หนึ่งร้อยห้าสิบสี่

คนนอกคนใน

พ่อบ้านนั่งอยู่ในรถม้าไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังอยู่ข้างนอก ทันใดนั้นตรงหน้าเขาก็มีแสงสว่างวาบ ม่านถูกคนด้านนอกเลิกขึ้น

พ่อบ้านช้อนตามองผู้มาเยือน อีกฝ่ายสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตร แต่กลับดูร้อนใจและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีความหวังอยู่ลึกๆ

ทว่าความหวังนั้นพังทลายลงเมื่อเห็นว่าในรถม้าคันนี้มีเพียงพ่อบ้านนั่งอยู่ คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่นทันที

“เจ้าเป็นใครกัน” พ่อบ้านตะคอกถาม “เหตุใดถึงมาเลิกม่านรถม้าคนอื่นตามอำเภอใจเช่นนี้”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่กล่าวคำใด เขาเพียงกวาดตามองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยม่านลง ก่อนจะหมุนตัวกลับและกำลังจะก้าวเท้าไปข้างหน้า

พ่อบ้านแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่จู่ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อช้อนตามองก็พบว่าคนเมื่อครู่กลับมาเลิกม่านขึ้นอีก

เมื่อพ่อบ้านเห็นเช่นนั้น หัวใจของเขาพลันเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ และนึกถ้อยคำที่อยากถามไม่ออกไปชั่วขณะ

สายตาเฉียบคมของเสวี่ยหยวนจิ้งกวาดมองทั่วร่างของพ่อบ้าน สุดท้ายก็ตกอยู่ที่มือทั้งสองข้างซึ่งกำลังจับเข่าเอาไว้

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด พ่อบ้านที่ถูกเขาจ้องเช่นนี้รู้สึกเหมือนมีดาบจ่ออยู่ที่แผ่นหลังก็ไม่ปาน จึงนั่งอย่างไม่เป็นสุข

เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถาม “รถม้าคันนี้เป็นของเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นเจ้าของเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่”

“ใช่” พ่อบ้านนึกถึงคำพูดที่ตันหงอี้บอกเอาไว้ แผ่นหลังของเขายืดตรง เสียงก็ดังขึ้น “เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงมาเลิกม่านรถม้าของข้าตามอำเภอใจเช่นนี้ ตั้งใจจะรบกวนการนอนของข้าหรือ ยังไม่รีบถอยไปอีก”

เสวี่ยหยวนจิ้งแค่นเสียงในใจ เรือนตรงข้ามเรือนของเขานั้นใหญ่โตโอ่อ่า อย่างน้อยก็ต้องเป็นเรือนขนาดสามส่วน รถม้าคันนี้ทำมาจากไม้ตะโก ผ้าม่านทำจากผ้าไหมชั้นดี แต่คนที่นั่งอยู่ด้านใน… ซอกเล็บเต็มไปด้วยดินโคลน

เขาไม่ได้กล่าวคำใด เพียงปล่อยม่านลง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มจากไปแล้ว พ่อบ้านยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดซึมเต็มหน้าผาก ก่อนจะเลิกม่านขึ้นแล้วลงจากรถม้า บ่าวรับใช้เข้ามาพยุงเขาเดินไป แต่ตอนที่เขาใกล้จะเดินถึงประตูลานเรือนนั้น ก็พบว่าชายหนุ่มกำลังยืนอยู่หน้าประตูลานเรือนของตน สองมือสอดอยู่ในแขนเสื้อ และเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังมองก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า

ทั้งๆ ที่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้มองเขา แต่พ่อบ้านกลับรู้สึกกระวนกระวาย จากนั้นก็สลัดมือของบ่าวรับใช้ออก แล้วสาวเท้าเข้าประตูลานเรือนอย่างรวดเร็ว และสั่งบ่าวรับใช้ให้รีบปิดประตูทันที

บ่าวรับใช้หลายคนที่ถูกเขาเร่งเร้า รีบเดินไปปิดบานประตูใหญ่

เมื่อได้ยินเสียงประตูใหญ่ปิดแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งที่จับจ้องไปอีกฝั่งก็หันกลับมา ทอดสายตามองประตูสีดำสองบานที่ปิดสนิท ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

เขาหันไปมองตรอกแคบๆ เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวภายในเรือน

ภายในห้องโถงเรือนหลังใหญ่ของตระกูลตัน บ่าวรับใช้เชิญเสวี่ยเจียเยว่นั่งลงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยืนตัวตรงอยู่ด้านข้าง

เสวี่ยเจียเยว่มองพิจารณาไปรอบๆ พบว่าห้องโถงนี้ล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้ แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาว แต่ในสวนที่อยู่ด้านข้างก็มีต้นชาเสฉวนงอกออกมาตามซอกหิน ดอกสีชมพูบานสะพรั่ง ไม่ไกลนักมีต้นเหมยปลูกอยู่หลายต้น ดอกสีเหลืองของมันแบ่งบาน ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกผู้คน

ขณะที่กำลังมองอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงบ่าวรับใช้ด้านข้างเรียกคุณชายใหญ่ เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองทันที พบว่าตันหงอี้กำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เขาสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าทั้งตัว และสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวทับ ความเย่อหยิ่งและวางอำนาจบาตรใหญ่ในอดีตลบเลือนไปจากตัวเขาแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นชายหนุ่มที่ดูสุขุมภูมิฐาน ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเกิดความรู้สึกมั่นคง

เสวี่ยเจียเยว่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เมื่อตันหงอี้เห็นเช่นนั้นจึงบอกให้เด็กสาวนั่งลง และเอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“เหตุใดถึงไม่นำน้ำชามาให้แม่นางเสวี่ย”

จากนั้นก็สั่งบ่าวรับใช้ไปนำกล่องใส่ขนมทั้งหมดมาให้เขา

เมื่อบ่าวรับใช้ตอบรับจบก็เดินออกไปทันที

เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เช่นนี้จะได้พบกับตันหงอี้ จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนมิใช่น้อย

“ข้ารบกวนเจ้าเกินไปแล้ว” เธอพยักหน้าให้ตันหงอี้ รอยยิ้มบ่งบอกถึงความเกรงใจ ก่อนจะทักทายเขาตามมารยาท “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่คือเรือนของเจ้า เจ้า…”

เสวี่ยเจียเยว่ยังพูดไม่จบก็ถูกเสียงหัวเราะของตันหงอี้เอ่ยขัดจังหวะ

“หากเจ้ารู้แต่แรกว่าที่นี่เป็นเรือนของข้าในเมืองหลวง เจ้าคงไม่ยอมซื้อเรือนตรงข้ามใช่หรือไม่”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แข็งทื่อ ความกระอักกระอ่วนพลันเพิ่มมากขึ้น

ถ้ารู้แต่แรกว่าเรือนตรงข้ามคือเรือนของตระกูลตัน เธอคงไม่ซื้อเรือนที่อาศัยอยู่ในตอนนี้เด็ดขาด

เมื่อเห็นรอยยิ้มเจื่อนของเสวี่ยเจียเยว่ ตันหงอี้ก็ไม่ล้อเล่นอีก แต่เล่าเรื่องของตน “ปีหน้าข้าจะสอบระดับเมืองหลวงแล้ว ข้ามาเมืองหลวงก่อนกำหนดเพราะอยากจะปรับตัวก่อน จะได้พบหน้าเหล่าบัณฑิตที่รีบเข้ามาเตรียมสอบคนอื่นๆ ด้วย เผื่อจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน”

ขณะที่เขาลังเลอยู่นั้น สุดท้ายก็ห้ามใจไม่ได้จนต้องเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่ “เจ้าเป็นอันใดไป เหตุใดถึงร้องไห้ เหตุใดถึงวิ่งออกจากเรือน”

เขาเป็นห่วงเสวี่ยเจียเยว่มาก เมื่อเห็นดวงตาของเด็กสาวบวมเป่ง คราบน้ำตายังคงติดอยู่บนใบหน้า หัวใจของเขาพลันเจ็บปวดขึ้นมาทันที แต่ถึงอย่างไรเด็กสาวก็หมั้นหมายกับเสวี่ยหยวนจิ้งไปแล้ว ต่อให้เขาเป็นห่วงมากเท่าไร ก็ไม่อาจแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเกินไปได้

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเขาเอ่ยถามเช่นนี้ ก็อึดอัดจนอยากจะมุดดินหนีเสียให้ได้

เธอมองตันหงอี้ด้วยความอับอาย ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย ทอดสายตามองกระถางดอกสุ่ยเซียนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะด้านข้าง ก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าเหยเก

“อันที่จริง… เรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ต่อให้เธอทะเลาะกับเสวี่ยหยวนจิ้งหนักขนาดไหน แต่ก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน เธอไม่อยากเล่าเรื่องนั้นให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตันหงอี้ ถึงอย่างไรเขาก็เคยสารภาพรักกับเธอ อีกทั้งเธอเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาเขาพบเจอเรื่องอะไรมาบ้าง ถึงได้ทำให้นิสัยแตกต่างไปจากเดิมราวกับเป็นคนละคน

ตันหงอี้เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังจมอยู่ในภวังค์ คิดว่าอีกฝ่ายยังเห็นเขาเป็นคนนอก จึงไม่ยอมบอกเขาสักคำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างตนกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

เวลานี้บ่าวรับใช้คนเมื่อครู่ยกถาดรองถ้วยน้ำชาที่มีฝาปิดสองใบเข้ามา และบ่าวรับใช้อีกคนก็ยกถาดตามเข้ามาด้วย ด้านบนนั้นมีกล่องอยู่หลายใบ

ตันหงอี้มองดูก่อนจะเอ่ย “ตอนที่เจ้าอยู่เมืองผิงหยางก็ดูเหมือนว่าจะชอบขนมในร้านกุ้ยเซียงโหลวไม่น้อย ข้าเคยเห็นเจ้าไปซื้ออยู่บ่อยๆ ข้ามาเมืองหลวงครานี้ นำขนมจากร้านกุ้ยเซียงโหลวติดมือมาด้วยพอดี เช่นนั้นก็ยกให้เจ้าทั้งหมดเลยแล้วกัน”

อันที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไรนัก แต่เป็นเพราะรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ชอบ ดังนั้นหากเขามีเวลาว่าง จึงไปซื้อขนมที่ร้านกุ้ยเซียงโหลวมาจำนวนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่กิน ทว่าได้มองดูสักเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกดี ก่อนที่จะเดินทางมาเมืองหลวงครานี้ เขานึกในใจว่าหากได้พบเสวี่ยเจียเยว่ ก็จะมอบกล่องขนมทั้งหมดให้เด็กสาว ตอนนั้นเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ แต่ไม่นึกว่าทันทีที่มาถึงเมืองหลวงจะสมปรารถนาเช่นนี้

เสวี่ยเจียเยว่มองกล่องขนมบนถาดที่บ่าวรับใช้นำมาวางบนโต๊ะ พลันรู้สึกลำบากใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าควรรับดีหรือไม่

“เจ้าวางใจเถอะ” ตันหงอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขนมเหล่านี้ไม่ได้มีราคาอะไรนัก เจ้าไม่ต้องให้เงินข้าหรอกนะ”

ประโยคนี้คล้ายกับคำพูดของตันหงอี้ในอดีตอยู่บ้าง

จู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

ดูเหมือนว่าเธอชอบตันหงอี้ในอดีตคนนั้นมากกว่า ซึ่งเธอไม่จำเป็นต้องปิดบัง อยากพูดอันใดต่อหน้าเขาก็พูดออกมาเลย กระทั่งด่าทอเขาก็ยังได้ แต่ตันหงอี้ที่เห็นอยู่ในตอนนี้เหมือนเครื่องลายครามที่ทำอย่างประณีต หากไม่ระวังไปสัมผัสเข้าอาจตกแตกได้ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้ากล่าววาจาร้ายกาจแต่อย่างใด เพราะกังวลเสมอว่าอาจทำให้เขาเสียใจได้

เสวี่ยเจียเยว่คิดจะเอ่ยขอบคุณตันหงอี้ และถามเขาว่าประตูหลังเรือนอยู่ที่ใด เพราะเธออยู่ในเรือนเขาเป็นเวลานานพอสมควร ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว

แม้จะรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทางเดาได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในเรือนของตันหงอี้ซึ่งคือเรือนฝั่งตรงข้าม แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก…

ทว่าทันทีที่เธอเปิดปาก เสียงยังไม่ทันจะหลุดออกมาสักคำ จู่ๆ เสียงเย็นชาของใครบางคนก็ดังขึ้น

“ถ้านางอยากกินขนมอะไรข้าก็ออกไปซื้อให้ได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนนอกอย่างเจ้า”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจทันที จึงรีบหันกลับไปมอง เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ใต้ต้นการบูรริมระเบียงทางเดินข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไร สีหน้าของเขาเย็นชาเคร่งขรึมจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ และถือปิ่นที่เธอโยนทิ้งไว้ในมือข้างหนึ่ง