ตอนที่ 156 อันดับหนึ่งของเมืองปีที่แล้ว

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เพื่อนที่ชื่อ c งั้นเหรอ

 

 

“ไม่ต้องสนใจ” ฉินหร่านเปิดก๊อกน้ำแล้วก้มน้ำ ล้างมืออย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ต้องมอง ก็รู้ว่าเป็นฉางหนิง

 

 

เมื่อคืนเหอเฉินคงจะบอกเรื่องที่เธออยู่เมืองหลวงกับเขา

 

 

ครั้งนี้ระยะเวลากระชั้นชิด ฉินหร่านไม่อยากเจอเลยสักคน เธอกำหนดขอบเขตตำแหน่งของตัวเองให้อยู่ที่โรงละครกับรอบๆ มหาวิทยาลัยเมืองหลวง เจอเหอเฉินเป็นความบังเอิญอย่างสิ้นเชิง

 

 

สิ่งเดียวที่เหนือความคาดหมายก็คือ จู่ๆ เหอเฉินที่เป็นนักข่าวในโซนสงครามก็กลับมาแล้ว

 

 

ฉินหร่านดึงผ้าเช็ดหน้าจากข้างๆ มาแล้วเช็ดมือ

 

 

ตอนที่ออกไป สายของฉางหนิงก็ตัดไปอัตโนมัติแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนยังคงพลิกหนังสือของเธออย่างเชื่องช้า มันเป็นวรรณกรรมภาษาต่างประเทศ เนื้อหาเลื่อนลอยมาก พล็อตเรื่องทั้งหมดอึดอัดมาก

 

 

เขาพลิกไวมาก

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองแวบหนึ่ง ตัวหนังสือที่ลึกล้ำซับซ้อนทำเอาเขาปวดหัว ฉะนั้นจึงดึงกระดาษที่เธอทับไว้ข้างล่างขึ้นมาดู

 

 

ด้านบนเป็นตัวโน้ตที่ผสมปนเปกันอย่างยุ่งเหยิง

 

 

เขียนแล้วฆ่าทิ้ง ฆ่าทิ้งแล้วเขียนใหม่

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าฉินหร่านจะมีความสามารถด้านนี้ด้วย เคยเรียนดนตรีงั้นเหรอ

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ลูบคาง นึกถึงเรื่องที่อาจารย์เว่ยมาหาฉินหร่าน

 

 

สามคนออกไปพร้อมกัน ฉินหร่านหยิบเสื้อคลุมสีเข้มตัวหนึ่งไปด้วย สวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ด และสวมหมวกไว้บนหัวอีกด้วย

 

 

 

 

ตอนที่กลับเมื่อคืน รู้ว่าวันนี้ฉินหร่านจะหาเวลาออกไปดูโบราณสถาน ลู่จ้าวอิ่งอาสานำเที่ยวเอง

 

 

แม้จะไม่ใช่เทศกาลวันหยุดอะไร แต่คนที่มาเที่ยวเมืองหลวงก็ไม่น้อยเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นคณะทัวร์ของคุณตาคุณยาย

 

 

ประตูทางเข้าหลักคนเยอะเป็นอย่างมาก แถมยังจำกัดจำนวนด้วย

 

 

เพียงแต่ว่าที่เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งพาเธอไปไม่ใช่ประตูหลัก แต่เป็นประตูข้าง

 

 

คนเฝ้าประตูเป็นตาแก่ๆ คนหนึ่ง

 

 

คุณตาน่าจะคุ้นเคยกับพวกเขาสองคนมาก พอเห็นพวกเขา ก็ช้อนตาขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย จากนั้นก็เปิดประตูให้ทันที

 

 

แค่ประโยคเดียวยังขี้เกียจพูด

 

 

“ที่นี่ไม่เปิดให้คนนอกเข้า” เฉิงเจวี้ยนเดินตามหลังเธออย่างเชื่องช้า

 

 

“เพราะพักอยู่ไม่ค่อยไกล ตอนเด็กพวกเรามักจะแอบปีนเข้ามาบ่อยๆ” ลู่จ้าวอิ่งเห็นตอนเด็กจนชินแล้ว จึงไม่ค่อยสนใจมากนัก

 

 

ฉินหร่านไม่ได้ชอบของพวกนี้มากนัก แต่ก็ถ่ายรูปไปไม่น้อยเลย

 

 

“เอากลับไปให้หมิงเยว่ดู” ฉินหร่านจะหยุดทุกจุด จากนั้นตั้งใจถ่ายเก็บไว้ ก้มหน้าก้มตา “เธอชอบของพวกนี้มาก”

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนล้วงกระเป๋ามองเธอถ่ายรูปแต่แรกอยู่แล้ว ไม่มีความหงุดหงิดเลยแม้แต่นิด

 

 

เธอพยายามถ่ายให้สวยหน่อย แต่ผลลัพธ์ก็ธรรมดาทั่วไป

 

 

ตอนหลังเฉิงเจวี้ยนทนดูต่อไปไม่ได้ จึงยื่นมือไปเอามือถือของเธอมาช่วยถ่ายให้

 

 

ฉินหร่านยืนมองภาพที่เขาถ่ายอยู่ข้างหลังเขา

 

 

“ดูเหมือนนายจะถ่ายสวยกว่าฉันนะ” เธอชี้หอหลังนั้น เข้าใกล้เขาแล้วพูดขึ้นมา

 

 

“อืม” หูของเฉิงเจวี้ยนขยับเบาๆ ใบหน้ากลับตอบอย่างไม่ยี่หระ หลังถ่ายเสร็จตัวเองก็มองดูครู่หนึ่ง ไม่ค่อยพอใจมากนัก “พอได้ งั้นๆ แหละ”

 

 

“เธอจะเอาสักใบไหม” เฉิงเจวี้ยนนิ่งไปเล็กน้อย ยิ้มอย่างเอื่อยเฉื่อย “มาเมืองหลวงทั้งที เช็คอินสักหน่อยอะไรเทือกนั้น”

 

 

เพื่อนในวีแชทของเธอเยอะ

 

 

ถ้าเช็คอินก็รู้หมดสิว่าเธออยู่เมืองหลวง

 

 

ฉินหร่านลูบคาง ส่ายหน้า “ยุ่งยาก”

 

 

จากนั้นตามอยู่ข้างหลังเพื่อมองเขาถ่ายรูป

 

 

“เฉิงเจวี้ยนเคยเรียนถ่ายรูป” ลู่จ้าวอิ่งกดเสียงต่ำ อธิบายกับเธอ “ซื้อกล้องเอสแอลอาร์หลายตัวเลยล่ะ ไม่ถึงครึ่งปีก็เก็บเข้าคลังแล้ว งานอดิเรกความชอบเยอะมาก”

 

 

“พานหมิงเยว่ชอบพวกนี้มากเหรอ” หลังอธิบายเสร็จ ลู่จ้าวอิ่งก็นึกขึ้นได้ว่า หมิงเยว่ก็คือเพื่อนคนนั้นของฉินหร่าน

 

 

เลิกคิ้วเล็กน้อย

 

 

“อืม” ฉินหร่านดึงฮู้ดบนหัว ตอบอย่างเฉื่อยชา

 

 

หนิงไห่ก็เป็นเมืองเก่าเช่นกัน แต่ไม่ถูกบุกเบิก

 

 

ตอนที่ทั้งสองโดดเรียนสมัยมัธยมต้นด้วยกัน เธอไปเล่นเกมในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ส่วนพานหมิงเยว่จะไปเตร็ดเตร่ตามโบราณสถาน

 

 

จากนั้นตอนกลางคืนก็กลับบ้านพร้อมกัน

 

 

ครูทั้งโรงเรียนต่างก็รู้จักพวกเธอสองคน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า “งั้นเธอสอบเข้าโบราณคดีของมหาลัยเมืองหลวงได้ เฉิงมู่เคยเรียน พอใช้ได้”

 

 

เขาจำผลการเรียนของพานหมิงเยว่ได้ เมื่อก่อนในฟอรั่มของโรงเรียนมักจะพูดถึงสองอัญมณีแห่งเหิงชวน ก็คือสวีเหยากวงกับพานหมิงเยว่ แต่ตอนนี้มีฉินหร่านเพิ่มมาอีกคนแล้ว

 

 

สาขาโบราณคดีไม่เป็นที่นิยมอยู่แล้ว พานหมิงเยว่สอบสาขานี้ คะแนนก็เกินพอแล้ว

 

 

“เมื่อก่อนเธอเคยอยากไปเที่ยวรอบโลกด้วย… ตอนนี้เธอจะสอบอัยการ” ฉินหร่านเห็นเฉิงเจวี้ยนถ่ายเสร็จแล้ว จึงไปที่จุดต่อไป พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

 

พอได้ยินคำตอบ ลู่จ้าวอิ่งก็อดลูบหัวไม่ได้

 

 

อัยการงั้นเหรอ

 

 

แตกต่างจากตัวตนของเธอมากเสียจริง

 

 

ฉินหร่านในเวลาต่อมาเงียบลงไม่น้อยเลย ทั้งสามคนเดินวนรอบหนึ่ง เมื่อเก็บภาพไว้หมดแล้ว ออกไปกินข้าว อารมณ์ของฉินหร่านถึงจะได้ดีขึ้นไม่น้อย

 

 

ตอนบ่ายลู่จ้าวอิ่งจะพาเธอไปเที่ยวอีก

 

 

ฉินหร่านจึงบอกว่าเธอจะนอน พรุ่งนี้จะตื่นเช้ากลับอวิ๋นเฉิง

 

 

 

 

ในรถ ใต้ตึก

 

 

“ท่านเจวี้ยน มีเรื่องจะบอก” ลู่จ้าวอิ่งขับรถข้างหน้า มองเฉิงเจวี้ยนที่หลับตาพริ้มผ่านกระจกมองหลัง “คืนนั้นฉินเสี่ยวหร่านบอกว่าไปหาญาติใช่ไหมล่ะ แล้วก็บอกว่าญาติเธอเป็นนักดนตรี”

 

 

เฉิงเจวี้ยนตอบอืม ยกมือขึ้นดึงผ้าคลุม ไม่มีปฏิกิริยามากนัก

 

 

“นายรู้ไหมว่านักดนตรีคนนั้นเป็นใคร” ลู่จ้าวอิ่งเดาะลิ้น “อาจารย์เว่ย”

 

 

คราวนี้เฉิงเจวี้ยนไม่อืมแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วนั่งตัวตรง “เว่ยหลิน?”

 

 

“เขานั่นแหละ เมื่อคืนฉินเสี่ยวหร่านไปงานดนตรีของเขา” ลู่จ้าวอิ่งหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วถามว่า “นายว่า อาจารย์เว่ยไปเป็นญาติของฉินเสี่ยวหร่านตอนไหน”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่ได้ซักไซ้ฉินหร่าน แต่ความสงสัยน่ะมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ฉินหร่านกับอาจารย์เว่ยก็ไม่เกี่ยวข้องกันเลย

 

 

เฉิงเจวี้ยนครุ่นคิดเพียงเสี้ยววินาที จากนั้นก็บอกลู่จ้าวอิ่งสามคำ “เว่ยจื่อหัง”

 

 

สกุลเว่ยเป็นครอบครัวที่สืบทอดวัฒนธรรม แม้จะไม่มีอำนาจอะไรในเมืองหลวง แต่ชื่อเสียงโด่งดัง หลายตระกูลต่างก็ยอมให้เกียรติสกุลเว่ย จุดนี้แม้แต่ไต้ซือเจียงก็สู้ไม่ได้

 

 

 

 

ฉินหร่านในตอนนี้เปิดดูภาพที่เฉิงเจวี้ยนถ่าย จากนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง โทร.วิดีโอคอลหาฉางหนิง

 

 

เธอสวมหูฟัง วางมือถือพิงแก้วที่ไม่ได้ใช้

 

 

ส่วนตัวเองก็หยิบปากกา จากนั้นหยิบกระดาษที่ยังเขียนไม่เสร็จมาขีดๆ เขียนๆ

 

 

“ยังอยู่เมืองหลวงเหรอ” ฉางหนิงกำลังอ่านข้อมูลทั้งหมดของผู้สมัคร เมื่อเห็นวิดีโอคอลของเธอ ก็วางลงชั่วคราว

 

 

มองจากตกแต่งข้างหลังเธอก็รู้ว่าเป็นโรงแรม

 

 

“อืม” ฉินหร่านไม่เงยหน้า เอาแต่เรียบเรียงโน้ตอยู่ตลอดเวลา เธอตั้งใจอย่างยิ่งทุกครั้งที่เขียนเพลงให้เหยียนซี สไตล์เพลงแบบนี้เธอคิดจินตนาการในหัวมาหลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงมือเขียนสักที

 

 

คราวนี้เมื่อได้เขียน ก็ราบรื่นเหมือนกัน

 

 

ฉางหนิงวางเมาส์ในมือ มองใบหน้าที่อ่อนเยาว์เป็นอย่างมากของเธอผ่านกล้อง พูดขึ้นมาด้วยความไม่ชิน “กลับเมื่อไหร่ ว่างเจอกันหน่อยไหม จะเล่าเรื่องสมัครครั้งนี้ให้เธอฟัง เธอจะดูรายชื่อหน่อยไหม”

 

 

“ไฟล์ทพรุ่งนี้ ยังไม่ว่าง” ฉินหร่านเขียนได้ครึ่งหนึ่งก็วางปากกาลง หยิบน้ำแร่ที่วางอยู่อีกมุมหนึ่งขึ้นมาเปิดฝาแล้วดื่มไปคำหนึ่ง

 

 

“ทำไมไม่บอกฉันล่ะ จะได้ช่วยจัดการโปรแกรมเดินทางให้” ฉางหนิงผิดหวังเล็กน้อย เขาเกิดพะวงในใจตลอดเวลา “มาธุระเรื่องยาของยายเธอเหรอ”

 

 

ฉินหร่านโยนขวดน้ำแร่ไปอีกทาง “เปล่า เรื่องอื่นน่ะ” ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พูดขึ้นมาว่า “คุณรู้จักแมทธิวไหม”

 

 

ฉางหนิงเอนตัวพิงพนัก เลิกคิ้ว “เธอหมายถึงแมทธิวคนไหน”

 

 

“ตำรวจอาชญากรรมสากล” นี่เป็นคำนิยามที่กู้ซีฉือใช้ ฉินหร่านรู้ไม่มาก เธอหยิบปากกาขึ้นมาใหม่ คิดๆ แล้วพูดขึ้นมาอีกว่า “น่าจะใช่มั้ง”

 

 

เธอเพียงแค่อยากช่วยจัดการคนที่ยุ่งยากหลายคนให้ลู่จ้าวอิ่ง ไม่ได้รุกล้ำชีวิตส่วนตัวของเขามากนัก

 

 

และไม่ได้ตั้งใจสืบหา

 

 

“เธออยากได้ข้อมูลของเขาเหรอ” ฉางหนิงขยับมือย้อนกลับหน้าหลักของ 129

 

 

อย่างที่ทราบกันถ้วนถั่ว 129 มีเครือข่ายข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดของโลก

 

 

แต่ข้อมูลเหล่านี้จะดูได้แค่ในอาณาเขตของตึก 129 เท่านั้น และดาวน์โหลดไม่ได้อีกด้วย

 

 

นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ทุกคนพยายามทุกวิถีทางเพื่อแทรกตัวเข้า 129

 

 

“ขอฉันชุดหนึ่ง” เมื่อเห็นว่าฉางหนิงหาเจอแล้ว ฉินหร่านจึงก้มหน้าเขียนโน้ตเพลงต่อ

 

 

ฉินหร่านไม่เคยมีความคิดอยากพบหน้าจริงๆ ที่จริงฉางหนิงรู้ว่าเธอพักอยู่โรงแรมไหน แต่ไม่กล้าทะเล่อทะล่ามาเอง

 

 

ตอนที่จะวางสาย จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องที่เขาให้คนตรวจสอบครั้งก่อนขึ้นมาได้ “จริงสิ เธอจำเรื่องที่จู่ๆ ยาในประเทศถูกส่งไปที่นอกชายแดนได้หรือเปล่า”

 

 

มือที่กำดินสอของฉินหร่านชะงัก ฟังน้ำเสียงของฉางหนิง เธอหรี่ตาลง โยนปากกาทิ้ง “มีข้อมูลแล้วเหรอ”

 

 

หากไม่ใช่เพราะเหอเฉินอยู่นอกชายแดนพอดี เฉินซูหลานไม่มีทางรอดมาได้แน่

 

 

คนนอกก็ไม่มีทางรู้ว่า แม้แต่ยาทดลองที่สกุลหลินยังหาไม่ได้ เธอกลับได้มันมา

 

 

“น่าแปลกนิดหน่อย” ฉางหนิงเคาะโต๊ะ ไตร่ตรองครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า “คนของห้องทดลองที่หนึ่ง ซึ่งก็คือผู้อำนวยการของพวกเขา ยาพวกนี้ถูกส่งไปเพื่อทดลองที่ชายแดน เหตุผลไม่น่าเชื่อ ยายเธอรู้จักคนพวกนี้เหรอ”

 

 

“ฉันเข้าใจแล้ว” ฉินหร่านพยักหน้า ไม่ตอบ เสร็จศึกฆ่าขุนพลอย่างเลือดเย็น “ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ฉันวางละ”

 

 

หลังกดวางสาย ฉินหร่านก็เริ่มเขียนต่อไปไม่ไหวแล้ว

 

 

เธอพิงพนักเก้าอี้ เงียบอยู่นานสองนานแล้ววางปากกาลง

 

 

วางโน้ตเพลงไว้ใต้หนังสือ จากนั้นหยิบเสื้อกันหนาวกับกระเป๋าเป้ออกไปข้างนอก

 

 

ตอนที่มาถึงหน้าประตู เธอก็นึกถึงผ้าปิดปากสีดำที่อยู่ในตู้ จึงย้อนกลับไปเอามาพกติดตัวไว้

 

 

เฉิงเจวี้ยนทิ้งไว้ตอนกลับไป

 

 

 

 

มหาวิทยาลัยเมืองหลวง

 

 

ตอนที่ฉินหร่านไปถึง ใกล้จะสี่โมงแล้ว ยังไม่เลิกเรียน คนในมหาวิทยาลัยไม่เยอะมาก

 

 

เธอเดินตรงไปทางคณะแพทย์

 

 

ยกฮู้ดของเสื้อกันหนาวขึ้นสวมแล้วใส่ผ้าปิดปาก มองไม่เห็นแม้แต่คางแล้ว แต่ยังคงเย็นชามากอยู่ดี

 

 

เอกลักษณ์เฉพาะตัวเด่นชัดมาก เคยเห็นแค่ครั้งเดียวก็จำได้ คุณลุงที่เฝ้าจุดสแกนบัตรจำเธอได้ “ใช่แล้ว เธอนี่เอง ศาสตราจารย์ไปดูงานนอกสถานที่แล้ว บอกว่าถ้าเธอมา ให้เอาอันนี้ให้เธอ”

 

 

ขณะที่พูด เขาก็หยิบถุงอาหารเดลิเวอรี่ออกจากตู้

 

 

ยื่นให้ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านรับมาแล้วเปิดดู

 

 

ข้างในเป็นขวดน้ำโปร่งใส บนขวดมีร่องรอยของการฉีกกระดาษทิ้ง ข้างล่างมีกระดาษ 4a ที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือทับอยู่ ลายมือหวัดเป็นอย่างมาก

 

 

“ขอบคุณค่ะ” ฉินหร่านเก็บของใส่กระเป๋า ดึงผ้าปิดปากลงแล้วขอบคุณอย่างมีมารยาท

 

 

ยามโบกมือว่าไม่เป็นไรแล้วถามเธอว่า “เธอไม่ใช่นักศึกษาของคณะแพทย์ใช่ไหม”

 

 

หากว่าใช่ เมื่อก่อนเขาน่าจะไม่เคยเห็น นักศึกษาแบบนี้ เห็นแค่ครั้งเดียวต้องจำได้แน่นอน

 

 

“เปล่าค่ะ” ฉินหร่านดึงผ้าปิดปากขึ้น จากนั้นเดินไปข้างนอก

 

 

ในขณะเดียวกัน

 

 

นอกประตูมหาวิทยาลัย

 

 

ฉินอวี่ หลินหว่านกับหนิงฉิงกำลังรอหลินจิ่นเซวียนออกมา

 

 

“มหาลัยนี้ดีจริงๆ” หนิงฉิงยืนอยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยเมืองหลวงถ่ายรูปหน้าประตูไปหลายภาพ

 

 

คนรอบข้างหนิงฉิงมีไม่น้อยเลยที่เป็นอย่างเธอ

 

 

ต่างก็ไม่ใช่นักศึกษาของมหาวิทยาลัย มาท่องเที่ยวเก็บภาพโดยเฉพาะเป็นส่วนใหญ่

 

 

มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ

 

 

ย่อมเป็นมหาวิทยาลัยเมืองหลวงกับ มหาวิทยาลัย A

 

 

ในสมัยของหนิงฉิง หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ คนทั้งหมู่บ้านจะเรียงแถวกันมาแสดงความยินดี เพียงแต่ว่าหมู่บ้านที่พวกเขาอยู่ ห้าปีก็ยากจะมีนักเรียนมีฝีมือสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้สักหนึ่งคน

 

 

ประเด็นหลักเป็นถิ่นทุรกันดาร การศึกษาก็ล้าหลัง

 

 

เมื่อคำนวณดูแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หนิงฉิงได้เห็นมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง

 

 

หากว่าเป็นเมื่อก่อน หลินว่านก็จะเยาะเย้ยเป็นแน่

 

 

แต่พิธีไหว้ครูของฉินอวี่ใกล้เข้ามาแล้ว จากท่าทีที่ไต้หรานมีต่อฉินอวี่ เห็นเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรงแล้ว หนิงฉิงก็ถือว่าได้อาศัยฉินอวี่ ก้าวเท้าเข้ามาในวงการของเมืองหลวงครึ่งหนึ่งแล้ว

 

 

อากัปกิริยาที่หลินหว่านมีต่อเธอจึงไม่ได้เหินห่างเท่าที่ผ่านมาแล้ว

 

 

จึงเปลี่ยนประเด็น พูดเสียงเรียบว่า “มหาลัยเมืองหลวงต้องดีอยู่แล้ว ปีหน้าอวี่เอ่อร์ก็มาเรียนได้”

 

 

ฉินอวี่แค่มองประตูมหาวิทยาลัยอย่างตื่นเต้น

 

 

หลินจิ่นเซวียนออกมาไม่ช้ามาก

 

 

เขาสูงโปร่งขายาว ใบหน้าหล่อเหลา เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็นับว่าโดดเด่นสะดุดตา น่าจะโด่งดังในมหาวิทยาลัยไม่เบา ทุกที่ที่ปรากฏตัวจะมีเสียงกระซิบกระซาบ มองออกได้ในปราดเดียว

 

 

หลินหว่านมาแจ้งข่าวที่ไต้หรานถูกใจฉินอวี่ให้หลินจิ่นเซวียน

 

 

และบอกเขาว่าพรุ่งนี้มีพิธีไหว้ครู

 

 

“ดูก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ผมกับเฟิงฉือมีธุรกิจที่ต้องไปเจรจา อาจจะไม่ทัน” หลินจิ่นเซวียนไม่ตอบตกลง

 

 

เมื่อรู่ว่าฉินอวี่จะได้เป็นศิษย์ของไต้หราน ก็แค่ชายตามองฉินอวี่นิดหน่อย สีหน้าท่าทางไม่นับว่าตกตะลึง

 

 

สายตาของเขามองไปทั่วอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

สองวันนี้ติดต่อฉินหร่านไม่ได้เลย เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในเมืองหลวงหรือเปล่า

 

 

เพราะเคยเห็นเธอแค่ในมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ฉะนั้นระหว่างที่เดิน เขามักจะเผลอมองหาร่างของเธออยู่เสมอ

 

 

เมื่อหาไม่เจอมาสองวันแล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกลับไปแล้ว

 

 

แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อกวาดตามอง จะเจอเข้าตรงประตูมหาวิทยาลัยจริงๆ ด้วย

 

 

แต่ข้างๆ อีกฝ่ายมีผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่

 

 

ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมาก กำลังก้มหน้าคุยกันอยู่

 

 

หลินจิ่นเซวียนเอาแต่จ้องทางนั้นอยู่ตลอด สามคนที่เหลือก็อดมองไปตามสายตาของเขาไม่ได้

 

 

เห็นฉินหร่านที่ยืนอยู่หน้าประตู กับผู้ชายที่ยืนตรงข้ามเธอทันที

 

 

ท่าทางผู้ชายคนนั้นกำลังยื่นของกองหนึ่งให้ฉินหร่าน

 

 

มองเห็นใบหน้าด้านข้างของผู้ชายคนนั้น หลินจิ่นเซวียนชะงักไป

 

 

ฉินอวี่ไม่ทันได้ปกปิดความตกใจ โพล่งออกมาทันทีว่า “พี่ยังไม่กลับเหรอ เธออยู่กับเว่ยจื่อหังตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ ผู้ชายข้างเธอคนนั้นเป็นใครอีกล่ะ”

 

 

อากาศหนาวเย็นแบบนี้ หลินหว่านยังคงสวมกี่เพ้า มีผ้าคลุมขนเฟอร์คลุมไหล่อยู่

 

 

คนรอบตัวฉินหร่านล้วนสะเปะสะปะมากทีเดียว

 

 

เธอเบนสายตาออกนิ่งๆ ไม่ค่อยสนใจมากนัก “ใครจะไปรู้ว่าเขาเป็นใคร”

 

 

หน้าของหนิงฉิงนิ่งลงเล็กน้อย

 

 

หลินจิ่นเซวียนได้สติกลับมา เขามองทั้งสามคนแวบหนึ่ง “ซ่งลวี่ถิง อันดับหนึ่งของเมือง อันดับหนึ่งของประเทศเมื่อปีก่อน ไม่รู้จักเหรอ”