ตอนที่ 157 ตระกูลที่แตะต้องไม่ได้

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่ละปี โรงเรียนเหิงชวนอีจงกับโรงเรียนอวิ๋นเฉิงจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดยิ่งนัก

 

 

         ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่ละครั้ง จำนวนคนที่ถึงระดับเส้นตัดคะแนนต่ำสุด จำนวนคนที่ถึงระดับเส้นตัดคะแนนชั้นหนึ่ง ม้ามืดที่ติดอันดับของมณฑลจะมีสักกี่คน โรงเรียนเก่าแก่ทั้งสองแห่งต่างก็แย่งชิงอันดับหนึ่งกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง

 

 

           โรงเรียนอวิ๋นเฉิงเน้นไปทางวรรณกรรม ส่วนโรงเรียนเหิงชวนเน้นทางวิทยาศาสตร์

 

 

           สาเหตุที่ซ่งลวี่ถิงโด่งดังขนาดนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะนักเรียนที่จบจากโรงเรียนอวิ๋นเฉิงอย่างเขา กลับคว้าอันดับหนึ่งด้านสายวิทยาศาสตร์ของเมืองไปครอง!

 

 

           ไม่ใช่แค่เมืองอวิ๋นเฉิงเท่านั้น แต่ยังเป็นอันดับหนึ่งของประเทศอีกด้วย

 

 

           เรื่องนี้ทำให้โรงเรียนเหิงชวนที่เป็นโรงเรียนเน้นวิทยาศาสตร์คับข้องใจยิ่งนัก

 

 

           ในแต่ละปี นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีอันดับหนึ่งของเมืองและมณฑลไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่อันดับหนึ่งของประเทศจะมีแค่คนเดียว แถมซ่งลวี่ถิงก็หน้าตาดี เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยก็ถูกผู้คนในมหาวิทยาลัยจับจ้องแล้ว

 

 

           เมื่อรู้ว่าเขามีชัยเหนือนักเรียนต่างชาติจำนวนมาก คว้าแชมป์การแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกสมัยเรียนมัธยมปลายปีสอง และได้เป็นลูกศิษย์ของคณบดีภาควิชาฟิสิกส์ตั้งแต่มาถึงมหาวิทยาลัย คนอื่นๆ ก็ทำได้แค่ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง

 

 

           เอาชนะรุ่นพี่ทั้งชายหญิงมากมาย กลายเป็นอันดับหนึ่งของสาขาฟิสิกส์อย่างไร้ข้อกังขา

 

 

           หลินจิ่นเซวียนรู้จักทุกคนจากอวิ๋นเฉิงที่อยู่ในหอพัก ย่อมมีคนรอบข้างบอกว่าเขามีเพื่อนร่วมบ้านเกิดที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง

 

 

           เพียงแต่ว่าซ่งลวี่ถิงติดตามคณบดีภาควิชาฟิสิกส์ตลอดเวลา ทั้งสองคนเคยเจอกันในงานเชิดชูเกียรติเท่านั้น ไม่เคยคุยกัน

 

 

           รายละเอียดพวกนี้ หลินจิ่นเซวียนไม่ได้พูดถึง

 

 

           เขารู้เรื่องนี้ แต่พวกหลินหว่านกับหนิงฉิงไม่รู้เลยสักนิด

 

 

           หลินหว่านไม่ใช่คนอวิ๋นเฉิง ย่อมไม่ให้ความสนใจกับข่าวซุบซิบของอวิ๋นเฉิง ตอนนั้นฉินอวี่เป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสอง เธอรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรมาตลอด นักเรียนรุ่นนั้นไม่มีคนที่เธอรู้จัก เห็นข่าวในทีวีผ่านๆ ตาเท่านั้น

 

 

           คนที่รายล้อมฉินหร่าน หากไม่ใช่อันธพาลก็คือเซเลบบริตี้   

 

 

           คนที่มีผลการเรียนอย่างฉินหร่าน อย่างมากก็แค่เป็นเพื่อนพ้องของพวกเขา ในสายตาของฉินอวี่ตอนนี้ คลุกคลีกี่ปีก็ไม่มีทางไต่เต้าเข้าวงการได้

 

 

           แต่เธอกับหลินหว่านไม่พูดอะไรเลย หลินจิ่นเซวียนก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้

 

 

           ฉินอวี่ตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะคิดไม่ถึงเลยว่า นักเรียนห่วยๆ คนหนึ่งจะรู้จักกับนักเรียนตัวท็อป แถมยังดูสนิทสนมมากด้วย

 

 

           เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร หลินจิ่นเซวียนก็บอกลาพวกเธอแล้วไปหาฉินหร่านทันที หนิงฉิงเองก็ตามหลังไปติดๆ

 

 

           ฉินอวี่เม้มปาก ตามพวกเขาไปด้วยเช่นกัน

 

 

           …        

 

 

           ซ่งลวี่ถิงเองก็บังเอิญเจอฉินหร่านระหว่างทาง

 

 

           จากนั้นก็กุลีกุจอกลับไปเอาของที่หอพัก เขายังมีเรียนต่อ ยังไม่ทันได้พาฉินหร่านเดินชมรอบมหาวิทยาลัยก็ต้องกลับไปเรียนต่อแล้ว

 

 

           เขาเพิ่งไป หลินจิ่นเซวียนก็มาถึง

 

 

           “ตอนนี้เธอพักที่ไหน จะกลับเมื่อไหร่” หลินจิ่นเซวียนมองแผ่นหลังของซ่งลวี่ถิงแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ามาหาฉินหร่าน ขมวดคิ้วน้อยๆ

 

 

           ฉินหร่านผงกหัวให้อย่างมีมารยาทและสุภาพ “กลับเมืองอวิ๋นเฉิงพรุ่งนี้ ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อน”

 

 

           หนิงฉิงวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ยังไม่ทันได้คุยอะไรกับฉินหร่าน ฉินหร่านก็บอกลาหลินจิ่นเซวียน ก้มหน้าดึงฮู้ดบนหัวลง หันหลังแล้วจากไป

 

 

           หลินจิ่นเซวียนมุ่นคิ้ว เขาหันไปมองผู้หญิงสามคนข้างๆ ที่ตามมา พูดอย่างสุภาพว่า “คุณอา น้าหนิง ผมไม่ไปส่งแล้วนะ คิดว่าพรุ่งนี้คงไม่มีเวลาไปร่วมงาน”

 

 

           รถของสกุลเสิ่นจอดอยู่ที่ลานจอดรถ

 

 

           ฉินอวี่มองแผ่นหลังของหลินจิ่นเซวียน เม้มปาก แสยะยิ้มในใจมากกว่าหนึ่งครั้ง มองภายนอกฉินหร่านไม่แสดงออกอะไรให้เห็นเลย แต่ฝีมือร้ายกาจไม่เบา

 

 

           เธอหันไปมองหนิงฉิง “แม่ พี่รู้จักซ่งลวี่ถิงได้ยังไง”

 

 

           หนิงฉิงจำซ่งลวี่ถิงคนนี้ได้แล้ว “รู้สึกว่าเขาจะเป็นคนในเขตหนิงไห่…”

 

 

           หลินจิ่นเซวียนไม่ได้พูดเรื่องที่คณบดีภาควิชาฟิสิกส์เป็นอาจารย์ของซ่งลวี่ถิงกับพวกเธอ        

 

 

           หลินหว่านไม่รู้ เมื่อได้ยินคำอธิบายของหนิงฉิง เธอก็พูดเสียงเรียบว่า “แต่ละปีมหาลัยเมืองหลวงมีแชมป์ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่คนที่มีอนาคตจริงๆ จะมีสักกี่คน อวี่เอ่อร์ใช่ว่าจะสอบเข้ามหาลัยเมืองหลวงไม่ได้ซะหน่อย”

 

 

           เมืองหลวงเป็นถังย้อมสีขนาดใหญ่ เรื่องอยุติธรรมมีถมเถไป คนที่ไม่มีชาติตระกูลทำได้แค่ไต่เต้าอย่างลำบากยากเข็ญ

 

 

           คนที่ปีนขึ้นไปได้เลอค่าหายาก

 

 

           ไม่ด้อยไปกว่าปลาคาร์พที่กระโดดข้ามประตูมังกร[1]

 

 

           แค่สุ่มคนคนหนึ่งในเมืองหลวงออกมาส่งๆ ก็อาจจะมีชาติตระกูลไม่ธรรมดา พบเห็นคนแบบนี้มานักต่อนัก เมื่อเห็นซ่งลวี่ถิง หลินหว่านก็เอ่ยปากชมได้แค่ว่ายอดเยี่ยมเท่านั้น

 

 

           อีกด้านหนึ่ง หลินจิ่นเซวียนไม่ได้ตามฉินหร่านไป เธอดูเหมือนจะเดินอย่างเชื่องช้า

 

 

           แต่เมื่อหายลับไปในกลุ่มคนแล้ว แค่ไม่ถึงครึ่งนาทีก็มองไม่เห็นเงาแล้ว

 

 

           เขายืนขมวดคิ้วอยู่กับที่

 

 

           มือถือในกระเป๋าแผดเสียง เป็นสายจากเฟิงฉือ หลินจิ่นเซวียนล้วงออกมาแล้วกดรับ หยุดนิ่งไปครู่ใหญ่

 

 

           หลังวางสายแล้ว เขาก็โทร.หาหลินฉี

 

 

           “เรื่องนี้แกไม่ต้องสนใจ” พอได้ฟังเรื่องราวจากหลินจิ่นเซวียนแล้ว หลินฉีก็เงียบไปครู่หนึ่ง ปฏิกิริยาอยู่ในการคาดเดาของเขา “พรุ่งนี้น้องสาวแกมีพิธีไหว้ครู ฉันไม่มีเวลาไปไม่ได้ ถ้าแกว่างก็พยายามไปหน่อยแล้วกัน”

 

 

           ทั้งสองคุยกันไม่กี่ประโยค

 

 

           แต่ปฏิกิริยาของหลินฉีทำให้หลินจิ่นเซวียนใจหนักอึ้ง

 

 

           เขาฉลาดเป็นกรด ย่อมรู้ว่า หลังเขาออกจากอวิ๋นเฉิง ฉินหร่านน่าจะเกิดความบาดหมางใจอะไรบางอย่างกับสกุลหลิน

 

 

           มิเช่นนั้นหลินฉีไม่มีทางเมินเฉยไม่ถามเลยสักประโยค

 

 

           และฉินหร่านก็จะไม่หลบหน้าเขาแบบนี้    

 

 

           …        

 

 

           ฉินหร่านกลับมาที่โรงแรม

 

 

           หยิบขวดน้ำในกระเป๋าเป้ออกมาดู

 

 

           บนขวดมีกระดาษใบหนึ่งที่เขียนไว้ว่า ‘Q’ แปะอยู่ ถูกเธอฉีกแล้วโยนทิ้ง

 

 

           มองอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หยิบขวดขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ หยิบกระดาษแผ่นนั้นที่เขียนหวัดๆ ขึ้นมามองอยู่พักหนึ่ง

 

 

           ข้างบนมีศัพท์เฉพาะจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในวงการแพทย์ เธอมองลวกๆ แล้วเก็บพวกมันกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง

 

 

           ก้มหน้าเริ่มเขียนเนื้อหาดนตรีที่ยังเขียนไม่เสร็จต่อ

 

 

           ครั้งนี้แรงบันดาลใจคงอยู่ในสมองของเธออย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้โทนเสียง หรือจังหวะและบีท ในใจเธอวางแผนไว้หมดแล้ว ข้างๆ เท้าเต็มไปด้วยเศษกระดาษที่ถูกขยำทิ้ง

 

 

           พอถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เธอก็ถ่ายรูปของโครงร่างคร่าวๆ รูปหนึ่ง ส่งให้เหยียนซี

 

 

           ทางฝั่งเหยียนซีกำลังอัดเพลง      ธีมประกอบภาพยนตร์เรื่องหนึ่งในห้องอัดเสียง

 

 

           เขาจริงจังกับดนตรีมาตลอด ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา มือถือของเขาอยู่กับผู้จัดการ

 

 

           ปกติแล้วมือถือของศิลปินมักจะอยู่ในความดูแลของผู้จัดการเป็นส่วนใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลาดสายสำคัญ

 

 

           มือถือของเขาสว่างวาบ ผู้จัดการที่รออยู่ข้างนอกอดหาวไม่ได้ หยิบขึ้นมาดูตามปกติ บนหน้าจอล็อกปรากฏให้เห็นเป็นแจ้งเตือน ‘รูปภาพ’ จากวีแชท ไม่มีอย่างอื่น

 

 

           เป็นเนื้อหาข้อความที่สั้นกระชับยิ่งนัก

 

 

           ผู้จัดการเชยตาขึ้นมอง เห็นชื่อของคนที่ส่งข้อความเข้ามา สมองที่ง่วงเหงาหาวนอนก็ตื่นขึ้นมาทันที

 

 

           เขาไม่สนใจแล้วว่าเหยียนซีกำลังอัดเสียง รีบเปิดประตูแล้วพุ่งเข้าไปทันที

 

 

           …        

 

 

           ขณะเดียวกัน

 

 

           ในร้านกาแฟริมถนนของเมืองหลวง

 

 

           ในที่สุดฉินอวี่ก็มีโอกาสได้เจอสวีเหยากวง เธอยื่นบัตรเชิญฉบับหนึ่งให้เขา

 

 

           “พรุ่งนี้เป็นพิธีไหว้ครูของฉัน สกุลไต้เป็นเจ้าภาพ” ฉินอวี่ใช้ช้อนคนกาแฟ เงยหน้ามองสวีเหยากวงแวบหนึ่ง ท่าทีดูเอาแต่ใจกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด “คุณลองคิดดูอีกแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะกลับอวิ๋นเฉิงพรุ่งนี้หรือเปล่าดีกว่า”

 

 

           ฉินอวี่พูดเสียงเรียบ

 

 

           สกุลไต้เป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเมืองหลวง ตลอดหลายปีมานี้ เพราะแข่งขันกับสกุลเว่ยทั้งต่อหน้าและลับหลังอยู่เสมอ จึงโดดเด่นมาก

 

 

           และไต้หรานก็เป็นอันดับสองของวงการ แม้จะเป็นแค่ผู้ติดตามของอาจารย์เว่ย แต่เพราะชื่อเสียงของอาจารย์เว่ย ทำให้เขารู้จักบุคคลสูงศักดิ์ไม่น้อยเลย

 

 

           ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็สูงกว่าสกุลเสิ่นเป็นอย่างมาก

 

 

           เป็นเหตุให้ฐานะในสกุลเสิ่นของฉินอวี่ตอนนี้อยู่เหนือข้อพิพาท

 

 

           เธอรีบร้อนกลับไปคุยกับสวีเหยากวงไม่กี่ประโยคก็หยิบมือมือกลับไปแล้ว

 

 

           สวีเหยากวงมีเรื่องในใจ จึงตอบแค่ไม่กี่คำ พอฉินอวี่นั่งรถของสกุลเสิ่นออกไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ตรงปากทาง ตากลมเย็นเยือกอยู่ครู่หนึ่ง รถหงฉี[2]ที่เรียบง่ายคันหนึ่งก็แล่นเข้ามา

 

 

           เมื่อผู้คนมองเห็นรถคันนี้ ต่างก็หลีกทางให้อย่างไม่รู้ตัว

 

 

           ในเมืองหลวง มีรถหรูทุกยี่ห้อให้เห็น

 

 

           แต่เมื่ออยู่นานแล้ว จะพบว่า ตระกูลที่ขับรถหงฉีที่เรียบง่ายเหล่านั้นต่างหาก ที่เป็นตระกูลที่แตะต้องไม่ได้อย่างแท้จริง

 

 

           สกุลสวีไม่ได้อยู่ในย่านคฤหาสน์ แต่เป็นเขตเมืองเก่า ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า จะมีการ์ดเฝ้าอยู่ทุกประตูเข้าออก

 

 

           ส่วนใหญ่จะเป็นเรือนสี่ประสาน แน่นอนว่าคนรุ่นอาวุโสมักจะชอบเรียกเรือนสี่ประสานว่าคฤหาสน์

 

 

           เนื้อที่แลดูกว้างขวาง แต่ที่จริงแล้วในหนึ่งตรอกจะมีบ้านแค่หนึ่งหลัง

 

 

           ล้วนเป็นตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่ไม่กี่ตระกูลในเมืองหลวง ที่สืบทอดต่อๆ กันมาไม่เคยเสื่อมถอย   

 

 

           รถยนต์จอดตรงหน้าประตูเรือน

 

 

           พ่อบ้านยืนรออยู่หน้าประตูนานแล้ว เปิดประตูข้างหลังออก

 

 

           สวีเหยากวงได้ทียื่นบัตรเชิญในมือให้เขาไปลวกๆ เดินตามโถงทางเดินเข้าไปในเรือนหลัก

 

 

           พ่อบ้านเดินตามหลังสวีเหยากวงสามก้าว พอสวีเหยากวงกลับเข้าห้องของตัวเองไปแล้ว เขาก็ก้มหน้าพลิกดูบัตรเชิญที่สวีเหยากวงยื่นให้เขา

 

 

           คนรับใช้ที่เดินผ่านเหลือบมองแวบหนึ่ง แต่มองไม่ออก “สกุลเสิ่น สกุลไต้ บัตรเชิญพิธีไหว้ครูก็ส่งให้คุณชายด้วยเหรอ”

 

 

           พ่อบ้านมองดูนิ่งๆ แล้วโยนไปอีกทาง

 

 

           บัตรเชิญที่ส่งมาที่เรือนสกุลสวีในแต่ละวันมีถมถืด

 

 

           นอกจากงานเลี้ยงจำนวนน้อยนิดแล้ว ปกติสกุลสวีมักจะไม่แยแส

 

 

           ในห้อง

 

 

           เรือนสี่ประสานเคยรีโนเวทใหม่แล้ว สกุลสวีนับว่าค่อนข้างสมัยใหม่ สวีเหยากวงพักอยู่ในเรือนส่วนตัวหลังหนึ่ง

 

 

           เขานั่งลงบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เฉียวเซิงเรียกเขาให้เข้าอารีนาของเกม

 

 

           “คุณชายสวี นายกลับอวิ๋นเฉิงบ่ายสามโมงพรุ่งนี้ใช่ไหม” เฉียวเซิงเลือกการ์ดตัวละครแล้วเริ่มเข้าคิว “แต่ละคนไปเมืองหลวงกันหมด ทิ้งฉันอยู่โรงเรียนคนเดียว น่าเบื่อจะตายชัก”

 

 

           “อืม” สวีเหยากวงเอนตัวพิงข้างหลัง ตอบส่งๆ ไป “มีใครมาที่เมืองหลวงอีกหรือเปล่า”

 

 

           เขานึกถึงเว่ยจื่อหัง

 

 

           “เจ๊หร่านไง เธอขอลาเหมือนนายเลย” พอถึงคิว เฉียวเซิงก็เข้าไปในอารีนาแล้วซัมมอนการ์ด[3] “ตอนแรกยังมีเว่ยจื่อหังกินข้าวเป็นเพื่อนฉัน แต่พอเขาได้ยินว่าเจ๊หร่านไปเมืองหลวง ก็จองตั๋วเครื่องบินไฟล์ทที่เร็วที่สุดบินไปทันที”

 

 

           วันนั้นสวีเหยากวงเองก็ได้ยินคนในโรงละครพูดถึงอยู่บ้าง รู้ว่าในห้องของอาจารย์เว่ยคือเว่ยจื่อหัง กับอีกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร

 

 

           พอได้ยินคำพูดของเฉียวเซิง สวีเหยากวงก็เงยหน้าขึ้นทันที “นายบอกว่าใครมาเมืองหลวงนะ”                

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ปลาคาร์พที่กระโดดข้ามประตูมังกร อุปมาว่า หากมีความพยายามจะต้องมีความสำเร็จอย่างแน่นอน

 

 

[2] หงฉี เป็นยี่ห้อรถยนต์หรู ของบริษัทเอฟเอดับเบิลยู ประเทศจีน

 

 

[3] ซัมมอน แปลว่า การอัญเชิญการ์ดตัวละคร