านี้ ไม่ว่าเธอจะบาดเจ็บจากอะไรก็ตาม ล้วนถือว่าเป็นความผิดของเขาอยู่ดี
“หยางหยางหนูทำได้ดีแล้ว แต่นี่เป็นจุดที่ไม่ดีเท่านั้นเอง” เธอพูดเสียงต่ำ เพราะไม่อยากปลุกหน่วนหน่วนที่นอนอยู่ แต่ด้วยคำพูดบางอย่างทำให้เธอต้องพูดกับเขาในทันที
“มีตรงไหนที่ไม่ดี? ผมจะได้ปรับปรุงมัน” เขาก้าวเดินมาหาเธอหนึ่งก้าว ก่อนจะหยุดและยืนอยู่ตรงหน้า คิดอยากจะกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของแม่
“วันนี้หนูกับพ่อจ๋าไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลและรับยา ทำไมช่วงที่กลับมาหนูถึงได้ดูไม่มีความสุขคะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ? หรือพ่อจ๋าพูดอะไรกับหนู?” เธอมองดูจากท่าทางจิ่งเป่ยเฉินที่จริงจังในตอนนั้น เธอก็พอจะเข้าใจถึงความชัดเจนที่เขาทำตัวแข็งกร้าวต่อหน้าหยางหยาง และเผยให้เห็นถึงความรักที่เขามีต่อหน่วนหน่วน
การสั่งสอนเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงนั้นแตกต่างกันมาก แน่นอนว่าหยางหยางกับหน่วนหน่วนก็ปฏิบัติต่อเขาแตกต่างกันเช่นกัน
ถ้าหากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ เธอก็คงไม่สร้างข่าวเชิงลบให้หยางหยางเห็นต่อหน้าเป็นอันขาด ดูท่าทางของจิ่งเป่ยเฉินคงขอให้เธอช่วยล้างข่าวเชิงลบพวกนั้นให้สะอาดแน่ เพียงแต่ต่อให้ล้างหรือช่วยแก้ไขมันยังไง ถ้าหากว่าหยางหยางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจิตใจของเขาจะไม่หันเหและแปรเปลี่ยน เรื่องพวกนี้ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะให้เขาเปลี่ยนทัศนคติต่อตัวจิ่งเป่ยเฉินแน่ ๆ
“พูดครับ…” เขาพยักหน้า “ผมยอมรับว่าที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ไม่ได้โกรธเขาเลย”
ที่แท้ก็พูดจริง ๆ ด้วย!
แต่อยากจะรู้เหลือเกินว่าเขานั้นพูดอะไรกับลูกกันแน่
หยางหยางดูเหมือนจะเดาความคิดของเธอออกได้ จึงอธิบายให้ฟังว่า “พ่อจ๋าบอกว่าผมควรโทรหาเขา พวกเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน ก็ควรปกป้องผู้หญิงในครอบครัว!”
ที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่ง แต่ทางที่ดีอย่าให้แม่จ๋าต้องเป็นห่วงคงดีกว่า
ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นความผิดของเขา ในช่วงเวลานั้นเขาตื่นตระหนกไปหมด และเมื่อคิดจะโทรศัพท์ไปหา อาจารย์ลู่ก็ได้โทรศัพท์ไปหาแม่จ๋าเสียแล้ว
จริง ๆ เขาไม่อยากจะให้แม่จ๋าต้องเป็นห่วงเลยสักนิด
“พ่อจ๋าเขาทำตามอำเภอใจ ลูกยังเด็กอยู่ แน่นอนว่าแม่จ๋าต้องปกป้องลูกสิ” เธอลูบผมของเขาเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “ไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อเห็นหยางหยางพยักหน้าตอบกลับ และหน่วนหน่วนก็หลับสนิทไปแล้วแบบนั้น เธอจึงออกมาจากห้องหน่วนหน่วนทันที และกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง
“จิ่งเป่ยเฉิน!” เธอเดินไปหาคนที่กำลังนั่งดูโน้ตบุ๊กอยู่ที่โซฟา “พวกเรามาคุยเรื่องการสั่งสอนลูกกันหน่อยสิ”
“ฉันคิดว่าพวกเราควรจะพูดถึงลูกอีกคนมากกว่านะ” เขาละสายตาจากหน้าจอและเงยหน้าขึ้นไปมองเธอ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยท่าทีที่สนใจ
อันโหรวไม่สนใจใบหน้าที่เย็นชาของเขาแม้แต่น้อย ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเขา พลางพูดถึงชายอีกคนที่อยู่อีกห้องขึ้นมา
“เรื่องลูกสาวฉันไม่สนเท่าไรหรอก แต่หยางหยางเขาเป็นเด็กผู้ชาย พวกเราตระกูลจิ่ง เมื่อเป็นเด็กผู้ชายก็ควรเป็นแบบฉัน ไม่ต้องมาขอร้องแทนเขาหรอก ไม่มีประโยชน์” เขาไม่อยากให้เด็กผู้ชายที่เหมือนกับตัวเองในวัยเด็กต้องไปเผชิญโลกแบบอ่อนแอ
อันโหรวรู้สึกเหมือนกับตั้งคำถามและถูกฆ่าทิ้งในพริบตา ทำให้เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ!
“แต่เขายังเด็กอยู่ จะให้รับผิดชอบอะไรมากมายขนาดนั้น และฉันก็รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องเหมือนกับนายเสมอไปก็ได้ ถ้าเขากล้าทำตัวเหมือนนาย ไปต่อสู้ ยกพวกตีกับคนอื่น ๆ ตั้งแต่สิบขวบแบบนั้นละก็ ฉันกับเขาได้ตัดสายสัมพันธ์แม่ลูกแน่ ๆ” เธอพูดจายุ่งเหยิงขึ้น
“เรื่องมันผ่านมานานขนาดนั้นแล้วเธอยังจำได้ด้วย?” เขาวางโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะกาแฟ ก่อนจะค่อย ๆ ประสานมือเข้าหาตัวเธอและดึงเธอให้มานั่งข้าง ๆ เขา
และนั่นไม่ใช่การต่อสู้แบบกลุ่ม แต่เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
โหรวโหรวเธอแน่ใจหรือเปล่าว่าความทรงจำของเธอไม่ได้มีปัญหา?
“ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม? ฉันเองก็เคยได้ยินมาก่อนนั่นแหละ” เธอเริ่มแสร้งทำเป็นสับสน ตอนนี้เธอใช้ชีวิตได้ดีมากแล้ว แต่เธอก็ไม่อยากปล่อยให้หยางหยางต้องเผชิญกับสิ่งที่เธอยังไม่กล้าแม้แต่จะสัมผัสในอนาคตพวกนั้น
แค่มีคนเดียวในบ้านก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
“เธอมานี่สิ ฉันจะได้บอกรายละเอียดทีเดียว” เขาเม้มปากพร้อมกับประสานมือทำท่าทางและเผยรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูแล้วท่าจะไม่ใช่เรื่องดี
“ฉันยังมีงานต้องทำ วันนี้คุยกันแค่นี้แหละ” เธอรีบลุกขึ้นจากโซฟาอย่างเศร้าหมองและพูดว่า “ฉันจะไปหาหน่วนหน่วน นายไม่ต้องตามฉันมานะ!”
ประตูห้องนอนถูกปิดลงอย่างรุนแรงดัง จิ่งเป่ยเฉินมองดูเธอจากไป ก่อนจะรีบเอาโน้ตบุ๊กขึ้นมาตรงหน้าและทำงานต่ออีกครั้ง
หลายวันผ่านไป ในที่สุดผ้าพันแผลที่พันไว้บนหน้าผากของหน่วนหน่วนก็ค่อย ๆ คลายออกมา ปรากฏรอยแผลที่เป็นสีม่วงตื้น ๆ ขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น อันโหรวจึงให้เธองดอาหารที่ไม่จำเป็นและให้เธอกินของดี ๆ ที่ช่วยลบรอยแผลเป็นแทน
เมื่อเห็นว่ารอยแผลเป็นบนหน้าผากของเธอจางลงและไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นใด ๆ เอาไว้ เธอก็ค่อย ๆ เบาใจมากขึ้น
หน่วนหน่วนของเธอนั้นยังคงสวยงดงามเหมือนเช่นเคย หนำซ้ำยังดูน่ารักมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
เพียงพริบตาเดียวก็ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ ในวันนี้หลินจือเซี๋ยวได้ชวนเธอไปที่คาเฟ่เพื่อหากาแฟดื่ม ซึ่งเธอก็ตอบตกลงทันที
ถึงแม้ว่าดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินจะทำท่าไม่พอใจ แต่ก็อนุญาตให้เธอออกไปได้
ก่อนที่จะออกไปเธอก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองเขาและพูดขึ้นว่า “อยู่บ้านดูแลหยางหยางกับหน่วนหน่วนให้ดี ๆ”
จิ่งเป่ยเฉินนั่งอยู่บนโซฟาไม่ขยับไหวติงใด ๆ เขามองดูแผ่นหลังของเธอที่เดินจาก ดวงตาของเขาก็กลับมืดครึ้มเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้พอจะไปก็ทำท่ามีความสุขและปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวซะงั้น
เมื่อถึงสถานที่นัดหมายกับหลินจือเซี๋ยว เธอก็ค่อย ๆ ลงจากรถพร้อมกับหดไหล่ลงเล็กน้อยและลูบไปยังผ้าพันคอของเธอ สายลมฤดูหนาวที่พัดผ่านมามันช่างเย็นยะเยือกแทรกเข้าไปถึงกระดูกเสียจริง ๆ
คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมือง มีผู้คนเดินกันไปมาอย่างคึกคัก ภายในร้านก็มีลูกค้าหลากหลายที่แวะเวียนมาใช้บริการอยู่เรื่อย ๆ ช่างดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน
หลินจือเซี๋ยวกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เธอสวมเสื้อคลุมสีแดงตัวใหญ่ ซึ่งดูแล้วโดดเด่นเป็นพิเศษ เมื่อเห็นอันโหรวเดินเข้ามา เธอก็รีบโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้น “อยู่นี่!”
เธอยิ้มและเดินเข้าไปหา พร้อมกับเดินไปสั่งกาแฟระหว่างเดินไปที่โต๊ะ ก่อนจะนั่งลง “อยากไปซื้อของกันไหม?”
“เอาสิ! พวกเรามาดื่มอะไรเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายก่อนดีกว่า หลังจากนั้นเธอกับฉันเราไปซื้อเสื้อผ้ากัน! เธออยากจะให้ฉันเปลี่ยนทรงผมอะไรหน่อยไหม?” หลินจือเซี๋ยวชี้ที่ผมของตัวเอง ก่อนจะนั่งครุ่นคิดสักพัก “เธอรู้สึกว่าฉันเตี้ยไปไหม ควรหาอะไรที่เป็นสไตล์เฉพาะหน่อยหรือเปล่า?”
อันโหรวที่ได้ยินคำพูดของเธอก็ใช้เวลากว่าครึ่งตอบกลับไปว่า “ทำไมเธอถึงได้ดูลุกลี้ลุกลนแบบนี้?”
“เอ่อ…….” เมื่อครู่ที่แสดงอาการตื่นเต้นออกมากลับกลายเป็นห่อเหี่ยวลงทันที “แม่ของฉันจัดนัดบอดให้ เธอเห็นว่าตัวเธอมีหยางหยางกับหน่วนหน่วนแล้วแบบนี้ ฉันที่ยังไม่เคยออกเดตมาก่อนเลย ก็เลยคิดว่าไปดูสักหน่อยก็คงไม่น่าจะเป็นอะไร ก็เลยตอบตกลงไป”
“เธอแน่ใจว่าจะไปจริง ๆ เหรอ?” เห็นทีคงต้องพยายามแต่งตัวให้เพิ่มสีสันมากขึ้นแล้วใช่ไหม?
ซื้อเสื้อผ้ากับเปลี่ยนทรงผมจะพอเหรอ?
หลินจือเซี๋ยวพูดน้ำเสียงประชดไปว่า “แค่ประโยคเดียวจะไปด้วยกันไหม?”
“ไป!” เธอรีบตอบกลับทันที แน่นอนว่าต้องไปเป็นเพื่อนอยู่แล้ว
หลังจากที่หาอะไรดื่มและพูดคุยกัน หลินจือเซี๋ยวก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนัดบอดเท่าไร แต่จากที่แม่ของเธอบอกมานั้น ดูเหมือนคนที่จะไปก็ค่อนข้างดูดีไม่ใช่น้อย
“ฉันไปห้องน้ำล้างมือก่อนนะ” อันโหรวลุกขึ้นและเดินออกไป