ตอนที่ 159 แสดงความสามารถ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หนิงเวยไม่สนใจแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่เข้าใจ

 

 

เธอดูออกว่าตระกูลหลินมีทัศนคติอย่างไรต่อฉินหร่านได้อย่างชัดเจน ในความเป็นจริงสถานะของหนิงฉิงในตระกูลหลินยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด

 

 

เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องลำบากเพียงเพราะพวกเขา

 

 

ถ้าหากฉินหร่านรู้เข้าว่าเธอมานอนอยู่โรงพยาบาลได้อย่างไร ยังไงก็ต้องเกิดพายุนองเลือดขึ้นแน่

 

 

“จากการตรวจสอบเครื่องจักรนั้นก็ไม่เคยมีเหตุขัดข้องจนกระทั่งแม่ออกไปทำงานนอกสถานที่ ผู้จัดการโรงงานเราเป็นยังไงแกยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? พวกแกจะเอาอะไรไปสู้กับเขา? เรื่องนี้…อาจจะมีอย่างอื่นอยู่เบื้องหลัง…เดิมทีขาแม่ก็ใช้การไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้ตัดไปก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ต้องลำบากหร่านหร่านและพวกแก! ปู่ของแกด้วย…” หนิงเวยไม่ได้บอกละเอียดนัก เธอจับแขนมู่หนานด้วยดวงตาแดงก่ำ “มู่หนานฟังแม่นะ น้องสาวแกไปเมืองหลวงแล้ว แกจะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าเอ่ยเรื่องนี้ให้หร่านหร่านกับยายแกสองคนนี้แม้แต่คำเดียว สัญญากับแม่นะ!”

 

 

มู่หนานที่กำหมัดแน่นปล่อยมืออีกครั้งและก้มหน้า “ผมเข้าใจแล้ว”

 

 

เขาเป็นคนรู้จักหนักเบามาโดยตลอด หนิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับเอนตัวพิงหลัง สายตาห่อเ**่ยวเล็กน้อย “มู่หนาน ดูแลของที่ยายแกมอบให้แกดีๆ ละ”

 

 

มู่หนานตักซุปให้เธอ

 

 

หนิงเวยไม่ได้ใช้ยาระงับความเจ็บปวด เธอจึงเจ็บมาก เธอดื่มซุปเล็กน้อยโดยไม่ทานอาหารเย็น

 

 

เช้าวันต่อมาเขายังต้องไปเรียน มู่หนานจึงรีบนั่งรถเที่ยวสุดท้ายกลับบ้าน

 

 

ที่บ้าน กองสมุดบันทึกที่ฉินหร่านพกกลับมาจากเมืองหลวงยังไม่ได้วางอยู่บนโต๊ะ

 

 

มู่หนานเดินไปที่ข้างโต๊ะและยื่นมือไปหยิบหนังสือและเอกสารที่อยู่ในถุงพลาสติกออกมาทีละเล่ม

 

 

ส่วนมากจะเป็นเอกสารทางฟิสิกส์และสมุดบันทึกวิชาฟิสิกส์

 

 

นอกจากนี้ยังมีแบบฝึกหัดแข่งขันฟิสิกส์อีกหลายเล่ม

 

 

มู่หนานก้มศีรษะลงเล็กน้อย ขนตาหลุบลง มีเงาตกลงมาบนเปลือกตาของเขา หลังจากดูอยู่เป็นเวลานานเขาก็เอื้อมมือไปเก็บกองเอกสารวางไว้ในชั้นและล็อกมันไว้

 

 

**

 

 

อีกด้านหนึ่ง ฉินหร่านก็กลับมาที่ห้องและอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ไปที่โรงพิมพ์ของโรงเรียน

 

 

“พิมพ์ทั้งหมดนี่เลยไหม?” คุณลุงคนที่รับผิดชอบการพิมพ์ถามอย่างใจดี

 

 

ฉินหร่านผงกศีรษะเล็กน้อย ผมปรกหน้าผากนูน นิ้วเรียวสวยวางอยู่บนโต๊ะพลางเคาะเบาๆอย่างเฉยชา เป็นไปตามอารมณ์ 

 

 

คุณลุงที่โรงพิมพ์ช่วยเธอพิมพ์ออกมาทีละแผ่น

 

 

รูปมีสิบกว่าหน้าและออกมาอย่างช้าๆ

 

 

ฉินหร่านพิงอยู่ข้างๆ และวางของที่อยู่ในมือลง หยิบโทรศัพท์และเริ่มอ่านข้อมูลของยายที่ฉางหนิงส่งให้เธอ

 

 

ด้วยข้อมูลที่ค่อนข้างเยอะ ฉินหร่านจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

โดยเฉพาะตอนที่เห็นชื่อหนิงเวยอยู่ตรงกลาง

 

 

ยี่สิบนาทีต่อมา ภาพทั้งหมดก็ถูกพิมพ์ออกมา ฉินหร่านเฝ้ามองอย่างเหม่อลอย

 

 

ยังคิดถึงเรื่องของหนิงเวย

 

 

ขณะที่เจ้าของร้านกำลังช่วยเธอบรรจุภาพก็ถามด้วยว่า “นักเรียน เธอพิมพ์ภาพทิวทัศน์มากขนาดนี้จะเอาไปทำโปสการ์ดเหรอ?”

 

 

“อ๊ะ ไม่ใช่หรอกค่ะ” ฉินหร่านตอบสนองช้าเล็กน้อย เธอยืนตัวตรง “ให้คนน่ะ”

 

 

เจ้าของร้านยื่นรูปภาพที่บรรจุแล้วให้ฉินหร่านพร้อมกับพยักหน้าโดยไม่ซักไซ้อีก

 

 

ฉินหร่านเก็บโทรศัพท์ใส่ใว้ในกระเป๋าและไปห้องเก้าพร้อมกับรูปถ่ายมากมาย

 

 

น้อยมากที่เจ้าของร้านจะเจอคนที่สวยขนาดนี้ หลังจากเห็นฉินหร่านจากไปก็ถึงจะสาวเท้ากลับไปเพื่อเตรียมจะเล่นเกม

 

 

แต่เจอบัตรนักเรียนอยู่บนโต๊ะ

 

 

ฉินหร่าน ปีสาม ห้อง 9

 

 

ชื่อนี้คุ้นๆ

 

 

น่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่สวยๆ คนนั้นเมื่อกี้นี้

 

 

เขาตามออกไปแต่กลับไม่พบฉินหร่านแม้แต่เงา

 

 

“เดินเร็วจัง” เจ้าของร้านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและวางมันกลับไว้ที่เดิม ถ้าพรุ่งนี้เด็กนักเรียนคนนั้นไม่มาเอา เขาจะหาเวลาว่างเอาไปส่งที่ห้อง 9

 

 

วันนี้คนของห้องเก้ามากันเยอะ

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาถึงห้องเก้า สวีเหยาหวงก็กลับมานานแล้ว ในมือถือปากกาและมีแบบฝึกหัดฟิสิกส์วางอยู่ข้างๆเขา

 

 

ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้เขายังทำโจทย์ไม่ถึงสามข้อใหญ่

 

 

หากมองดูดีๆ จะเห็นว่าดวงตาของเขาว่างเปล่าเล็กน้อย

 

 

หลังจากเรื่องระหว่างฉินหร่านกับเมิ่งซินหรานผ่านไป ความนิยมของฉินหร่านก็ติดอันดับหนึ่งในสี่ จากนั้นก็ไม่ได้มาเรียนเป็นเวลาสามวัน จู่ๆตอนเย็นก็ปรากฏตัวในห้องเก้ากะทันหัน จึงทำให้ห้องเก้าเกิดความฮือฮาไม่น้อย

 

 

“เจ๊หร่าน เล่นเกมไหม? พาฉันเข้าทีมเอาชนะหน่อยสิ!”

 

 

“เจ๊หร่านช่วยด้วย โดนบุกปล้นสะดม!

 

 

“……”

 

 

ฉินหร่านโยนรูปไว้บนโต๊ะ ลากเก้าอี้มานั่งอย่างส่งๆ

 

 

เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้คนรอบข้าง เธอก็เลิกคิ้วพิงพนักเก้าอี้แล้วใช้นิ้วเคาะโต๊ะ

 

 

เสียงรบกวนรอบตัวหายไปทันที

 

 

ฉินหร่านหดนิ้วและหยิบหนังสือต้นฉบับในกระเป๋าเป้ออกมา วันนี้เธอไม่ต้องฝึกเขียนตัวอักษรหรืออ่านหนังสือต้นฉบับ

 

 

มือข้างหนึ่งทับกระดาษ อีกมือหนึ่งถือปากกาพร้อมกับเสียบหูฟัง จากนั้นก็เริ่มแต่งโน้ตเพลงไว้ในกรอบ 

 

 

โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสว่างขึ้นในชั่วขณะ

 

 

เป็นเหยียนซีที่ส่งรอยยิ้มให้เธอ

 

 

เธอเขียนด้วยสติอันล่องลอย สักพักก็เป็นแนวนอน สักพักก็แนวตั้ง หลินซือหรานไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร หลังจากมองไปสักพักก็มองกลับไปยังรูปถ่ายที่พิมพ์ไว้ที่อยู่บนโต๊ะของเธอ

 

 

ที่นั่งข้างหลัง

 

 

เฉียวเซิงมองสวีเหยากวงราวกับมองไปที่ทิศทางของฉินหร่าน วางปากกาจิ้มด้านหลังสวีเหยากวงและถามด้วยเสียงเบาๆ “คุณชายสวี นายมองอะไร? ไม่กี่วันมานี้ฉันเช็กได้Q…”

 

 

เขาเดาว่าเป็นเพราะเรื่องQเรื่องนั้น

 

 

ตั้งแต่ครั้งที่แล้วสวีเหยากวงก็มีท่าทีที่ดูแปลกออกไป

 

 

“เฉียวเซิง นายจำที่ฉินอวี่เคยบอกว่า ฉิน…เล่นไวโอลินเป็นได้ไหม?” สวีเหยากวงเอนตัวเล็กน้อยพลางหรี่ตา ถามด้วยเสียงต่ำ 

 

 

“อื้อ แต่เจ๊หร่านเล่นไวโอลินไม่เก่งและฉันก็ไม่เคยเห็นเธอฝึกมันเลย” เฉียวเซิงไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนประเด็น ผงะไปสักพักถึงจะตอบกลับ

 

 

สวีเหยากวงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มือหมุนปากกา นัยน์ตาเยือกเย็น “นายไม่เคยเห็นเธอฝึกแล้วรู้ได้ยังไงว่าเธอเล่นไม่เก่ง?”

 

 

แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ฉินอวี่บอก

 

 

เฉียวเซิงเกาหัวพลางมองสวีเหยากวงอย่างระมัดระวังอีกครั้งโดยไม่กล้าที่จะตอบโต้

 

 

อย่างไรก็ตามสวีเหยากวงก็ไม่ได้ตั้งใจรอคำตอบจากเขา เขาหันมาจ้องกลับโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

**

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

 

ที่เมืองหลวง

 

 

งานไหว้ครูก็เสร็จสมบูรณ์

 

 

มู่หยิงเดินตามหลังหนิงฉิงและคนอื่นๆมาที่บ้านตระกูลเสิ่นอย่างเกร็งๆ

 

 

เนื่องจากไต้หรานรับฉินอวี่เป็นลูกศิษย์ ตระกูลเสิ่นจึงตั้งใจรับหนิงฉิงจากที่โรงแรมกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ทั้งยังจัดห้องให้พวกเธออยู่ติดกับฉินอวี่

 

 

มู่หยิงไม่เคยแม้แต่จะเคยเห็นประตูบ้านตระกูลหลินเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นบ้านตระกูลเสิ่นที่อลังการงานสร้าง เธอจึงเก็บอาการไว้ไม่อยู่ มองแล้วมองอีก 

 

 

คนของบ้านตระกูลเสิ่นล้วนเห็นอยู่ในสายตา

 

 

แต่กลับไม่ได้แสดงออกผ่านทางสีหน้า

 

 

ก่อนเข้านอนมู่หยิงยังคงพักอยู่ในห้องของฉินอวี่

 

 

หนิงฉิงกำลังโทรศัพท์หาเฉินซูหลาน

 

 

“ป้า ยายเรียกหาป้าทำไม?” มู่หยิงไม่ได้คุยกับเฉินซูหลานมาตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

 

 

กลัวว่าเฉินซูหลานจะพูดอะไรกับหนิงฉิง

 

 

หนิงฉิงวางโทรศัพท์ลงแล้วยิ้ม “เธอน่ะ ได้ยินมาว่าอาจารย์ไต้หรานรับอวี่เอ๋อร์เป็นลูกศิษย์แล้วก็เลยโทรหาฉันโดยเฉพาะเพื่อขอดูวิดีโอการแข่งขันของอวี่เอ๋อร์”

 

 

“ให้หนูอัดวิดีโอทำไมกัน ยายไม่ได้สนใจไม่ใช่เหรอ?” ฉินอวี่ออกมาจากห้องน้ำหลังอาบเสร็จพลางเลิกคิ้ว

 

 

ตอนที่เธอทำการแสดงช่วงแรกๆ หนิงฉิงส่งวิดีโอให้เฉินซูหลานดูแต่เฉินซูหลานกลับบอกว่าจะนอน ไม่อยากดู

 

 

ดังนั้นหนิงฉิงจึงส่งให้หนิงเวย

 

 

“ตอนนี้คงเสียใจแล้วล่ะ” หนิงฉิงหัวเราะอย่างได้ใจอยู่หน่อยๆ “พอรู้ว่าหนูเก่งขนาดนี้ เธอจะไม่ปลื้มใจแทนได้ยังไงล่ะ?” 

 

 

เธอก้มหน้าพลางหาวิดีโอที่ตัวเองอัดไว้ในมือถือส่งให้เฉินซูหลาน

 

 

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ในที่สุดหนิงฉิงก็สามารถเชิดหน้าชูตาต่อหน้าหลินหว่านได้แล้ว

 

 

ขณะที่ฉินอวี่กำลังเช็ดผมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

 

 

“ใช่สิ ทำไมแม่เธอไม่มาด้วย?” หลังจากที่หนิงฉิงส่งวิดีโอให้เฉินซูหลานก็หันไปถามมู่หยิง “ฉันส่งวิดีโอให้เธอแล้ว แต่ก็ไม่เปิดดู ดึกขนาดนี้แล้วเธอยังอยู่โรงงานพลาสติกอยู่อีกเหรอ?”

 

 

“อืม”  มู่หยิงพยักหน้า “ตอนที่ฉันมา เธอก็ยังไม่กลับ”

 

 

หนิงฉิงหรี่ตาลงพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกไปโทรหาหนิงเวยข้างนอก

 

 

ฉินอวี่รู้ว่าเธอจะต้องถามหนิงเวยอีกแน่ๆว่าทำไมหนิงเวยถึงไม่ใช้เงินในบัตรที่เธอทำให้

 

 

**

 

 

วันรุ่งขึ้น

 

 

สำนักงานชั้นมัธยมศึกษาปลายปีหนึ่ง

 

 

“อะไรนะ? เธอจะถอนตัวออกจากการแข่งขันฟิสิกส์? และยังจะข้ามชั้น?” อาจารย์ประจำชั้นปีหนึ่ง ห้องหนึ่ง กำลังถือเอกสารการแข่งขันที่เตรียมจะเอาไปถ่ายเอกสารพลางมองไปยังนักเรียนที่เป็นความภาคภูมิใจที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่มีการตอบสนองกลับมา “ทำไมล่ะ?”

 

 

โรงเรียนมัธยมฯอีจงให้ความสนใจกับการแข่งขันทางวิชาการทุกประเภทมาโดยตลอด

 

 

ปัจจุบันผู้ที่ได้รับรางวัลการแข่งขันตั้งแต่อันดับสามขึ้นไปจะได้คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น

 

 

หลังจากการสอบกลางภาค อาจารย์แต่ละวิชาในชั้นมัธยม จะให้ความสนใจกับกลุ่มต้นกล้าเหล่านี้

 

 

มู่หนานเป็นที่หนึ่งของระดับชั้นที่มีคะแนนแต่ละวิชาเทียบเคียงได้กับคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินของฉินหร่านที่อยู่ชั้นปีสาม ซึ่งมักจะถูกอาจารย์แต่ละวิชาทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และชีวะดึงตัวไป แต่สุดท้ายเขาก็เลือกวิชาฟิสิกส์

 

 

ปีก่อนๆการมีคนอย่างมู่หนานปรากฏตัวอยู่ในโรงเรียนนับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

 

 

แต่นักเรียนอัปยศกลุ่มหนึ่งของชั้นปีสามในปีนี้

 

 

ไม่ว่าจะเป็นฉินหร่าน สวีเหยากวง พานหมิงเย่ว์ ไม่มีใครที่จะสามารถรับมือได้ง่ายๆ เมื่อเทียบกับนักเรียนปีสาม เหล่านี้มู่หนานนับว่าใสสะอาดกว่ามาก

 

 

พอตอนนี้มาได้ยินว่าเขาจะถอนตัวออกจากการแข่งขันและยังจะข้ามชั้นขึ้นไปปีสาม อาจารย์ประจำชั้นก็ลุกขึ้นทันที

 

 

“ไม่มีอะไรหรอกครับ” มู่หนานก้มหน้า เม้มริมฝีปากด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ก็แค่จู่ๆก็ไม่ชอบปีหนึ่งแล้ว”

 

 

“มู่หนาน เธอต้องคิดให้ดีดีนะ เธอมีพื้นฐานที่ดี เนื้อหาของปีสองปีสามเธออาจจะเรียนรู้เองได้ แต่เธออย่าตัดสินใจส่งเดชในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้เลย ด้วยคุณสมบัติของเธอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเธอยังสามารถคว้าแชมป์ระดับเมืองมาได้ ไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเองแบบนี้”

 

 

ขณะที่พูด อาจารย์ประจำชั้นก็หยุดเป็นพักๆและพูดเบาๆ “เธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า บอกครูมาตรงๆได้ไม่เป็นไร ครูช่วยเธอได้”

 

 

มู่หนานเงยหน้าขึ้น ดวงตายังคงมืดสนิทราวกับน้ำแข็งที่แตกสลาย “อาจารย์ครับ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าผมค่อยข้ามชั้น ส่วนเรื่องการแข่งขันฟิสิกส์ หวังว่าอาจารย์จะช่วยผมเก็บเป็นความลับ”

 

 

อาจารย์ประจำชั้นมองตาเขา ท้ายที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจ “อาจารย์หวังว่าเธอจะกลับไปคิดให้ดี หรือลองปรึกษากับครอบครัวสักหน่อย”

 

 

“ขอบคุณครับอาจารย์” มู่หนานโค้งตัว จากนั้นก็ยืนขึ้นเดินออกไปจากห้องสำนักงาน

 

 

ด้านหลังมีเสียงทอดถอนใจ

 

 

**

 

 

อาจารย์ประจำชั้นปีหนึ่งห้องหนึ่งไปถ่ายเอกสารด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

 

อดไม่ได้ที่จะคุยเรื่องนี้กับเจ้าของร้าน

 

 

หลังจากที่คุยเสร็จก็พบว่าเย็นเฉียบไปทั่วทั้งโรงพิมพ์

 

 

อาจารย์ประจำชั้นปีหนึ่งห้องหนึ่ง อึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นเด็กนักเรียนหญิงที่สวมเสื้อกันหนาวสีขาวทับด้วยชุดนักเรียนไว้ด้านนอกกำลังมองมาที่เขา

 

 

ดูคุ้นหน้าคุ้นตา

 

 

“ขอโทษนะคะ ขอถามอะไรหน่อย”  ใบหน้าที่งดงามของฉินหร่านไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร แต่ก็โค้งให้เขาอย่างสุภาพ “เมื่อกี้คุณกำลังบอกว่าใครถอนตัวออกจากการแข่งขันฟิสิกส์นะคะ?”

 

 

เธอได้ยินเสียง

 

 

มีแสงสว่างแวบเข้ามาในหัว เขานึกขึ้นได้ว่านี่คือแกะดำของปีสามห้องเก้า ฉินหร่าน

 

 

แม้แต่เว่ยจื่อหังยังยอมเป็นผู้ตาม เขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร?

 

 

“ไม่มีอะไร” เมื่อนึกถึงสิ่งที่มู่หนานกำชับ อาจารย์ประจำชั้นห้องหนึ่งก็ปิดปากเงียบ

 

 

ฉินหร่านยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ เธอพยักหน้าราวกับว่าเธอแค่ถามไปงั้นๆ

 

 

เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าวและยิ้มอย่างสุภาพ “เจ้าของร้านคะ เมื่อวานตอนเย็นฉันลืมบัตรนักเรียนไว้ที่นี่หรือเปล่าคะ?”

 

 

แม้จะยิ้มแต่ก็ไม่สามารถปกปิดอารมณ์ร้ายๆที่อยู่ในตัวได้

 

 

เจ้าของร้านชะงัก จากนั้นก็รีบไปหยิบบัตรนักเรียนที่วางไว้อย่างดียื่นให้เธอ

 

 

“ขอบคุณค่ะ” ฉินหร่านรับบัตรนักเรียนมาและกล่าวขอบคุณก่อนจากไป

 

 

อาจารย์ประจำชั้นห้องหนึ่งถอนหายใจด้วยความประหม่า “เด็กนักเรียนสมัยนี้…แต่ละคนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามเลยจริงๆ”

 

 

**

 

 

ตอนเย็นหลังเลิกเรียน

 

 

มู่หนานกลับมาที่บ้าน ทำอาหาร จากนั้นก็ถือปิ่นโตเก็บความร้อนไปที่โรงพยาบาล

 

 

เขาไม่ได้ลา

 

 

หนิงเวยเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ถ้าเขาขอลาก็ไม่รู้ว่าเธอจะว่าอะไร

 

 

วันนี้เธอไม่ได้นอนรอบนเตียงผู้ป่วย หนิงเวยพิงอยู่บนเตียง เมื่อเห็นมู่หนานมา เธอก็ถอนหายใจ

 

 

มู่หนานวางปิ่นโตเก็บความร้อนและพยุงเธอเข้าห้องน้ำ

 

 

หลังจากกลับจากห้องน้ำได้ไม่นาน ทั้งสองก็เดินไปที่ทางเดิน มู่หนานชะงักเท้า

 

 

เมื่อเห็นเขาหยุด หนิงเวยก็นิ่งไป “ทำไมแก…”

 

 

ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉินหร่านยืนอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยโดยที่ในมือเธอกำลังถือประวัติการรักษาของหนิงเวย

 

 

“หร่าน…หร่านหร่าน?” หนิงเวยอ้าปาก

 

 

ฉินหร่านสูดหายใจ

 

 

เธอหันกลับและได้ยินเพียงเสียงเรียบๆของตัวเอง เลือดในกายสูบฉีด “จากผลการวินิจฉัย อีกสามวันต้องตัดขาเหรอ? น้า ขาของน้าใกล้จะหายแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ตัดขา? ทำไมถึงแนะนำให้ตัดขาล่ะ? ใครทำ? ฮะ?”

 

 

“หร่านหร่าน เธอมาแล้ว” เนื่องจากทางเดินแออัดจึงมีเสียงดังรบกวน เสียงของฉินหร่านก็ไม่ได้เด่นชัดออกมา หนิงเวยยิ้มเล็กน้อย เธอให้มู่หนานประคองเธอไปหาฉินหร่าน “เป็นเพราะน้าไม่ระวังเอง ขาของน้าถึงได้เข้าไปในเครื่องจักร ไม่ต้องไปโทษใครหรอก” 

 

 

นิสัยหนิงเวยเป็นยังไง ฉินหร่านรู้ดี

 

 

ฉินหร่านไม่มองเธออีก เธอเงยหน้าขึ้นมองมู่หนาน ดวงตาแทบจะเปื้อนเลือดและถามเน้นทีละคำ “โรงงานไหน?”