ตอนที่ 155 มีเพื่อนที่ชื่อ C โทร.มาหาเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินหร่านจะส่งให้เหยียนซีตามกำหนดทุกๆ สามเดือน

 

 

บางครั้งเหยียนซีจะเขียนเนื้อเพลงส่งมาให้เธอ บางครั้งเธอก็เติมเนื้อเอง

 

 

แต่ครั้งนี้เป็นเพราะเฉินซูหลาน ฉินหร่านไม่ได้แต่งเพลงมาเป็นเวลานานมากแล้ว

 

 

เธอถือมือถือไว้

 

 

พิมพ์ข้อความตอบกลับไป พลางเดินไปทางลู่จ้าวอิ่ง

 

 

“ไม่ไกล” มือของลู่จ้าวอิ่งวางอยู่บนพวงมาลัย จากนั้นมองไปข้างหลังผ่านกระจกมองหลัง “ขับรถสิบนาที”

 

 

เขาขับรถอยู่ข้างหน้า ฉินหร่านนั่งเล่นมือถือข้างหลัง

 

 

อาจเพราะเหยียนซีรู้ว่าเธอมีธุระ จึงไม่ได้เร่งรัดเธอ

 

 

ฉินหร่านเลื่อนลงไปข้างล่าง เห็นไฟล์เอกสารที่กู้ซีฉือส่งมาให้เธอก่อนหน้านี้

 

 

ก่อนหน้าเป็นเพราะพวกเฉิงมู่มาขัดจังหวะ เธอจึงไม่ทันได้ดู เพิ่งมาเปิดดูตอนนี้

 

 

ไฟล์ที่กู้ซีฉือส่งมาเป็นรายชื่อฉบับหนึ่ง กับข้อมูลทั่วไปฉบับหนึ่ง ไม่มีสิ่งที่เป็นความลับมากนัก

 

 

ฉินหร่านเจอชื่อของตัวเองในไฟล์จริงๆ ด้วย

 

 

เธอหรี่ตาน้อยๆ

 

 

ไม่ถึงสิบนาที รถก็จอดที่สโมสรแห่งหนึ่ง

 

 

ตั้งอยู่ในย่านคึกคัก แต่ทั้งสโมสรกลับเงียบสงบอย่างยิ่ง

 

 

ลู่จ้าวอิ่งพาเธอตรงขึ้นชั้นบนสุด

 

 

 

 

ชั้นบนสุดมีห้องวีไอพีแค่สองห้อง แต่ละห้องกว้างขวางผิดปกติ มีอุปกรณ์บันเทิงครบครัน มีพนักงานสี่คนยืนเฝ้าอยู่นอกห้องวีไอพีทุกห้อง

 

 

ตอนที่ลู่จ้าวอิ่งมาถึง ก็โค้งตัวเล็กน้อย ใบหน้ามีรอยยิ้ม ดวงตาไม่ล่อกแล่ก

 

 

คนในห้องวีไอพีมีไม่มาก

 

 

ตรงข้ามเป็นโทรทัศน์ บนโต๊ะกว้างขวางมีอุปกรณ์เล่นเกม Truth or Dare กับไพ่โป๊กเกอร์วางอยู่เต็ม

 

 

จากนั้นก็เป็นเหล้าประหลาดหายากอีกก่ายกอง

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่บนโซฟาที่ติดกับด้านใน เขานั่งพิงอยู่ตรงนั้น มือวางอยู่ตรงที่พักแขน เอนตัวพิงพนัก ดวงตาหลุบต่ำ ปากคาบบุหรี่ เสื้อนอกถูกถอดออกไปแล้ว วางอยู่บนโต๊ะ

 

 

ดูไม่สดใสเอาเสียเลย

 

 

คนรอบข้างมีไม่กี่คนที่กล้าพูดเสียงดัง ซึ่งก็คือเจียงตงเย่ที่กำลังเล่นไพ่โป๊กเกอร์กับคนอื่นๆ อยู่

 

 

พอได้ยินเสียงของพนักงาน เจียงตงเย่ก็หันหน้าเล็กน้อย “มาแล้วเหรอ”

 

 

ขณะที่พูด ยังเบี่ยงตัวหลีกทางให้ฉินหร่านกับลู่จ้าวอิ่ง

 

 

คนอื่นๆ ต่างก็พากันเรียกว่า ‘คุณชายลู่’ จากนั้นสายตาก็ประเมินฉินหร่านอย่างอดไม่ได้

 

 

คิดในใจว่าคนนี้ใช่น้องสาวของลู่จ้าวอิ่งที่ลือกันหนาหูตอนนี้หรือเปล่า

 

 

ฉินหร่านที่ตามหลังลู่จ้าวอิ่งหยุดชะงัก

 

 

เธอมองไปทางเฉิงเจวี้ยน กระแอมสองที ไม่เดินหน้าต่อ

 

 

“มากับคุณชายลู่เหรอ” ผู้หญิงผมลอนริมฝีปากแดง นิ้วมือเรียวและขาวคีบบุหรี่ หันหน้ามา เหลือบมองฉินหร่านแวบหนึ่งแล้วพ่นควันออกมา

 

 

ฉินหร่านก้มหน้าจัดเก็บไฟล์ที่กู้ซีฉือส่งมาให้เธอ ตอบอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีว่า “ใช่มั้ง”

 

 

ผู้หญิงคนนั้นมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วโน้มตัวลง ดีดเถ้าบุหรี่ใส่ที่เขี่ยบุหรี่ ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ยังเรียนอยู่สิท่า นักเรียนสมัยนี้ช่าง…”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ที่เจียงตงเย่หลีกให้ เมื่อเห็นว่าฉินหร่านไม่ตาม “ฉินเสี่ยวหร่าน”

 

 

เขาขานเรียก

 

 

“นั่งตรงนี้” จากนั้นชี้ไปที่ตำแหน่งข้างเฉิงเจวี้ยนให้เธอเข้ามา ตำแหน่งที่เขานั่งใกล้เธอพอดี

 

 

พูดจบก็ยกมือขึ้นเคาะโต๊ะ พยักพเยิดให้พนักงานเข้ามา “นมร้อนแก้วหนึ่ง”

 

 

คนที่มาที่นี่มีคำขอประหลาดทุกรูปแบบ พนักงานไม่กล้ามองทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เมื่อได้รับออเดอร์แล้วก็ไปหยิบนมร้อน

 

 

ฉินหร่านเดินไปทางลู่จ้าวอิ่ง

 

 

ผู้หญิงข้างเขาที่เพิ่งสูบบุหรี่ไปเมื่อครู่หน้าถอดสี มือที่ถือบุหรี่สั่นระริก

 

 

เฉิงมู่นั่งอยู่ที่โซฟาตรงข้ามเฉิงเจวี้ยน คนที่นั่งกับเขาคือเฉิงจิน เขาให้พนักงานให้เอาอุปกรณ์ชงชามาให้เขาแล้ว

 

 

ตอนนี้กำลังวิเคราะห์ว่าจะชงชาอย่างไร

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของลู่จ้าวอิ่ง เขาก็มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ดื่มชาแล้วเหรอ”

 

 

“เปล่าหรอก” ลู่จ้าวอิ่งเอนตัวพิงพนัก ยกขาขึ้นไขว่ห้าง “เมื่อคืนนายท่านของพวกเราบอกว่าดื่มชาทำไมนอนไม่หลับ”

 

 

ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็หันหน้าไปมองเฉิงเจวี้ยน “ใช่ไหม ท่านเจวี้ยน”

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้กำลังติดกระดุมที่หลุดออกเม็ดหนึ่งด้วยมือข้างเดียวอย่างเคร่งขรึมอีกข้างกำลังโยนบุหรี่ใส่ที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของลู่จ้าวอิ่ง เขาก็ตอบอย่างเกียจคร้านว่า “อืม”

 

 

อย่าว่าแต่เฉิงจินที่ทำหน้างงเลย แม้แต่เจียงตงเย่ก็หันหน้ามาอย่างแข็งทื่อ มองเฉิงเจวี้ยนที่จู่ๆ ก็เกิดจริงจังขึ้นมา

 

 

ดูแล้วก็ยังเป็นท่าทางเอื่อยเฉื่อยนอนไม่พอเหมือนเดิม โครงหน้าได้รูป สง่างามเคร่งขรึม ความดุดันไม่โผล่ออกมาเลยสักนิด มองไม่เห็นท่าทางชั่วร้ายที่ดังกระฉ่อนไปทั่ววงการเลยแม้แต่นิด

 

 

“เฉิงมู่ เมื่อวานนายไม่มางานเลี้ยงของไอดอล น่าเสียดายจริงๆ” ไม่ไกล มีผู้ชายผมทองถือไม้คิวเดินมาอย่างไม่ยี่หระ เขาตบไหล่เฉิงมู่ที่ยังดึงดันจะชงชา “พวกนายรู้ไหมว่าเกิดเรื่องใหญ่ที่น่าตะลึง”

 

 

เรื่องเกี่ยวกับโอวหยางเวย เฉิงมู่จึงเงยหน้าขึ้น แววตาสั่นระริก “เรื่องอะไร”

 

 

“ข่าวเพิ่งออกมาเมื่อวาน รู้ไหมว่าใครเป็นคนออกโจทย์ของปีนี้” ชายผมทองมองคนที่นั่งรอบๆ ยิ้มๆ

 

 

พอเห็นฉินหร่านที่กำลังดื่มชานมอย่างสบายๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง เขาก็เบิกตากว้าง

 

 

คนอื่นไม่เห็นอาการผิดปกติของเขา ต่างก็ให้ความสนใจกับคนออกโจทย์ที่เขาพูด

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่สนใจเขา

 

 

เจียงตงเย่กลับยิ้ม “จางเซี่ยงเกอ เลิกยึกยักได้แล้ว ตกลงเป็นใครกันแน่ ไม่เห็นเหรอว่าท่านเจวี้ยนก็สงสัยเหมือนกัน”

 

 

จางเซี่ยงเกอ เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของลู่จ้าวอิ่ง เขาคนนี้ค่อนข้างเอาใจเก่ง จึงเป็นเพื่อนกับลู่จ้าวอิ่งมาตลอดจนถึงตอนนี้

 

 

เป็นเหตุให้ ได้เข้ามาอยู่ในแวดวงของเฉิงเจวี้ยนผ่านลู่จ้าวอิ่ง

 

 

จางเซี่ยงเกอเห็นเฉิงเจวี้ยนมองมาทางเขาจริงๆ เขาตึงเครียดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กดเสียงต่ำ “ฉันก็ได้ยินมาจากคุณหนูโอวหยาง ได้ยินว่าบิ๊กบอสคนหนึ่งของ 129 เป็นคนออกโจทย์”

 

 

บิ๊กบอสของ 129 หากไล่ลำดับลงมา ก็คือพวกรุ่นหนึ่งที่มีไม่กี่คน

 

 

ตอนแรกลู่จ้าวอิ่งตั้งใจว่าจะไม่คุยกับจางเซี่ยงเกอ แต่พอได้ยินประโยคนี้ เขาก็ทนต่อความสงสัยไม่ได้

 

 

“บิ๊กบอสคนไหน นกอรุณรุ่งหรือมังกรเ**้ยม” เห็นได้ชัดว่าลู่จ้าวอิ่งคลุกคลีกับ 129 อย่างลึกซึ้ง ที่พูดมาล้วนเป็นบิ๊กบอสที่มักจะเคลื่อนไหว

 

 

จางเซี่ยงเกอส่ายหน้า

 

 

ลู่จ้าวอิ่งขมวดคิ้ว “ฉางหนิงออกโจทย์เองงั้นเหรอ”

 

 

“ไม่ใช่เลยสักคน พวกนายเดาไม่ถูกแน่” จางเซียงเกอส่ายหน้าอย่างมีลับลมคมใน จากนั้นก็วางบอมบ์ “หมาป่าเดียวดาย”

 

 

“เชี่ย!” ลู่จ้าวอิ่งตกใจอย่างเห็นได้ชัด

 

 

แก้วเหล้าในมือล้มลงบนโต๊ะ เหล้าสีอำพันซึมไหลลงจากโต๊ะซึมลงในพรม

 

 

เจียงตงเย่ที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนักก็เลิกคิ้ว “หมายเลขหนึ่งที่ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมรับออเดอร์ของฉันน่ะเหรอ”

 

 

เจียงตงเย่เคยส่งออเดอร์ให้ 129 ไม่น้อยเลย

 

 

ล้วนเป็นคำสั่งให้สืบหากู้ซีฉือ จ่ายเงินสามเท่า อย่าว่าแต่รับออเดอร์เลย 129 ไม่แม้แต่จะตรวจออเดอร์ของเขาด้วยซ้ำ

 

 

“ครั้งนี้ครึกครื้นแล้ว” เฉิงมู่อดเงยหน้า วางถ้วยชาในมือลงไม่ได้ “คนที่มาเพราะหมาป่าเดียวดายคงไม่น้อย ถึงว่าวันนี้ไอดอลของฉันไม่มา ปีนี้ความกดดันน่าจะมากกว่าทุกปี”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเองก็พิงโซฟา หรี่ตามองจางเซี่ยงเกอ

 

 

“ฉันขอออกไปรับลมหน่อย” ฉินหร่านก้มหน้า ตอนแรกยังตั้งใจฟังพวกเขาคุยกันอยู่เลย แต่พอฟังถึงตรงนี้ เธอก็อดยกมือขึ้นลูบจมูกไม่ได้

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเธอแวบหนึ่ง สโมสรแห่งนี้ปลอดภัย พนักงานรู้กาลเทศะ ชั้นบนสุดก็ไม่ใช่ที่ที่คนทั่วไปจะขึ้นมาได้ ไม่มีใครกล้าล่วงเกินใครตามใจชอบ

 

 

“อืม อย่าไปไกลล่ะ” เฉิงเจวี้ยนเคาะถ้วยชา พูดอย่างไม่รีบร้อน “ยายเธอบอกให้ฉันดูแลเธอให้ดี”

 

 

หลังฉินหร่านออกไปแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็มองคนในห้องแวบหนึ่ง

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเองก็รู้สึกตัวแล้ว “นาย นาย นาย แล้วก็เธอ” เขาชี้ทีละคน “ดับบุหรี่ทั้งหมดซะ มีเด็กม.ปลายอยู่ด้วย”

 

 

พูดจบ ก็ให้พนักงานเข้ามาเปิดระบบระบายอากาศ

 

 

ตั้งแต่ที่จางเซี่ยงเกอเห็นฉินหร่านแวบแรก ก็รู้แล้วว่าน้องสาวที่ลู่จ้าวอิ่งพูดถึงคนนั้น 80% คือเธอแน่นอน

 

 

ตอนนี้เห็นท่าทีของทั้งสองคน

 

 

ในใจเขาก็หนักอึ้งกว่าเดิม

 

 

 

 

สุดทางเดินของชั้นบนสุด

 

 

ผู้ชายที่ใส่สูทสวมรองเท้าหนังยืนขวางผู้หญิงที่ยืนสะพายกล้อง ผู้หญิงหน้าตาสะสวย แต่ดวงตาหลังเลนส์กลับดำสนิท เสียงเย็นเยือก “ฉวี่จื่อเซียว ฉันบอกแล้วไงว่า ที่ฉันตรวจสอบข้อมูล 129 ไม่ใช่เพราะแฟนของนาย นายมันบ้าฟังไม่รู้เรื่อง”

 

 

“ไม่ใช่จะดีที่สุด” ผู้ชายถอยหลังก้าวหนึ่ง มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเย็นชา

 

 

มือถือในกระเป๋าของเขาดังขึ้น ผู้ชายรีบล้วงออกมาแล้วรับ เสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที “เวยเวย…ได้ ผมจะรีบไป”

 

 

วางสาย

 

 

“ที่เธอบอกครั้งก่อนฉันรับปากแล้ว อีกหนึ่งปี สัญญาจะสิ้นสุดอัตโนมัติ” เขาเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นแวบหนึ่ง หันหลังแล้วเดินไปกดลิฟต์ทันที

 

 

ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนมาสะพายกล้องอีกข้าง หยิบมือถือขึ้นมาโทร.หาฉางหนิง

 

 

กลับเห็นคนที่อยู่ไม่ไกลเข้าพอดี มือของเธอชะงักไป จากนั้นก็ขยี้ตา “บัดซบ บ้าไปแล้ว”

 

 

เธอถือกล้องก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว

 

 

“เด็กน้อย” เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เป็นเจ้าตัวจริงๆ ด้วย เหอเฉินตัดสายฉางหนิงที่เพิ่งติดต่อได้ “เธอมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ยังไง”

 

 

“เพิ่งมา” ฉินหร่านก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเจอเหอเฉินที่นี่ เธอชะงักไปครู่หนึ่ง “เธอไม่ได้อยู่ชายแดนแล้วเหรอ”

 

 

“ฉันเพิ่งกลับมา มาทำข่าวน่ะ” เหอเฉินบีบหน้าของฉินหร่าน “จิ๊ นุ่มจริงๆ จะว่าไป เธอมาเมืองหลวงไม่โทร.หาฉันกับฉางหนิงเลย อยากโดนตีใช่ไหม”

 

 

“มาจัดการเรื่องส่วนตัว มะรืนก็กลับแล้ว ไม่อยากรบกวนพวกเธอ” ฉินหร่านปล่อยให้เธอบีบไปทีหนึ่ง ใบหน้าเอื่อยเฉื่อย

 

 

“ไม่กะว่าจะเจอคนอื่นเหรอ” เหอเฉินถอดแว่นออกแล้วยิ้ม “นอกจากฉันกับหัวหน้าฉาง ยังไม่มีใครรู้ว่าเธอเด็กผู้หญิง”

 

 

ฉินหร่านยัดมือถือใส่กระเป๋า “ถ้ามีโอกาส ไว้ครั้งหน้าแล้วกัน”

 

 

ทั้งสองคนคุยกันอีกไม่กี่ประโยค

 

 

จางเซี่ยงเกอที่อยู่ในห้องวีไอพีเมื่อครู่นี้กำมือถือออกมา

 

 

เขามาหาฉินหร่านโดยเฉพาะ เห็นฉินหร่านที่กำลังคุยกับเหอเฉินเข้าทันที

 

 

“คุณหนูฉิน” จางเซี่ยงเกอเดินมาทางนี้ เมื่อเห็นเหอเฉินก็ชะงักไป “ท่านนี้คือ…”

 

 

เหอเฉินหันมามองจางเซี่ยงเกอแวบหนึ่ง ยกแว่นขึ้นสวม “เอ่อ งั้นฉันไปทำธุระก่อนนะ”

 

 

“เพื่อนของคุณหนูฉินเท่ไม่หยอกเลย” จางเซี่ยงเกอยิ้มๆ เขาเห็นด้ายเส้นหนึ่งตรงหัวไหล่ที่หลุดออกมาจากเสื้อคาร์ดิแกนของเหอเฉิน จึงถามส่งๆ ไปว่า “เธอทำอาชีพอะไรเหรอ”

 

 

ฉินหร่านมองจางเซี่ยงเกออย่างสุภาพ “นักข่าวน่ะ”

 

 

“…อ่อ” จางเซี่ยงเกอพยักหน้า เลิกพูดถึงเหอเฉิน

 

 

จากนั้นก็ขอโทษฉินหร่านอย่างจริงจัง ประเด็นคือเพราะเรื่องที่ไม่ได้ไปกินข้าวกับลู่จ้าวอิ่งเมื่อวาน

 

 

“ไม่เป็นไร” ฉินหร่านหันหลัง ใบหน้าเฉื่อยชา พูดออกมาอย่างเท่ไม่เบา

 

 

ทั้งสองคนกลับเข้าห้องพร้อมกัน

 

 

จางเซี่ยงเกอถูกลงโทษให้ดื่มไวน์สามแก้วใหญ่ ขอโทษฉินหร่านกับลู่จ้าวอิ่งต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง

 

 

“คุณหนูฉินเล่นสนุกเกอร์ไหม” หลังดื่มหมดสามแก้ว จางเซี่ยงเกอจึงเป็นฝ่ายชวนเล่น ยื่นไม้คิวให้ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านก้มหน้า เหมือนกำลังเล่นมือถืออยู่

 

 

เฉิงเจวี้ยนเอาไม้คิวไปวางไว้อีกทาง พูดอย่างไม่ยี่หระว่า “เธอเล่นไม่เป็น”

 

 

จางเซี่ยงเกอดึงมือกลับมาด้วยความตกใจกว่าเดิม

 

 

 

 

เพราะมีนักเรียนมัธยมปลายอย่างฉินหร่านอยู่ด้วย ยังไม่ถึงเที่ยงคืน พวกเขาก็แยกย้ายกันแล้ว

 

 

หลังพวกเฉิงเจวี้ยนกลับไปแล้ว จางเซี่ยงเกอถึงได้อารมณ์เย็นลง

 

 

“คุณชายเจียง คุณหนูฉินคนนั้นเป็นใครเหรอ” จางเซี่ยงเกอพูดขึ้น เขานับจำนวนคนแซ่ฉินทั่วเมืองหลวงแล้ว แต่ก็ไม่เจอคนไหนที่สอดคล้องเลย

 

 

“คนอวิ๋นเฉิง” เจียงตงเย่ลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ตบๆ แขนเสื้อของตัวเอง “นักเรียนม.ปลายปีสามธรรมดาคนหนึ่ง ท่านเจวี้ยนคอยคุ้มกะลาหัว อย่าเอาไปพูดที่ไหน”

 

 

จางเซี่ยงเกอพยักหน้า “ถึงว่า แต่ทำไมเธอจึงรู้จักกับนักข่าวล่ะ”

 

 

“นักข่าว?” เจียงตงเย่หรี่ตาลง

 

 

“ก็เมื่อกี้ที่ผมออกไปหาเธอข้างนอก เธอกำลังคุยกับเพื่อนอยู่พอดี คุณหนูฉินบอกว่าเพื่อนคนนั้นเป็นนักข่าว” จางเซี่ยงเกอพูดจบ พบว่าเจียงตงเย่เงียบกริบ จึงขานเรียกไปว่า “คุณชายเจียง”

 

 

“ไม่มีอะไร” เจียงตงเย่เดินไปทางรถยนต์นิ่งๆ

 

 

เขาเพียงแค่นึกถึง ‘นักดนตรี’

 

 

เป็น ‘นักข่าว’ จริงๆ เหรอ

 

 

จางเซี่ยงเกอก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่มองไปทางที่พวกเฉิงเจวี้ยนจากไป

 

 

“จางเซี่ยงเกอ คุณหนูฉินคนนั้นน่ะเหรอน้องสาวของคุณชายลู่” มีคนข้างๆ ถามอย่างระมัดระวัง “เห็นบอกว่าน้องสาวเขาเป็นคนอวิ๋นเฉิงไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไปอยู่กับท่านเจวี้ยนได้ล่ะ…”

 

 

“นั่นสิ แม้แต่คุณหนูโอวหยาง…”

 

 

“ไม่ได้ยินที่คุณชายเจียงพูดหรือไง ถ้ายังพูดเรื่องนี้อีก ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงคงไม่ต้องให้ฉันบอกหรอกนะ” จางเซี่ยงเกอพูดแทรกพวกเขา เหลือบมองแวบหนึ่ง “อาจจะแค่ช่วงสั้นๆ แต่ยังไงซะเรื่องนี้ก็อย่าไปแพร่งพรายที่ไหน”

 

 

แน่นอนว่า เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่คุณหนูฉินคนนั้นหน้าตาดีจริงๆ

 

 

 

 

วันต่อมา

 

 

ฉินหร่านตื่นเช้า และนอนไม่หลับ จึงหยิบปากกา ให้พนักงานเอากระดาษเปล่ามาให้ใบหนึ่ง เริ่มลงมือเขียนโน้ตเพลงให้เหยียนซี

 

 

เขียนได้ไม่นาน ก็มีคนเคาะประตูเรียกเธอจากข้างนอก

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยนรู้ว่าเธอยังไม่กลับวันนี้ จึงมาพาเธอออกไปข้างนอกแต่เช้า

 

 

“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปล้างหน้าหน่อย” ฉินหร่านเปิดประตู วางกระดาษไว้ใต้หนังสือ เข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนไปนั่งข้างหน้าต่าง ดึงคอเสื้อของตัวเองเล็กน้อย พลิกดูหนังสือของเธอ ตอบอย่างสบายๆ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งยืนพิงโต๊ะ เห็นมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสว่างขึ้นมา จึงตะโกนว่า “นักเรียนฉินเสี่ยวหร่าน มีเพื่อนที่ชื่อ c โทร.วิดีโอคอลมาแน่ะ!”