ตอนที่ 175 ร่วมมือ? ไม่ใช่!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

เซี่ยอี๋แน่นิ่งล้มลงกับพื้นเช่นเดียวกัน หลังจากที่อดทนความไม่สบายตัวแล้วก็ค่อยลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เมื่อเขาอ้าปาก ควันดำสายหนึ่งก็ลอยตามมา “แม่ง ความสามารถของการกลายพันธุ์ทางจิตดันทำร้ายตัวเองเนี่ยนะ? ไม่มีความยุติธรรมเลยหรือไง?”

 เซี่ยอี๋กลัดกลุ้มกับความสามารถนี้ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ความสามารถที่ได้รับจากการกลายพันธุ์ทางจิตของเขาทรงพลังมาก นั่นก็คือ พลังงานไฟฟ้า แต่ว่ามันแตกต่างจากพลังกลายพันธุ์ทางจิตที่คนอื่นๆ ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถควบคุมพลังงานไฟฟ้าได้เลย เมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าก็จะทำร้ายร่างกายเช่นเดียวกัน เพียงแต่พลังทำลายจะลดลงครึ่งหนึ่ง ทว่าต่อให้ลดลงครึ่งหนึ่งแล้ว นั่นก็เหลือจะทนอยู่ดี นอกจากนี้พลังงานไฟฟ้าไม่ได้สนับสนุนการควบคุมหุ่นรบของเขา ถึงขนาดที่ไม่สามารถใช้ได้เลย นี่ทำให่เซี่ยอี๋ผิดหวังมาก คิดว่าไม่มีความสามารถนี้ยังจะดีซะกว่า

บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มีเด็กหนุ่มสวมชุดเครื่องแบบสีแดงสองคนที่หนึ่งนั่งหนึ่งยืนพิงลำต้นไม้กำลังเฝ้าดูเซี่ยอี๋ต่อสู้กับหยวนเฉินอย่างใกล้ชิด

“คนที่ลูกพี่ส่งข้อความบอกให้เฝ้าดูร้ายกาจมากจริงๆ ด้วย…” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่เอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม เขาพอใจเซี่ยอี๋มาก

“สายตาของลูกพี่หลานจะพลาดได้ยังไง…ฉันสงสัยจริงๆ ว่า ลูกพี่ส่งข้อความให้พวกเราได้ยังไง?” เด็กหนุ่มชุดแดงอีกคนที่ยืนอยู่เอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม นี่เป็นเรื่องที่เขาคิดยังไงก็คิดไม่ออก

นับตั้งแต่ที่การต่อสู้ประจัญบานเริ่มต้นขึ้น อุปกรณ์สื่อสารของลูกเสือทุกคนต่างสูญเสียฟังก์ชั่นติดต่อไป นอกจากข้อความที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักส่งมาให้เอง รวมไปถึงปุ่มยอมแพ้ขอความช่วยเหลือที่ไม่ได้สูญเสียฟังก์ชั่นไปนั้น ส่วนฟังก์ชั่นอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาอยากติดต่อใครก็ทำไม่ได้เลย แต่สำหรับหลิงหลานแล้ว ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย ตอนที่อยู่บนดาวสัตว์อสูรครั้งก่อนก็เป็นอย่างนี้ การต่อสู้ประจัญบานในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกัน

“คิดเยอะแยะขนาดนั้นทำไม…” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่จ้องมองเพื่อนตัวน้อยของเขาด้วยความหงุดหงิด เขาเป็นคนชอบคิดมาก ต่อให้เป็นเรื่องง่ายๆ ก็ถูกเขาคิดซับซ้อนไปหมดแล้ว “จี้จวิน นายอย่าเสียแรงไปคิดเลย ในเมื่อลูกพี่ไม่บอก นั่นก็หมายความว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราทำไม่ได้”

เขาเข้าใจลูกพี่ของตัวเองดี ถ้าเกิดเป็นเรื่องที่พวกเขาอาจจะเรียนรู้ได้ ลูกพี่ไม่มีทางตระหนี่กับเรื่องพวกนี้เด็ดขาด ในเมื่อไม่พูด ก็หมายความว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ด้วยความสามารถของพวกเขา ไม่มีประโยชน์ที่จะไปกังวลกับเรื่องไร้สาระ

เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ได้ยินคำพูดก็อึ้งไป เขาพลันตระหนักขึ้นมาได้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “ฉีหลง ความจริงแล้วนายคือคนที่เข้าใจลูกพี่มากที่สุด…” คำพูดเดียวก็ปลุกคนจากห้วงฝัน เขานึกย้อนไปถึงเมื่อก่อน ก็เป็นเหมือนกับที่ฉีหลงว่าไว้จริงๆ ขอเพียงพวกเขาสามารถเรียนรู้การใช้ได้ หลิงหลานไม่เคยตระหนี่เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย ในเมื่อหลิงหลานไม่บอก นั่นก็หมายความว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขารู้และแบกรับได้…เมื่อเทียบกับฉีหลงที่มีความคิดเรียบง่ายแล้ว เขายังคงใคร่ครวญเรื่องบางอย่างลึกลงไปมากกว่า

ที่แท้สองคนนี้ก็คือฉีหลงกับหานจี้จวินนี่เอง พวกเขาสองคนรวมกลุ่มเดินทางมาด้วยกัน จัดการทีมของพวกปีสิบห้องดีเด่นและห้องบีได้อย่างสบายๆ ทว่าพวกเขาไม่เจอทีมปีสิบห้องเอเลย นี่จึงทำให้พวกเขาเสียใจอยู่บ้าง

ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ฉีหลงได้รับข้อความที่หลิงหลานส่งมา บอกว่าสถานที่แห่งนี้ปรากฏคนที่ดูน่าสนใจมากๆ เขาแข็งแกร่งและก็ซ่อนตัวได้ลึกมาก ให้พวกเขาลองมาดู ถ้าเกิดพอใจก็สามารถรับเข้าเป็นสมาชิกคนที่หกของทีมพวกเขาได้

พวกเขายืนมองอยู่ที่นี่ประมาณห้าหกนาที รู้ความสามารถของอีกฝ่ายโดยพื้นฐานแล้ว ต่อให้ด้อยกว่าฉีหลงนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับลั่วล่างแล้วก็ไม่ได้แย่กว่าเลย

“เอ๋? อีกฝ่ายเหมือนจะใช้พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาแล้ว” เสียงตื่นเต้นของฉีหลงปลุกหานจี้จวินที่อยู่ในห้วงความคิด เขาเงยหน้ามองไป บนตัวหมอนั่นมีสภาพผิดปกติจากการเปิดใช้พรสวรรค์จริงๆ ด้วย นับตั้งแต่ที่คำว่า ‘พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้น’ ถูกเอ่ยออกมาจากปากของหลิงหลาน ทีมฉีหลงก็ไม่เรียกพรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นว่าเป็นการกลายพันธุ์ทางจิตอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกเขารู้สึกว่าคำที่หลิงหลานพูดมาดูเหมาะสมมากกว่า

พวกเขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับคำเรียกขานใหม่นี้ เนื่องจากปากของลูกพี่หลานหลุดคำศัพท์ใหม่ต่างๆ นานาออกมาอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาเห็นจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว

ทั้งสองคนเห็นการโจมตีครั้งสุดท้าย และก็เห็นเซี่ยอี๋ถูกพรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นของตัวเองทำให้เขาอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายไปด้วยเหมือนกัน ฉีหลงอดกล่าวพลางหัวเราะไม่ได้ “พรสวรรค์นี้น่าสนใจจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะแว้งกัดเจ้าของด้วย ประหลาดชะมัด!”

กระทั่งหานจี้จวินที่เคร่งขรึมมาตลอดเห็นฉากตรงหน้านี้ ใบหน้าเขาก็อดเหยเกไม่ได้เหมือนกัน รู้สึกรับไม่ได้ไม่ชั่วขณะ เขาศึกษาเกี่ยวกับการตื่นขึ้นของพรสวรรค์ หรือก็คือการกลายพันธุ์ทางจิตวิญญาณมาอย่างลึกซึ้งมาก เขาเคยค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว และไม่เคยเห็นของประหลาดแบบนี้มาก่อนจริงๆ ทำลายศัตรูหนึ่งพัน ทำร้ายตัวเองไปแปดร้อย เป็นท่าใหญ่ที่บีบให้ตายตกตามกันสินะ….

“เฮ้ พวกนายดูการแสดงพอแล้วหรือยัง?” เซี่ยอี๋ที่เพิ่งจะดูถูกความสามารถตัวเองเงยหน้าขึ้นมาทันใดก่อนจะมองไปยังทิศทางที่พวกเขาสองคนอยู่ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา เมื่อจบการต่อสู้ เซี่ยอี๋ที่ใจเย็นลงก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีคนตรงนั้นกำลังจ้องมองที่นี่อยู่

“ฮ่าๆ ระมัดระวังตัวดีมาก ประสาทสัมผัสก็ไวเหมือนกัน ไม่เลวเลยจริงๆ~!” ฉีหลงได้ยินคำถามของอีกฝ่ายก็หัวเราะพลางตอบกลับทันที ยิ่งเขามองคนตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกชอบมากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะชวนเขาเข้าทีมทันที

ความจริงแล้วการได้รับความชื่นชอบของฉีหลงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ขอเพียงอีกฝ่ายแข็งแกร่งพอ สามารถต่อสู้กับเขาได้บ่อยๆ ก็ OK แล้ว

ฉีหลงเพิ่งจะกล่าวจบ ร่างของเขาก็กระโดดจากบนต้นไม้ลงมาที่เบื้องหน้าของเซี่ยอี๋ หานจี้จวินเห็นดังนั้นก็ได้ตามไปอย่างไร้คำพูด ฉีหลงเป็นคนที่ตัดสินใจทำอะไรแล้วก็ลงมือทันทีมาตลอด เขาจนปัญญากับเรื่องนี้มาก

“ฉีหลง!” เซี่ยอี๋รู้จักคนที่ครองอันดับหนึ่งของชั้นปีพวกเขามาอย่างยาวนานดี สายตาของเขากวาดมองไปยังหานจี้จวินที่ตามหลังฉีหลงมา แววตาฉายความเข้าใจออกมาแวบหนึ่ง สองคนนี้ตัวติดกันมาตลอด ดังนั้นการที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าด้วยกันก็เป็นเรื่องธรรมดามาก  เพียงแต่ว่าพวกเขาหยุดอยู่ที่นี่และสนใจการต่อสู้ของเขาทำไม? หรือเพราะว่าเขาเป็นพวกเครื่องแบบสีขาว ส่วนอีกฝ่ายเป็นพวกเครื่องแบบสีแดง? เซี่ยอี๋คาดเดาเจตนาที่ฉีหลงกับหานจี้จวินมา

“ถึงแม้ฉันไม่รู้ว่าลูกพี่สังเกตเห็นนายตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่านายแข็งแกร่งมากจริงๆ ฉันยินดีเชิญนายเข้าร่วมทีมของพวกเรา” ฉีหลงประเมินเซี่ยอี๋จากบนลงล่างแวบหนึ่งถึงค่อยเอ่ยปาก

“เข้าร่วมทีมพวกนาย?” เซี่ยอี๋สับสน “เพราะอะไร?” จู่ๆ ก็มีคนโผล่ขึ้นมาเอ่ยชวนเข้าทีมของพวกเขา ไม่ว่าใครก็รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกและมึนงงอย่างมาก

ฉีหลงกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นหานจี้จวินก็รั้งแขนเสื้อเขาไว้ ทำให้เขาหุบปากทันที ฉีหลงเป็นคนขี้เกียจ ในเมื่อหานจี้จวินบอกใบ้ว่าให้เขาออกหน้า ฉีหลงก็รออยู่ด้านข้างด้วยความสบายใจ ขี้เกียจสิ้นเปลืองคำพูดโน้มน้าวอีกฝ่าย

หานจี้จวินเดินขึ้นมาข้างหน้า และถามด้วยใบหน้าจริงจังว่า “ไม่ทราบว่าจะให้ฉันเรียกนายว่าอะไรดี?”

“เซี่ยอี๋!” เซี่ยอี๋ถูกสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของหานจี้จวินทำให้รู้สึกอ่อนลง เขาต้านทานคนที่มีสีหน้าแบบนี้ได้ยากที่สุดเลย

“เซี่ยอี๋ ตอนนี้นายเข้าร่วมทีมอื่นแล้วหรือยัง?” ถ้าเกิดเข้าร่วมทีมแล้ว หานจี้จวินก็จะหยุดหัวข้อสนทนานี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะขาดสมาชิกทีมไปหนึ่งคน แต่พวกเขาไม่มีทางไปแย่งสมาชิกของทีมอื่นเพราะเหตุนี้หรอกนะ พวกเขาคิดว่าการกระทำแบบนี้ไม่มีค่าพอให้พวกเขาไปทำ

“เรื่องนี้ยังไม่มี!” เขาซ่อนความสามารถมาตลอด แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่สนใจเข้าร่วมกับพวกทีมที่อ่อนแอด้วย ดังนั้นเขาเลยอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด

หานจี้จวินได้ยินคำตอบของเขา สีหน้าที่เคร่งขรึมก็อ่อนโยนลงมา แต่ว่าเขายังคงอธิบายให้เซี่ยอี๋ฟังอย่างจริงจังว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้ ตอนนี้ทีมของเรายังขาดสมาชิกไปหนึ่งคน และพวกเราเตรียมตัวไว้ว่าหลังจากนี้อีกไม่นานเราจะไปทำภารกิจฝ่าด่านโลกเสมือนจริง เตรียมตัวเข้าสู่โลกเสมือนที่แท้จริงเพื่อสัมผัสการต่อสู้ของหุ่นรบล่วงหน้าก่อนหนึ่งก้าว ไม่รู้ว่านายจะสนใจหรือเปล่า?”

เซี่ยอี๋เงยหน้าขึ้นทันใด สายตาจ้องมองหานจี้จวินเพื่อตัดสินว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นความจริงหรือโกหก

แน่นอนว่าเขาย่อมสนใจเกี่ยวกับการต่อสู้หุ่นรบ ความจริงแล้วสาเหตุที่เขาอยู่คนเดียวมาตลอด ก็เพราะมีเป้าหมายว่าจะรอข้อเสนอดีๆ อยู่บ้างเหมือนกัน เขาสนใจสามทีมใหญ่ของห้องเอมาตลอด และมองหาความเป็นไปได้ในการร่วมมือ เขาเองก็ย่อมเคยคิดสร้างทีมของเขาเองเพื่อทำภารกิจนี้ให้สำเร็จด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่นักเรียนที่มีความสามารถต่างถูกสามทีมใหญ่รับไปหมดแล้ว ทำให้เขาได้แต่วางความคิดนี้ไว้ชั่วคราว

ทว่าตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือ ทีมหลิงหลานเสนอให้เขาเข้าทีมเอง นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งยวด หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมาเพราะคำเชิญที่ไม่คาดฝันนี้ ต่อให้เขาพยายามอดทนข่มกลั้นอยู่เงียบๆ อีกสักแค่ไหน เขายังคงเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสาม ยังคงเคยอยากกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตั้งมั่นมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากเปิดตัวให้ผู้คนตกตะลึงตอนสอบเข้าที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแล้วละก็ เขาคงไม่สามารถอดทนมาได้หลายปีขนาดนี้แน่นอน…

“ร่วมมือกัน?” เซี่ยอี๋เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง เขาจำเป็นต้องรู้ว่านี่คือการตั้งทีมชั่วคราว หรือว่าเป็นเพื่อนกันตลอดชีวิต ถ้าคำตอบไม่เหมือนกัน การตัดสินใจของเขาก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะแตกต่างเช่นกัน…

หานจี้จวินเผลอมองไปที่ฉีหลงตามจิตใต้สำนึก ต่างฝ่ายต่างเห็นรอยยิ้มในสายตาของอีกคน จากนั้นหานจี้จวินก็หันหน้ากลับมามองไปที่เซี่ยอี๋และพูดว่า “ร่วมมือกัน?”

แววตาของเซี่ยอี๋ฉายความผิดหวังออกมาวูบหนึ่ง คนแปลกหน้าที่เข้าร่วมกลุ่มระหว่างทางเหมาะสมกับแค่ร่วมมือกันเท่านั้นจริงๆ ด้วย

“ไม่ใช่!” คำพูดต่อมาของหานจี้จวินทำให้เซี่ยอี๋อ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

“พวกเรารับแค่เพื่อนเท่านั้น ร่วมมือกัน? พวกเรามีตัวเลือกอยู่เหลือเฟือเลย” อู่จย่ง เยี่ยซวี่ต่างก็เป็นตัวเลือกที่สามารถร่วมมือกันได้ แต่ว่าพวกเขาไม่มีทางกลายเป็นสมาชิกทีมของพวกเขา หลิงหลานบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ยอมขาดแคลนสมาชิกทีมดีกว่าได้เพื่อนร่วมทีมที่ด้อยคุณภาพ เมื่อเข้าร่วมแล้วก็เป็นได้แค่เพื่อนที่เติบโตไปด้วยกันเท่านั้น อนาคตยิ่งต้องเป็นเพื่อนร่วมรบเป็นตายด้วยกัน

“ถ้าเกิดนายอยากร่วมมือกับพวกเราเท่านั้น…ขอโทษด้วยนะ คำเชิญของพวกเราเมื่อตะกี้นี้ไม่มีผลแล้ว” ตอนที่หานจี้จวินเอ่ยคำพูดนี้ สีหน้าของเขาดูเย็นชา ในแววตาฉายรัศมีรุนแรงออกมาแวบหนึ่ง

เวลานี้ความรู้สึกของเซี่ยอี๋ขัดแย้งกันสุดขีด ถ้าหากรับปากก็หมายความว่าเขากลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของทีมหลิงหลาน จำเป็นต้องลงนามในสัญญาว่าไม่สามารถออกจากทีมได้เอง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือถ้าหากเขากับหัวหน้าทีมสอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของสหพันธรัฐพร้อมกัน ทีมที่ก่อตั้งก็จะถูกรักษาไว้ เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถเข้าร่วมทีมอื่นๆ ที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้

ควรรู้เอาไว้นะ ไม่ว่าหลิงหลานทีเป็นหัวหน้าทีมของทีมหลิงหลานหรือว่าฉีหลง เซี่ยอี๋เชื่อว่าพวกเขาสามารถสอบเข้า โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของสหพันธรัฐได้อย่างราบรื่น พูดอีกอย่างก็คือ การตัดสินใจในครั้งนี้ของเขามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการตัดสินใจไปชั่วชีวิต…

ฉีหลงกับหานจี้จวินคล้ายกับสัมผัสได้ถึงความสับสนของเซี่ยอี๋ พวกเขาเลยไม่ได้เร่งรัดอีกฝ่าย ถึงยังไงนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงอนาคตจริงๆ จะทำลวกๆ สักนิดไม่ได้เด็ดขาด และพวกเขาเองก็หวังว่าอีกฝ่ายจะพิจารณาให้ดี พวกเขาหวังว่าคนที่เข้าร่วมจะเป็นเพื่อนที่ร่วมแรงร่วมใจกัน เติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่สมาชิกทีมที่มีจิตใจแปรปรวน ไม่สามารถรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้

เซี่ยอี๋ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ก็นึกถึงผลการรบของฉีหลงที่เป็นอันดับหนึ่งในการท้าทายข้ามระดับ เขารู้ว่าความสามารถของอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา และก็นึกถึงลูกพี่หลิงหลานผู้ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังฉีหลงคนนั้น…

……………………………….