ตอนที่ 158 เธอธรรมดาเกินไปเมื่อเทียบกับอาจารย์เว่ย !

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“ก็เว่ยจื่อหังไง เขาซื้อเที่ยวบินที่เร็วที่สุด…” เฉียวเซิงชะงัก จากนั้นก็พูดซ้ำอีกครั้ง

 

 

สวีเหยากวงไม่ได้ซัมมอนการ์ด เขาจับเมาส์แน่น “ไม่ใช่ ประโยคก่อนหน้านั้น”

 

 

เฉียวเซิงที่อยู่ในคอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่งแตะศีรษะ พูดเบาๆว่า “เจ๊หร่าน?”

 

 

“อืม” สวีเหยากวงโพล่งออกมาเพียงคำเดียว

 

 

จบเกม

 

 

แทนที่จะเล่นด่านต่อไปกับเฉียวเซิง เขาก็เปิดลิ้นชักและหยิบแฟลชไดรฟ์สีดำออกมา แฟลชไดรฟ์นี้เป็นแฟลชไดรฟ์ที่ทีมงานมอบให้เขาในห้องแสดงดนตรีครั้งที่แล้ว

 

 

เขาเคยเรียกทีมงานทางเทคนิคที่รู้จักมักจี่มาดูเนื้อหาในกล้องวงจรปิด แต่ช่องทางของไฟล์ต้นฉบับกลับถูกทำลายและไม่มีทางกู้คืนมาได้

 

 

เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เป็นเพราะคำพูดของเฉียวเซิงจึงทำให้เกิดความสับสนขึ้นมา

 

 

ฉินหร่าน…

 

 

สวีเหยากวงสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

 

สิบโมง

 

 

พ่อบ้านเคาะประตู

 

 

“คุณชายครับ จะยกเลิกเที่ยวบินพรุ่งนี้ไหมครับ” เขายกอาหารรอบดึกมาเสิร์ฟพร้อมกับกระซิบถามเกี่ยวกับบัตรเชิญใบนั้นที่สวีเหยากวงมอบให้ตอนที่กลับมา

 

 

สวีเหยากวงปิดคอมพิวเตอร์และเดินไปที่โต๊ะอาหารโดยไม่คิดอะไร “ไม่ต้อง เที่ยวบินเดิม”

 

 

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พ่อบ้านคิดเอาไว้อยู่แล้ว

 

 

เขาพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ยืนอยู่อีกด้านคอยสวีเหยากวงทานมื้อดึก หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ถึงจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นายท่านได้เจอกับทายาทที่อวิ๋นเฉิงแล้วหรือครับ ถึงไม่ยอมกลับมา”

 

 

สวีเหยากวงชะงัก ขนตาหลุบลง “นายไปฟังใครมา?”

 

 

พ่อบ้านกดเสียงต่ำ “ผมเดาเอาน่ะ หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไร นายท่านก็ล้วนทำเพื่อทายาทไม่ใช่หรือครับ?”

 

 

สวีเหยากวงทานเสร็จก็วางตะเกียบลงแล้วค่อยๆใช้ทิชชูเช็ดมือ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องนี้พอแค่นี้”

 

 

แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

พ่อบ้านหัวใจบีบรัด เขาถือถาดออกมาแล้วยืนอยู่นอกลานบ้าน ในใจแอบคิดว่าใต้ฟ้าเมืองหลวงให้ความรู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยนไป

 

 

**

 

 

วันต่อมา

 

 

ฉินหร่านตื่นนอนตอนหกโมงเช้าและเก็บข้าวของของตัวเอง

 

 

กองเอกสารที่ยับยู่ยี่ของเธอบนพื้นโรงแรมถูกเธอคัดแยกและโยนลงถังขยะ

 

 

เสื้อนอกยังอยู่บนตัว นอกจากกระเป๋าเป้สีดำยังมีถุงพลาสติกสีขาวและสมุดบันทึกอีกสองสามเล่ม

 

 

เธอออกจากประตูตอนหกโมงครึ่ง โดยมีลู่จ้าวอิ่งรออยู่ข้างนอกแล้ว 

 

 

มีแค่เขาคนเดียว

 

 

เป็นเรื่องลำบากพอตัวที่จะต้องตื่นเช้าขนาดนี้ ลู่จ้าวอิ่งหาวโดยที่ในมือยังถือกุญแจรถ “คุณชายเจวี้ยนติดภารกิจชั่วคราว คาดว่ายังเหลือเวลาอีกสองถึงสามวัน ช่วงนี้ผมยังไม่กลับไป เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่สนามบิน”

 

 

เขาไม่ได้บอกว่ามีภารกิจชั่วคราวอะไร แต่ฉินหร่านเองก็ไม่ได้ถาม

 

 

ตอนที่เธอไปก็ไม่มีใครรู้นอกจากลู่จ้าวอิ่ง

 

 

อาจารย์เว่ยรู้ว่าเธอกลับอวิ๋นเฉิงวันนี้  แต่ไม่รู้ว่าเวลาแน่นอนที่เธอจะกลับไป

 

 

เมื่อเห็นฉินหร่านนำบอร์ดดิงพาสไปที่ประตูขึ้นเครื่องแล้ว ลู่จ้าวอิ่งก็หาวอีกครั้งและเตรียมจะกลับไปนอน

 

 

พอขึ้นรถ เจียงตงเยี่ยก็โทรศัพท์หาเขา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสวมหูฟังไร้สายและค่อยๆขับรถเข้าทางจราจร

 

 

“คนไปแล้วเหรอ?” เมื่อคืนลู่จ้าวอิ่งพูดในกลุ่มว่าต้องตื่นแต่เช้าไปส่งคน เจียงตงเยี่ยก็รู้ว่าเป็นฉินหร่าน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งตอบ “อืม” จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่า “วันนี้โอวหยางเว่ยคะแนนออกแล้วไม่ใช่เหรอฮะ?”

 

 

“เมื่อวานเฉิงมู่กับคนอื่นๆคุยกันทั้งคืน” เจียงตงเยี่ยไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ “แต่ว่าคุณหนูฉินคนนั้นร้ายไปหน่อย คืนก่อนจางเซี่ยงเกอบอกว่าเห็นปาปารัซซีของเธออยู่ชั้นบนสุดของคลับเฮาส์ ต่อมาฉันก็ลองกลับไปคิดดูว่าปาปารัซซีเข้ามาในคลับเฮาส์ได้ยังไง?”

 

 

คืนนั้นพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในคลับเฮาส์พาราไดซ์

 

 

ซึ่งเป็นคลับเฮาส์ที่ไฮโซที่สุดในเมืองหลวง แม้ไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร แต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าคลับเฮาส์แห่งนี้ค่อนข้างลึกลับเป็นพิเศษ คนที่คิดจะก่อเรื่องมักจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

รวมถึงดาราเหล่านั้นจะมาที่คลับเฮาส์แห่งนี้

 

 

แล้วปาปารัซซีธรรมดาๆจะขึ้นไปชั้นบนสุดอย่างราบรื่นได้อย่างงั้นหรือ?

 

 

ระบบรักษาความปลอดภัยและการตรวจสอบของคลับเฮาส์พาราไดซ์มีวิธีจัดการกันอย่างไร?

 

 

“ปาปารัซซี?” ลู่จ้าวอิ่งเป็นคนมีไหวพริบ เขาจำเหอเฉินที่เฉิงมู่เคยพูดกับเขาได้ “นักข่าวสงครามใช่ไหม? เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเธอยังอยู่ที่ชายแดนอยู่เลย”

 

 

เมื่อได้ยินว่าเป็นนักข่าวสงคราม แม้เจียงตงเยี่ยจะค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็แสดงท่าทีว่าพอรับได้ เขาเดินเข้าไปในครัวและถือนมออกมาหนึ่งแก้ว “ก็ยังจะดีกว่าขายศิลปะอย่างนายเว่ย”

 

 

ทั้งสองคิดว่าเหอเฉินธรรมดาเกินไปเมื่อเทียบกับอาจารย์เว่ย!

 

 

**

 

 

ฉินหร่านขึ้นเครื่องบินตอนเก้าโมงเช้าและมาถึงอวิ๋นเฉิงตอนสิบเอ็ดโมง

 

 

เพิ่งจะลงจากเครื่องได้ไม่นาน

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็โทรมา

 

 

ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์ของเฉิงเจวี้ยนแต่เป็นเบอร์แปลก

 

 

ถามว่าเธอถึงหรือยัง หลังจากได้รับคำตอบเขาก็วางสายไป

 

 

ฉินหร่านก้มหน้ามองเบอร์แปลกที่อยู่ในบันทึกการติดต่อ คิดได้สักพักก็ไม่ได้คิดจะซักไซ้

 

 

ข้อมูลการเคลื่อนไหวทั้งหมดอยู่ในมือเธอ

 

 

ไม่ว่าใครที่ส่อเค้าว่าจะตรวจสอบเธอ เธอก็จะรู้ได้

 

 

ครั้งล่าสุดกู้ซีฉือบอกว่าในมือแมทธิวมีรายชื่อของคนที่ตรวจสอบเธอ แต่เธอมั่นใจว่าไม่มี เพราะเธอไม่ได้รับความเคลื่อนไหวว่ามีคนตรวจสอบฐานข้อมูลของเธอ

 

 

แต่พอเห็นรายชื่อที่กู้ซีฉือส่งมา เธอก็แปลกใจเล็กน้อย

 

 

เพราะเฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่งไม่ได้ตั้งใจที่จะตรวจสอบเธอ แต่จางเซี่ยงเกอนั่นกลับมีความเคลื่อนไหวไม่น้อยหลังจากค่ำคืนนั้น

 

 

อย่างไรก็ตามฉินหร่านก็ไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเธอไม่ต้องการ ฉางหนิงก็ทำอะไรกับข้อมูลส่วนตัวเธอไม่ได้

 

 

ฉินหร่านไม่ได้กลับไปที่โรงเรียน แต่ไปโรงพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก

 

 

เมื่อถึงเวลาทานข้าว เฉินซูหลานก็นั่งพิงหมอนทานข้าวกลางวัน

 

 

พยาบาลทำหน้าที่ได้ดีมาก เธอย้ายเก้าอี้มานั่งข้างเตียงและคอยดูเฉินซูหลานทานข้าว

 

 

ฉินหร่านกวักมือให้พยาบาลออกไป เธอมานั่งบนเก้าอี้และปอกแอปเปิลให้เฉินซูหลาน

 

 

เนื่องจากเฉินซูหลานหมดเรี่ยวแรงไปทั้งตัว มือที่จับช้อนเคลื่อนไหวช้ามาก เธอเงยหน้าขึ้นและพยายามไม่ให้เป็นที่สังเกต “จะพูดกับอาจารย์เว่ยยังไง?”

 

 

“ไม่รู้ หนูยังไม่ได้คิด” ฉินหร่านก้มหน้า ในมือยังถือมีดปอกผลไม้ เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ปีหน้าค่อยสอบจบม.ปลาย ไม่รีบ”

 

 

เธอปอกแอปเปิ้ลเป็นชิ้นชิ้น

 

 

วางไว้ให้เฉินซูหลานข้างๆ จากนั้นก็ไปหยิบไม้จิ้มฟันมาเสียบไว้ข้างบน

 

 

“ช่วงนี้น้าแกไม่ได้มาที่นี่” เฉินซูหลานค่อยๆกินพลางทำหน้านิ่ว “เธอเอาแต่หยิ่งทระนงมาตลอด พอมีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมพูด ตอนนั้นแม่แกรับมือเรื่องสามีของน้าแก เธอถึงกับยอมทำงานวันละสามกะและไม่ยอมรับเงินส่วนที่เหลือ”

 

 

“เดี๋ยวเอาของไปส่งให้มู่หนาน หนูจะแวะไปดู” ฉินหร่านพยักหน้าอย่างหงุดหงิด

 

 

“ยังมีอีกอย่าง” เฉินซูหลานเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “อาจารย์เว่ยเป็นครูที่ดีหาได้ยาก จื่อหังเองก็ไม่ใช่สวี่เซิ่น…”

 

 

ฉินหร่านเม้มริมฝีปาก

 

 

ช่วงนี้เฉินซูหลานมักจะถ่ายทอดความหลังอยู่บ่อยครั้ง

 

 

ฉินหร่านเก็บอารมณ์ที่เกิดขึ้นทันทีและพูดเบาๆ “หนูทำอะไรไม่ได้มากขนาดนั้นหรอก หนูจะทำเท่าที่ตัวเองทำได้”

 

 

ในห้องผู้ป่วยไม่มีใครแล้ว ช่วงเวลานี้หมอก็ยังไม่ได้มาตรวจ เธอจึงนั่งพิงกับโต๊ะแล้วเทของในกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะ

 

 

มองอย่างเงียบๆ

 

 

เฉินซูหลานเอียงศีรษะและเห็นว่าในกองสิ่งของที่ฉินหร่านเทนั้นมีกล่องที่เธอให้มู่หยิงใส่เข้าไปด้วย

 

 

ฉินหร่านยื่นมือมาหยิบกล่องไม้วางไว้ในมือ จากนั้นก็เลิกคิ้วมองเธอด้วยหน้าตาเฉยเมย

 

 

เฉินซูหลานเห็นเพียงขวดพลาสติกที่คุ้นเคย เธอรีบชักสายตากลับและก้มหน้าทานข้าวอย่างจริงจัง ไม่กล้ามองฉินหร่านที่อยู่อีกด้าน

 

 

หลังจากเฉินซูหลานชักสายตากลับ ฉินหร่านก็ถึงจะเก็บกล่องไม้ยัดกลับใส่ในกระเป๋าเป้และหยิบขวดพลาสติกขึ้นมา

 

 

หลังจากก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นานสองนานก็เม้มปากพร้อมกับคลายเกลียวฝาขวด

 

 

พอฉินหร่านรู้สึกตัว เฉินซูหลานก็ทานข้าวเร็วขึ้น

 

 

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเธอก็ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ฉินหร่านยื่นแก้วน้ำอุ่นให้เธอและมองเธอดื่มจนเสร็จ จากนั้นถึงจะช่วยเฉินซูหลานเก็บกล่องข้าวให้เรียบร้อยแล้วกดกริ่งเรียกพยาบาลให้เอากล่องข้าวออกไป

 

 

“คุณยายเฉิน พอหลานสาวมาแล้ว สีหน้าคุณยายดีขึ้นไม่น้อยเลยนะคะ” เมื่อเห็นเฉินซูหลาน พยาบาลก็ยิ้ม

 

 

ตอนที่เธอเห็นเฉินซูหลานดูแข็งแรงขึ้นและหน้ามีเลือดฝาดก็ยังแอบตกใจ มิน่าล่ะถึงมีคนบอกว่าเมื่อคนเราพบเจอเรื่องที่น่ายินดี จิตใจก็มีความสุขตาม

 

 

ฉินหร่านอยู่กับเฉินซูหลานตลอดช่วงบ่าย เธอไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง

 

 

จนถึงเวลาห้าโมงเย็น เธอหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังออกจากโรงพยาบาล

 

 

ไม่ได้เรียกรถแท็กซี แต่นั่งรอรถเมล์สาย 623 อยู่ใต้ตึกโรงพยาบาล

 

 

วันนี้เป็นวันพุธ ที่โรงเรียนจะมีเรียนและตอนเย็นก็มีการเรียนด้วยตัวเอง

 

 

แต่ปกติมู่หนานจะไม่เรียนด้วยตัวเองในตอนเย็นเพราะไม่ได้บังคับนักเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งถึงปีสาม ทุกเย็นเมื่อหนิงเวยกลับมา มู่หนานก็จะช่วยเธอทำกับข้าวและเก็บเสื้อผ้า

 

 

ส่วนมู่หยิงมักจะเข้าเรียนด้วยตัวเองทุกเย็น

 

 

**

 

 

หลังจากฉินหร่านไปแล้ว เฉินซูหลานก็ลืมตาขึ้นและถอนหายใจอย่างเงียบๆ

 

 

จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงโทรหาอาจารย์เว่ย

 

 

“อาจารย์เว่ย คราวที่แล้วคุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” เฉินซูหลานลุกขึ้นนั่งโดยใช้มือยัน เธอไอเหมือนอย่างที่ไม่เคยเป็น

 

 

อาจารย์เว่ยที่อยู่เมืองหลวงกำลังถือโทรศัพท์และเดินออกไปข้างนอก “สวัสดีครับ ที่ผมโทรหาคุณก็ไม่ได้มีอะไร เพียงแค่อยากจะถามคุณว่าโน้ตเพลงพวกนั้นของฉินหร่านยังอยู่ไหมครับ?”

 

 

“ยังอยู่นะคะ” เฉินซูหลานเลิกคิ้ว พอนึกถึงภาพอาจารย์เว่ยดูโน้ตเพลงเหล่านั้นอย่างจริงจังก็ยิ้มขึ้นมา “ฉันให้เธอเก็บมันไว้อย่างดี คือ…มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”

 

 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เว่ยหลินรู้จักกับเฉินซูหลาน เขาก็รู้ว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา

 

 

แต่กลับไม่คิดว่าความรู้สึกเธอจะไวขนาดนี้

 

 

เขาไม่กล้าพูดอะไรมาก ยิ่งพูดมากก็จะยิ่งผิดไปมากกว่านี้ เขาคุยกับเฉินซูหลานแบบขอไปทีไม่กี่ประโยคก็วางสายไป

 

 

แววตาเฉินซูหลานอีกด้านหนึ่งกลับจมดิ่ง

 

 

เธอเอนกายพิงเตียง แสงนัยน์ตาเธอหม่นหมองลงได้สักพัก มือแตะริมฝีปากและไออีกครั้ง 

 

 

**

 

 

บ้านน้า

 

 

มู่หนานเปิดประตูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และเดินกลับไปที่ครัว

 

 

หนึ่งนาทีต่อมาเขาออกมาอีกครั้งพร้อมกับมีด พูดด้วยหน้าตาเย็นชา “กินข้าวหรือยัง”

 

 

“ยัง” ฉินหร่านวางถุงพลาสติกในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นดึงเก้าอี้ออกมาและนั่งไขว่ห้างอยู่ริมโต๊ะ

 

 

มู่หนานเป็นคนที่ทำอาหารเร็วอยู่แล้ว

 

 

ฉินหร่านพบว่าเขายกกับข้าวออกมาเพียงสองอย่าง

 

 

“เย็นนี้น้าไม่กลับเหรอ?” ฉินหร่านถือตะเกียบพลางหรี่ตาเล็กน้อย

 

 

น้ำเสียงมู่หนานที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้ต่างไปจากเดิม “เธอทำงานกะดึก กลับมาพรุ่งนี้เช้า”

 

 

หนิงเวยทำงานหนักมาโดยตลอด ฉินหร่านเคยแอบวางแผนหาบริษัทให้เธออยู่หลายแห่งและให้เงินเดือนเริ่มต้นที่สองหมื่นหยวน แต่เธอไม่ไป

 

 

สุดท้ายฉินหร่านก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยัดของไว้ในที่พักของพวกเขาอย่างไม่ยอมท้อถอย

 

 

ฉินหร่านเม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร

 

 

คนตระกูลหนิงล้วนเป็นคนหัวรั้น

 

 

“มู่หยิงก็ไม่กลับ?” ฉินหร่านเงยหน้าถามอีกครั้งและถามอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

“เธอไปเมืองหลวงแล้ว เมื่อวานป้าโทรมาบอกแม่ให้แม่ไปร่วมงานไหว้ครูที่เมืองหลวง แต่แม่ไม่ไปก็ยังจะให้แม่ไป” มู่หนานกินได้สองคำก็วางตะเกียบ

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เห็นฉินหร่านอยู่ในสายตา

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สังเกตเห็น มือเธอวางอยู่บนโต๊ะเฉยๆ แต่ในหัวกลับคิดเตลิด

 

 

หนิงฉิงโทรหาหนิงเวย พอหนิงเวยไม่ไปก็ไม่ยอม ยังให้มู่หยิงไปให้ได้

 

 

คราวนี้มันแปลกๆ

 

 

หลังจากทานข้าวเสร็จ ฉินหร่านก็หยิบสมุดบันทึกที่ซ่งลี่ว์ถิงนำออกมาโยนให้มู่หนาน

 

 

“พี่เจอพี่ใหญ่ซ่งแล้ว?” มู่หนานขยับคิ้ว

 

 

“อืม” มู่หร่านกำลังจะกลับหอพักไปอาบน้ำ จึงหยิบกระเป๋าสีดำของตัวเองออกไปโดยไม่อยู่ต่อ “ขยันเรียนเข้าล่ะ มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงรอนายอยู่”

 

 

มู่หนานเหลือบมองเธอ “วิชาฟิสิกส์พี่ได้ศูนย์แน่ะ”

 

 

ฉินหร่าน “…”

 

 

เธอคาดไว้แล้วว่ามู่หนานก็ยังคงเป็นมู่หนานคนเดิม หลังจากสะพายเป้ไว้ที่หลังก็เปิดประตูออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร

 

 

หลังจากฉินหร่านจากไป มู่หนานก็เก็บท่าที

 

 

เขาวางสมุดบันทึกไว้ข้างๆ จากนั้นก็เข้าไปเอาปิ่นโตเก็บความร้อนในครัว ใส่ข้าวและซุปร้อนลงไป นั่งรถเมล์ไปโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่ง 

 

 

สีหน้าเยือกเย็น ดวงตาดำขลับ

 

 

อย่างไรก็เป็นในเมือง ไม่ว่าโรงพยาบาลทั่วไปที่ไหนเตียงผู้ป่วยก็แน่นไปหมด

 

 

มู่หนานหาหนิงเวยเจอที่เตียงริมทางเดินในโรงพยาบาล

 

 

ขาซ้ายของเธอห่อเฝือกและยังต้องได้รับการรักษาต่อไป บนนั้นยังมีคราบเลือดติดอยู่อย่างเห็นได้ชัด

 

 

มู่หนานยืนอยู่ที่ปลายสุดของทางเดิน กำหมัดแน่นและค่อยๆเดินไปข้างเตียงทีละก้าว

 

 

“ผมจะไปยืมเงินจากป้า” มู่หนานนั่งอยู่ข้างเตียงพลางขมวดคิ้ว น้ำเสียงฟังไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึก

 

 

หนิงเวยหน้าซีดเล็กน้อย ริ้วรอยรอบดวงตาของเธอเห็นได้ชัดมาก เธอเม้มริมฝีปาก “มู่หนาน แกห้ามไปนะ!”

 

 

“ได้ ผมไม่ไป” มู่หนานพยักหน้า “เมื่อเย็นนี้ลูกพี่ลูกน้องมา เธอสงสัยแล้ว”

 

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ นิ้วหนิงเวยบีบแน่น “จะอย่างไรก็ต้องปิดเรื่องนี้ไว้ จะให้หร่านหร่านรู้ไม่ได้! ตอนนั้นที่เกิดเรื่องหมิงเย่ว์ เธอเกือบจะต่อยพวกสวี่เซิ่นตายไปแล้ว ถ้าขืนเธอรู้เรื่องนี้เข้า ด้วยนิสัยของเธอ เธอจะต้องทนไม่ไหวแน่ๆ ผู้จัดการโรงงานของเราไม่ใช่คนตระกูลสวี่ ด้วยเส้นสายของเขา ถ้าเขาจับตัวหร่านหร่านเข้าคุก พอถึงตอนนั้นแกจะให้เธอทำยังไง?!”