บทที่ 155 เถียงกันไม่หยุด

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยห้าสิบห้า

เถียงกันไม่หยุด

ตันหงอี้หันไปมองตามที่มาของเสียง จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้าเองหรือ”

แต่หัวใจกลับรู้สึกเศร้าหมอง

ทั้งที่เขากำชับให้พ่อบ้านไปนั่งอยู่บนรถม้า เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งถามก็บอกเพียงว่าตนนั่งอยู่ในรถม้าคันนั้นมาโดยตลอด และอย่าทำให้ชายหนุ่มผู้นี้สงสัย แต่ไม่รู้ว่าพ่อบ้านไปทำอย่างไรถึงได้เผยพิรุธออกมา ทำให้อีกฝ่ายมองออกจนได้

อีกทั้งเขาไม่รู้เลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเข้ามาในบริเวณเรือนตั้งแต่เมื่อไร…

แม้จะประหลาดใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแสดงออกทางสีหน้า เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “จมูกเจ้าช่างไวต่อกลิ่นจริงๆ เลยนะ”

ความหมายนั้นก็คือการด่าว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นสุนัข

เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ตันหงอี้ “เจ้าหลอกเยว่เอ๋อร์มาที่นี่ คงไม่ได้มีเจตนาดี”

นี่คือการด่าว่าตันหงอี้เป็นพังพอนเหลือง

ตันหงอี้คลี่ยิ้มและเหลือบมองมวยผมของเสวี่ยเจียเยว่ ที่เป็นแบบแบ่งเกล้าปล่อยปอยผมบางส่วนลงมา นี่คือมวยผมของสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน

“เจ้ากับแม่นางเสวี่ยยังมิได้แต่งงานกัน…” ใบหน้าของชายหนุ่มมีรอยยิ้มบาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะมาด่าว่าข้ามีเจตนาไม่ดีได้อย่างไร สิ่งที่ข้าคิดกับนางก็เหมือนกับที่เจ้าคิด”

นี่เท่ากับเป็นการยั่วโมโหแล้ว

สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งเปลี่ยนไป จากนั้นไม่นานใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็เผยแววเย็นชามากขึ้น

“เจ้าวางใจเถอะ ข้ากับเยว่เอ๋อร์จะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้ หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็ไปดื่มสุราแสดงความยินดีกับพวกเราได้”

ตันหงอี้ยังคงยิ้มบาง “ใครจะไปดื่มสุราแสดงความยินดีกับใครก่อนก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน”

เสวี่ยหยวนจิ้งรีบยิ้มเยาะก่อนเอ่ยตอบทันที “หากเจ้าแต่งงานก่อน ข้ากับเยว่เอ๋อร์จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้าแน่นอน และอวยพรคู่ของเจ้าให้ครองรักกันจนแก่เฒ่า”

พวกเขาเถียงกันไม่หยุดเช่นนี้ หัวใจดวงน้อยของเสวี่ยเจียเยว่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เต้นรัวไม่หยุดเช่นกัน

เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่ยังคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทางนึกออกว่าเธอจะมาอยู่ในเรือนของตันหงอี้ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเรือนของตนเช่นนี้

ทว่าตอนนี้เล่า…

นี่เท่ากับตบหน้ากันชัดๆ

แต่สิ่งสำคัญตอนนี้คือ เสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เธอจะหนีรอดไปได้อย่างไร หรือควรจะแอบหนีไปตอนที่เขากับตันหงอี้ยังประจันหน้าทะเลาะกันไม่หยุดเช่นนี้

น่าเสียดาย… แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะยังเถียงกับตันหงอี้ แต่สายตาของเขากลับจ้องมองเสวี่ยเจียเยว่ตลอดเวลา เมื่อเธอจับที่เท้าแขนเก้าอี้ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ และแอบหันหลังคิดจะหนีไป เขาก็รีบสลัดตันหงอี้ทิ้งแล้วเรียกเธอเอาไว้

“เยว่เอ๋อร์”

เสวี่ยเจียเยว่ที่เพิ่งก้าวเท้าได้ไม่กี่ก้าวต้องหยุดชะงัก ร่างกายแข็งทื่อ ก่อนจะรีบก้มหน้าลง

เมื่อตันหงอี้เห็นท่าทางหวาดกลัวของเสวี่ยเจียเยว่ จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที และเดินไปหยุดตรงหน้าเด็กสาว เพื่อบดบังสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยปกป้องคนร่างบอบบาง

“เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไรนาง ตอนนี้นางกลัวเจ้ามาก เจ้ามองไม่ออกหรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเดือดดาลจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดนูนขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะเขาพยายามข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ตอนนี้เขาคงซัดหมัดใส่หน้าตันหงอี้ไปแล้ว

เป็นอย่างที่ตันหงอี้พูด ก่อนหน้านี้เขาทำให้เสวี่ยเจียเยว่ตกใจไม่น้อย และตอนนี้เด็กสาวก็กลัวเขามาก เขาไม่อยากทำให้เสวี่ยเจียเยว่ตกใจอีก

เสวี่ยหยวนจิ้งหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สีแดงก่ำในดวงตาของเขาจางลงเล็กน้อย น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นก็พยายามทำให้อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“เยว่เอ๋อร์ เดินมาหาข้าเร็ว”

เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่กล้าเดินไป เธอเงยหน้ามองเสวี่ยหยวนจิ้งแวบหนึ่ง

ดวงตาของเธอมีแววหวาดกลัวและแฝงไว้ด้วยความระแวดระวัง เหมือนกระต่ายน้อยที่ตกใจเป็นอย่างมาก ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งเจ็บปวดใจยิ่งนัก น้ำเสียงของเขาจึงอ่อนโยนยิ่งขึ้น

“เยว่เอ๋อร์ มานี่เถิด”

หลายปีมานี้เสวี่ยเจียเยว่เคยชินกับความอ่อนโยนและรักใคร่เอ็นดูที่เสวี่ยหยวนจิ้งมีต่อเธอ จึงตกใจกับด้านที่แข็งกร้าวของเขาก่อนหน้านี้ ทว่าเมื่อชายหนุ่มเอ่ยกับเธออย่างอ่อนโยนเช่นนี้ เธอก็รู้สึกปวดตาขึ้นมา

ตันหงอี้เห็นสีหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ผ่อนคลายลง ถึงแม้จะรู้ว่าระหว่างเด็กสาวกับเสวี่ยหยวนจิ้งมีความรักใคร่กันจริงๆ และเขาก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ กระนั้นเขาก็ไม่อยากเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินกลับไปอยู่ข้างกาย เสวี่ยหยวนจิ้ง

ชายหนุ่มอยากให้เด็กสาวยืนอยู่ด้านหลังเขาเช่นนี้เสมอ หากเสวี่ยเจียเยว่ยินยอม เขาจะพยายามอย่างสุดกำลัง จะไม่เกรงกลัวเสวี่ยหยวนจิ้งแม้แต่น้อย

ตันหงอี้เอ่ยเบาๆ “หากเจ้าไม่อยากไป เจ้าก็จงอยู่ตรงนี้ไม่ต้องขยับ วางใจเถอะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาบังคับให้เจ้าทำในสิ่งที่เจ้าไม่ยินยอม”

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่สั่นไหว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา

เธอพบว่านัยน์ตาคู่นั้นกำลังหรี่มองมา แสงแดดสีทองในยามโพล้เพล้สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง กระทบลงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม และแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความจริงใจทั้งยังห่วงใยเธอ

แต่นั่นกลับทำให้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกลำบากใจไม่น้อย

มิใช่ไม่รู้ว่าตันหงอี้คิดอย่างไรกับเธอ แต่ก่อนมาที่เมืองหลวงทะเลสาบในใจของเธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกวนจนขุ่น และเป็นเพราะความโอหังวางอำนาจบาตรใหญ่ของตันหงอี้ทำให้เธอหงุดหงิด ดังนั้นเธอจึงกล้าปฏิเสธเขาอย่างไม่เกรงใจ

ทว่าตอนนี้…

ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนอ่อนโยนและสุขุมเช่นนี้

พูดตามตรง ในภพที่จากมาเธอเป็นคนขาดความรัก จึงต้องการใครสักคนที่สามารถให้ความรักแก่เธอได้ และให้อภัยสำหรับข้อบกพร่องทั้งหมดของเธอ ทั้งยอมรับความไร้เหตุผลและการเสแสร้งเป็นบางครั้งของเธอได้ ตันหงอี้ในอดีตอาจเป็นคนหยิ่งยโสที่ทำให้เสวี่ยเจียเยว่รำคาญ แต่เขาในตอนนี้กลับเป็นคนใจกว้างและอ่อนโยนแบบที่เธอต้องการมากที่สุดตั้งแต่แรก

เมื่อเธอมองไปที่เสวี่ยหยวนจิ้งก็พบว่า เขากำลังยืนหันหลังให้แสงอาทิตย์ ทำให้เธอไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน และเงาของเขาที่ทอดยาวมาถึงตรงหน้าเธอ ราวกับว่าเพียงก้าวเดียวเธอก็สามารถเหยียบเงานั้นได้

เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจเบาๆ หลายปีมานี้เธอคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งค่อยๆ มีชีวิตเหมือนคนปกติ ความเย็นชาและโหดเหี้ยมถูกกาลเวลาทำให้จางหาย แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายมันยังคงอยู่เช่นเดิม สิ่งเหล่านี้ได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของเขาแล้ว เกรงว่าหากไม่ทำตามความปรารถนาของเขา มันก็จะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อคิดจนถี่ถ้วน เสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยังรู้สึกไม่วางใจกับเรื่องของเธอ เพราะคิดเสมอว่าเธอจะไปจากเขา บางครั้งจึงรู้สึกประหม่าที่จะใช้คำพูดทำร้ายจิตใจเธอ เมื่ออดกลั้นมานานจึงทำเรื่องบังคับฝืนใจเธอเช่นนั้น

เขายังโอหังและมีความคิดอยากครอบครอง บางครั้งก็ทำตัวติดกับเธอ ทั้งยังตั้งใจพูดถ้อยคำหยอกล้อ เพราะอยากจะเห็นท่าทีเขินอายจนหน้าแดงของเธอ…

แต่จะทำอย่างไรได้ เสวี่ยหยวนจิ้งคนนี้คือคนที่เธอรัก พวกเขาผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน ไม่มีใครจะไปจากกันได้

ส่วนตันหงอี้นั้น เธอคงทำได้เพียงพูดกับเขาอย่างจริงใจ “ข้าขอโทษ”

ความหวังในแววตาของตันหงอี้หม่นหมองลงในทันที หลังจากเงียบงันไปได้ครู่หนึ่ง มุมปากของเขายกขึ้นราวกับอยากจะยิ้ม แต่น่าเสียดายที่แม้แต่รอยยิ้มอันขมขื่นในตอนนี้เขาก็ยังยิ้มไม่ออก มีเพียงเสียงที่เจ็บปวดดังขึ้น

“เจ้าไม่ต้องขอโทษข้า”

ไม่ว่าเวลาใดก็ไม่จำเป็นทั้งนั้น

เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าให้ตันหงอี้ จากนั้นก็เดินไปหาเสวี่ยหยวนจิ้ง

เสวี่ยหยวนจิ้งกุมมือเด็กสาวเอาไว้ทันที และดึงมาอยู่ข้างๆ เขา จากนั้นทั้งสองคนก็หมุนตัวจะเดินจากไป

ตันหงอี้มองแผ่นหลังอันซูบผอมของเสวี่ยหยวนจิ้ง และอดที่จะเอ่ยเสียงต่ำไม่ได้ “เสวี่ยหยวนจิ้ง ต่อไปอย่าทำให้นางร้องไห้อีก มิฉะนั้นข้าจะไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ เช่นในตอนนี้”

เสวี่ยหยวนจิ้งหยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมองตันหงอี้ทั้งที่ยังกุมมือเสวี่ยเจียเยว่

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นเช่นนั้น หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้น เหงื่อผุดซึมออกมาบนฝ่ามือ

เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสได้ว่าเด็กสาวเป็นกังวล จึงใช้นิ้วหัวแม่มือลูบหลังมือบอบบางของอีกฝ่ายเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยกับตันหงอี้อย่างใจเย็น

“นางคือชีวิตของข้า ข้าจะยอมให้นางร้องไห้อีกได้อย่างไร เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่มีวันให้โอกาสนี้แก่เจ้า”

เมื่อพูดจบเขาก็พาเสวี่ยเจียเยว่เดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมองตันหงอี้อีก ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังของพวกเขาค่อยๆ หายไปด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

ครู่ต่อมาตันหงอี้หัวเราะเสียงต่ำอย่างฉับพลัน จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง

‘นางคือชีวิตของเจ้า แล้วก็เป็นชีวิตของข้าเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ในใจของนางไม่มีข้า มีเพียงเจ้า จะให้ข้าฝืนใจนางได้อย่างไร’

ดวงอาทิตย์สีแดงลาลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานมาจากภูเขาอันห่างไกล ในที่สุดท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลงอย่างช้าๆ

ตันหงอี้ไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่ในห้องโถงเป็นเวลานานเท่าไร ในที่สุดพ่อบ้านก็ทนไม่ไหวจึงต้องเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา

“คุณชายใหญ่ ฟ้ามืดแล้ว ท่านอยากให้จุดตะเกียงหรือไม่”

ตันหงอี้ได้สติกลับมาทันที และเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดแล้วจริงๆ แม้แต่ลวดลายบนฝาถ้วยชาก็มองไม่เห็นแล้ว

“เช่นนั้นก็จุดตะเกียงเถอะ” เขาสั่งเบาๆ

พ่อบ้านขานรับ ก่อนจะรีบเรียกบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างนอกเข้ามาจุดตะเกียงในห้องโถง

บนโต๊ะยังมีกล่องขนมที่เขาซื้อมาจากร้านกุ้ยเซียงโหลวในเมืองผิงหยาง เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่รีบร้อนจนไม่ได้นำไปด้วย

เดิมทีตันหงอี้ยังคิดจะเรียกให้บ่าวรับใช้นำกล่องขนมเหล่านี้ไปส่งให้เสวี่ยเจียเยว่ที่เรือนตรงข้าม แต่เมื่อคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอาจเข้าใจว่าที่เขาทำเช่นนี้เป็นเพราะต้องการยั่วยุ เป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายอาจเอาความโกรธไปลงกับเสวี่ยเจียเยว่ สุดท้ายเขาจึงไม่ได้ให้คนส่งไป แต่เอื้อมมือไปเปิดฝากล่องหนึ่งใบออก และหยิบขนมดอกบัวขึ้นมากินอย่างช้าๆ

มันทั้งกรอบและหอมหวาน ช่างอร่อยยิ่งนัก เขาไม่เคยรู้เลยว่าขนมจะอร่อยมากเช่นนี้

แต่ในขณะที่กินอยู่นั้น ชายหนุ่มหัวเราะเสียงต่ำอีกครั้ง จากนั้นก็กินไม่ลงอีกต่อไป ก่อนจะนำขนมดอกบัวในมือใส่ลงในกล่องเช่นเดิม

ไม่ว่าเขาจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจเพียงใด แต่ในใจก็ยังคงเศร้าโศกอยู่ดี

‘เสวี่ยเจียเยว่ เจ้ารู้ถึงความทุกข์ในใจของข้าหรือไม่’