บทที่ 153 ผิดหวังจากการสูญเสีย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยห้าสิบสาม

ผิดหวังจากการสูญเสีย

เหตุใดตันหงอี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้

ความสงสัยย่อมผุดขึ้นในใจของเสวี่ยเจียเยว่ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มิใช่เวลามาเอ่ยถาม

เพราะเธอได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบกำลังเดินเข้ามาใกล้รถม้า คิดว่าน่าจะเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งไล่ตามมา

เสวี่ยเจียเยว่หวาดกลัวอยู่ลึกๆ ว่าหากเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเธออยู่ในรถม้า อีกทั้งยังมีตันหงอี้อยู่ในนี้ด้วย เกรงว่าตอนนั้นเขาคงระเบิดความโกรธออกมาทันทีกระมัง แม้แต่จุดจบของเธอก็คงไม่น่าดูเท่าไรนัก ดังนั้นตอนนี้เธอจะไม่ส่งเสียงโดยเด็ดขาด หวังเพียงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเห็นปิ่นปักผมที่เธอโยนทิ้งไว้บนตรอก และคิดว่าเธอทำหล่นเอาไว้ตอนที่วิ่งหนีไป จากนั้นเขาก็รีบวิ่งตามหา โดยไม่นึกสงสัยเลยว่าความจริงแล้วเธอมาหลบอยู่ในรถม้าคันนี้

ทว่าแม้เสวี่ยเจียเยว่จะไม่ส่งเสียง ก็ใช่ว่าตันหงอี้จะไม่ส่งเสียงเช่นกัน เมื่อเห็นว่าแววตาของตันหงอี้ยังคงสับสน และดูคล้ายจะอ้าปากเอ่ยถามเธอ เสวี่ยเจียเยว่จึงไม่สนใจอะไรมากนัก รีบโน้มตัวเข้าไปใกล้พร้อมใช้มือปิดปากเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา พลางส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าห้ามส่งเสียงใดๆ ออกมา

เดิมทีตันหงอี้เดินทางเข้ามาเมืองหลวงก็ย่อมเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา เมื่อครู่เขาจึงนั่งหลับในรถม้า ทันใดนั้นก็เห็นแสงสว่างวาบตรงหน้า และได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ ดังขึ้น เขาจึงตื่นทันที ขณะเดียวกันก็กำลังคิดว่าบ่าวรับใช้คนใดกล้ามารบกวนการนอนของตน นึกไม่ถึงว่าพอลืมตาขึ้นมาจะพบกับเสวี่ยเจียเยว่

ตอนแรกเขาคิดว่าตนเพียงฝันไป เพราะถึงอย่างไรตลอดหนึ่งปีมานี้เขาก็ฝันถึงเสวี่ยเจียเยว่มาโดยตลอด และคิดไม่ถึงว่ายามนี้มืออ่อนนุ่มข้างหนึ่งจะยื่นมาปิดปากเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

ฝ่ามือเล็กร้อนผ่าวและนุ่มนิ่ม ทั้งยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ อีกด้วย…

หากนี่เป็นความฝัน เช่นนั้นก็เป็นฝันที่สมจริงมากเกินไปกระมัง

ตันหงอี้นึกสงสัย ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เสวี่ยเจียเยว่นิ่ง

อีกฝ่ายสวมเสื้อฉางอ๋าวด้านหน้าปักลายดอกไม้สีขาวพระจันทร์ กระโปรงยาวสีเขียวน้ำทะเลสาบ มวยผมของเด็กสาวยุ่งเหยิงเล็กน้อย เครื่องประดับสักชิ้นก็ไม่มี ดูจากท่าทางลุกลี้ลุกลนของเสวี่ยเจียเยว่เมื่อครู่นี้ แม้ว่าเสื้อผ้าจะดูเรียบร้อย แต่ผมดูเหมือนไม่ได้จัดให้ดีนัก อีกทั้งดวงตาคู่นั้นยังแดงก่ำ เปลือกตาบวมช้ำ คงเพิ่งผ่านการร้องไห้มา และหากมองดูดีๆ จะเห็นคราบน้ำตาบนพวงแก้มขาวเนียน

แต่สิ่งเหล่านั้นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือคางกับคอของเด็กสาวล้วนมีรอยช้ำสีแดง…

ผิวของเสวี่ยเจียเยว่ขาวเนียนราวหยก เมื่อมองดูครู่หนึ่ง รอยช้ำสีแดงเหล่านั้นก็ยิ่งเห็นชัดจนน่าตกใจ

แววตาของตันหงอี้ทะมึนลงทันใด เขาอยากจะเอ่ยถาม แต่ปากเขายังมีมือของเสวี่ยเจียเยว่ปิดไว้อย่างแน่นหนา จึงไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สนใจชายหนุ่ม เพียงหันหน้าไปอีกด้าน ฟังเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอก

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันรีบร้อนของเสวี่ยหยวนจิ้งห่างออกไปไกลจนเงียบหายในที่สุด เธอถึงได้ถอนหายใจเงียบๆ

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งอาจเดินกลับมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นเธอจะอยู่ในรถม้าได้ไม่นานนัก ต้องรีบหนีไปจากที่นี่

ด้วยเหตุนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงปล่อยมือที่ปิดปากตันหงอี้เอาไว้ ไม่มีเวลาว่างเอ่ยถามว่าเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เพียงพยักหน้าให้ชายหนุ่มอย่างรีบร้อนและยิ้มให้อย่างรู้สึกผิด ถือเป็นการขอโทษที่เมื่อครู่นี้เธอปีนขึ้นมาในรถม้าของเขากะทันหัน ทั้งยังเอื้อมมือไปปิดปากเขาอีก

จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็เลิกม่านขึ้นแล้วคิดจะกระโดดลงไป

แต่ยังไม่ทันได้กระโดด แขนขวาของเธอก็ถูกตันหงอี้จับเอาไว้ เขาใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงเธอกลับไปที่เดิมได้

ม่านที่ถูกเลิกขึ้นได้เพียงนิดเดียวร่วงลงทันที

เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะย้อนกลับมาได้ทุกเมื่อ ถ้าเห็นเธอกับตันหงอี้อยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ด้วยนิสัยชอบใช้ความรุนแรงและขี้หึงของเขา ต้องมีพายุที่จะโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งรอเธออยู่แน่นอน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าตันหงอี้ดึงแขนเธออยู่ เสวี่ยเจียเยว่จึงรีบหันกลับไปกล่าว

“เจ้าดึงข้าไว้ทำไม รีบปล่อยข้า”

ตันหงอี้ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ถึงขั้นจับเอาไว้แน่นกว่าเดิม เขามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยแววตาซับซ้อน พร้อมกับเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“เจ้าหลบใครอยู่ แล้วรอยที่คางกับคอของเจ้าใครเป็นคนทำ”

เมื่อเอ่ยคำถามนี้ออกมา หัวใจของเขาพลันเจ็บปวดอย่างรุนแรง ราวกับมีคนใช้มีดแทงเข้ามาที่หน้าอกของเขาอย่างฉับพลัน

ความจริงเขารู้อยู่แล้วว่าคนที่กล้าทำเช่นนี้กับเสวี่ยเจียเยว่ต้องเป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง ตอนนั้นอีกฝ่ายพูดเองไม่ใช่หรือว่าตนกับเสวี่ยเจียเยว่หมั้นหมายกันแล้ว แต่ถ้าเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งจริงๆ เช่นนั้นเด็กสาวจะร้องไห้ทำไม ทั้งยังหลบซ่อนตัวอีก เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวไม่ยินยอม…

จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ ระหว่างที่กล่าวออกมาน้ำเสียงของชายหนุ่มแฝงไปด้วยจิตสังหารอยู่หลายส่วน

“เสวี่ยหยวนจิ้งบังคับเจ้าอย่างนั้นหรือ”

ขณะที่กล่าวเขาก็คิดจะเลิกม่านขึ้นเพื่อตามไปเอาเรื่องกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

เสวี่ยเจียเยว่ปวดหัวยิ่งนัก ไม่สนใจแม้แต่ความอับอาย รีบเอื้อมมือไปดึงแขนเขากลับมา “เรื่องของข้ากับเขา เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”

หากเขายื่นมือเข้ามาแทรก เช่นนั้นเรื่องมันก็จะยิ่งยุ่งมากกว่าเดิม

ตันหงอี้ได้ยินคำตอบเช่นนี้ หัวใจของเขาพลันหนักอึ้งทันที

เขาเดาไม่ผิด เป็นเสวี่ยหยวนจิ้งจริงๆ แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับบอกเขาว่าอย่ามายุ่ง…

ตันหงอี้หัวเราะอย่างขมขื่น สัมผัสได้เพียงความทุกข์ระทมในใจของเด็กสาว

พอเห็นแววตากระวนกระวายของเสวี่ยเจียเยว่เมื่อครู่ รวมกับคราบน้ำตาที่ไม่ได้เช็ดบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเก็บความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ แล้วถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเสวี่ยหยวนจิ้ง”

เสวี่ยเจียเยว่เม้มปากไม่เอ่ยตอบ ทำเพียงหมุนตัวกลับคิดจะเลิกม่านขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถม้า แต่ได้ยินเสียงเย็นชาของตันหงอี้ดังขึ้นตามหลัง

“หากเจ้ากำลังหลบเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาเป็นคนฉลาด เกรงว่าตอนนี้คงรอเจ้าอยู่ข้างนอกไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หากเจ้าลงไปตอนนี้ แน่นอนว่าต้องถูกเขาจับได้ทันที เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าจะกระโดดลงไปตอนนี้”

มือที่กำลังเลิกม่านขึ้นแข็งทื่อไปชั่วขณะ เสวี่ยเจียเยว่ยอมรับว่าคำพูดประโยคนี้ของตันหงอี้มีเหตุผล

แม้ว่าเธอจะโยนปิ่นปักผมไว้บนตรอกแคบๆ เมื่อครู่นี้เพื่อหลอกล่อ เสวี่ยหยวนจิ้งที่กำลังโกรธและกระวนกระวายใจอาจตกหลุมพราง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนฉลาด เกรงว่าอีกไม่นานคงรู้ว่าถูกเธอหลอก จากนั้นจะย้อนกลับมา หากเธอลงไปตอนนี้คงถูกเขาจับได้ในทันที

แต่รถม้าก็อยู่ตรงนี้ได้ไม่นาน เพราะเป็นที่เดียวในตรอกแคบๆ ที่สามารถซ่อนตัวได้ หากเสวี่ยหยวนจิ้งย้อนกลับมา เกรงว่าสิ่งแรกที่เขาจะตรวจดูคงเป็นรถม้าคันนี้

เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็เต้นรัว มือกำม่านแน่นขึ้นในทันที

ตันหงอี้มองดูอยู่ด้านหลังก็รู้ว่าเขาเดาไม่ผิดจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเชื่อข้า ข้าจะให้เจ้าซ่อนอยู่ในเรือนข้าชั่วคราว เสวี่ยหยวนจิ้งคงไม่คิดว่าเจ้าจะอยู่ในเรือนของข้าหรอก”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่กล่าวอะไร เพียงหันกลับไปมองตันหงอี้ ขณะเดียวกันก็ไตร่ตรองในใจว่าควรจะเชื่อเขาดีหรือไม่

ดูเหมือนว่าตั้งแต่เธอได้รู้จักกับตันหงอี้ แม้ว่าตอนแรกเขาจะมีนิสัยเหมือนคุณชาย ชอบใช้เงินฟาดหัวผู้คน แต่ด้านอื่นๆ ของเขาก็นับว่าไม่เลว ตั้งแต่ชายหนุ่มสารภาพรักกับเธอในครานั้น ด้วยเหตุผลว่าเธอมีคู่หมายแล้ว เขาก็ไม่มากวนใจเธอที่เรือนอีก พอได้พบกันอีกครั้ง นิสัยคุณชายเหมือนแต่ก่อนกลับไม่มีแล้ว เขากลายเป็นคนพูดน้อย สุขุม และเก็บเนื้อเก็บตัว…

เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เธอคิดอีกสักครู่ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดจมูก แล้วหันหน้าไปทางอื่นโดยไม่มองตันหงอี้ พร้อมกับกล่าวขณะที่แก้มทั้งสองข้างแดงเรื่อ

“เรือนของเจ้ามีประตูหลังหรือไม่”

ตันหงอี้ตะลึงงันเป็นอันดับแรก แต่หลังจากนั้นก็เข้าใจว่าเสวี่ยเจียเยว่หมายความเช่นไร จึงพยักหน้าอย่างจนใจ “มีสิ”

เสวี่ยเจียเยว่ลงจากรถม้าไปพร้อมกับเขา และก้มหน้าเดินตามชายหนุ่มไป

เมื่อเดินผ่านประตูลานเรือน เสวี่ยเจียเยว่ก็มองสำรวจไปรอบๆ ถึงได้แน่ใจว่าตันหงอี้อยู่ที่เรือนตรงข้ามกับเรือนของพวกเขาจริงๆ…

คุณชายใหญ่ที่บ่าวรับใช้บอกว่ากำลังจะเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงเพื่อสอบนั้นก็คือตันหงอี้

มุมปากเสวี่ยเจียเยว่กระตุก เธอพูดอะไรไม่ออก

เมื่อตันหงอี้เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเด็กสาว “เจ้าเป็นอะไรไป”

“เจ้าดูสิ” เสวี่ยเจียเยว่ชี้เรือนตรงข้ามด้วยสีหน้าเฉยชา “นั่นคือเรือนของข้า”

เมื่อตันหงอี้ได้ยินเช่นนั้น แววตาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยิ้ม

“ดูเหมือนว่าข้ากับเจ้าจะมีวาสนาต่อกันมิใช่น้อยเลยนะ”

เสวี่ยเจียเยว่พูดอะไรไม่ออก…

เธอเริ่มรู้สึกเป็นกังวล ถ้าเสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเจ้าของเรือนตรงข้ามเรือนของตนคือตันหงอี้ เขาจะขายเรือนหลังนั้นเลยหรือไม่ แต่เสวี่ยเจียเยว่อยู่ที่เรือนหลังนั้นมาสองเดือนแล้ว และคิดว่ามันคือเรือนของตัวเอง เธอไม่คิดจะขายทิ้งไปเด็ดขาด

ตันหงอี้มองสีหน้าของเด็กสาว แน่นอนว่าเขาสามารถเดาความคิดของอีกฝ่ายได้

ขณะที่หัวใจกำลังขมขื่น แต่อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกเป็นสุขกับความทุกข์ของคนอื่นเช่นกัน

เรื่องที่ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีความสุขคือสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากทำให้เสวี่ยเจียเยว่ลำบาก ดังนั้นเขาจึงเรียกบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นแล้วสั่ง

“เจ้าพาแม่นางเสวี่ยไปดื่มชาที่ห้องโถงใหญ่”

จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้เสวี่ยเจียเยว่แล้วเอ่ย “ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับพ่อบ้าน เจ้าเข้าไปรอข้าที่ห้องโถงก่อนเถอะ”

เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดจะอยู่ที่เรือนของเขานานนัก เพียงคิดว่าเมื่อเข้ามาจากประตูหน้า ก็จะออกไปทางประตูหลังทันที ทำเช่นนี้จะสามารถหลบเลี่ยงเสวี่ยหยวนจิ้งได้ แต่ตอนนี้ตันหงอี้พูดกับเธอเสร็จก็หันไปพูดคุยกับพ่อบ้าน โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอสักนิด

หลังจากคิดดูแล้ว เธอก็เลือกที่จะเดินตามบ่าวรับใช้ไปทางห้องโถงใหญ่ และคิดในใจว่ารอให้ตันหงอี้กลับมาแล้วค่อยบอกลา จากนั้นจะแอบหนีไปทางประตูหลังอย่างเงียบๆ เพราะการจากไปโดยไม่บอกลาคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก

ตันหงอี้กระซิบบอกพ่อบ้านสองสามประโยค เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเป็นอันเข้าใจแล้ว ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องโถงใหญ่

พ่อบ้านเดินออกไปจากประตูลานเรือน ขึ้นไปนั่งในรถม้าอย่างใจเย็น เพื่อจะรอทำตามที่ตันหงอี้สั่งเอาไว้