บริเวณนี้มีห้องหลังคามุงจากที่ใหญ่ที่สุด ไม่ได้แบ่งให้ครอบครัวซ่งฝูเซิง ไม่ได้แบ่งให้บ้านที่มีคนจำนวนเยอะที่สุด และไม่ได้แบ่งให้ผู้สูงอายุซ่งหลี่เจิ้ง

เป็นไปตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้า บริเวณโรงอาหารทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง เป็นห้องของส่วนกลาง

ตอนนี้มีบางส่วนของห้องยังมีลมพัดเข้ามาได้ เพราะว่างานของซ่งสี่ฟาทำไม่ทัน จึงใช้พื้นที่ทางด้านหน้าสุดที่มี “เวที” และตรงนั้นมีเก้าอี้ยาวหนึ่งตัว มีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ อีกหนึ่งตัว

ในห้องเป็นห้องเปล่า แม้กระทั่งเตาก็พังลงมา พวกเขาใช้อิฐของเตาที่พังลงและอิฐดินที่ทำขึ้นกันเอง โดยวัดพื้นที่จากตรงกลางของห้อง ทำเตาขึ้นมาสี่เตา ข้อที่หนึ่งเพื่อให้ความอบอุ่น ข้อที่สอง ไว้สำหรับทุกคนทำกับข้าวหม้อใหญ่ แต่ในห้องไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้ว

ซ่งฝูเซิงมองไปรอบๆ แล้วพูดกับท่านลุงซ่งว่า “ท่านลุง ต้องซื้อหม้อ วันนี้เราไปซื้อหม้อกันเถอะ”

ท่านลุงซ่งอยากประหยัดเงิน จึงบอกว่า “ไม่ต้องก็ได้ ถึงแม้จะเคยบอกว่าพวกเราจะแบ่งกันทำกับข้าวทุกบ้าน ให้ทุกคนเอาหม้อของตัวเองมา แต่ตอนที่พวกเราทำกับข้าวส่วนกลาง ก็ไม่ได้ไปทำที่บ้านตัวเองหรือเปล่า ยังจะต้องเพิ่มหม้ออีกหรือ เจ้าว่าไหม”

ซ่งฝูเซิงบอกว่า “แต่ทุกบ้านจะต้องต้มน้ำและต้องทำอย่างอื่น คงไม่สะดวกเอามันมาใช้ส่วนกลาง อย่าเสียเวลาเลย ถ้าปล่อยให้เวลานานกว่านี้ จะเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ ท่านลองคิดดู ใครจะทำกับข้าววันละสองครั้ง คงลำบากน่าดู ตอนนี้ยังมีเงินเหลือ ถ้าทำได้ก็รีบทำ ยังไงก็ต้องซื้ออยู่ดีW

“ตกลง”

หวังจงอวี้ได้ยิน จึงรีบเดินเข้ามาทักทายท่านลุง “ถ้าจะให้คนไปซื้อหม้อ ซื้อมาให้บ้านข้าด้วยหนึ่งใบนะ นี่ๆ เงินซื้อหม้อ”

ท่านยายหวังตะโกนขึ้น “ท่านลุงอย่าซื้อมาแค่ใบเดียว ต้องซื้อมาสองใบ”

“ท่านแม่ บ้านพวกเราไม่มีเงินแล้ว”

ท่านยายหวังคิดได้ นางถอนหายใจยาว ไม่มีก็ไม่มี พี่ชายเจ้าทำงานกับซ่งฝูเซิง มีเงินค่อยซื้อเพิ่มแล้วกัน

ที่บ้านไม่มีหม้อได้อย่างไร ที่บ้านของนางเคยมีหม้อเหล็กขนาดใหญ่นี่นา เมื่อตอนที่เดินผ่าน “หมู่บ้านผีสิง” พวกเอาฝาหม้อไปครอบบนหัวคนตาย คงโยนทิ้งไปแล้ว

เมื่อคืนท่านยายหวังอิจฉาเจียนบ้า เห็นเพื่อนบ้านของเธอทั้งหมดกำลังต้มน้ำอาบและสระผม แต่ครอบครัวของนางต้องต้มน้ำด้วยหม้อดินเผาใบเล็กๆ เวลาต้มนานเกินไป หม้อแตกเป็นรอย ทำให้ขี้เถ้าและน้ำหมักน้ำข้าวที่เก็บไว้ไม่ได้ใช้เลย ทุกคนแค่ปีนขึ้นไปนอน คนในครอบครัวไม่มีใครได้อาบน้ำเลย

ปกติก็ไม่ได้อาบน้ำอยู่แล้ว วันนี้ไม่ได้อาบอีกคงไม่เป็นไร เมื่อวานตอนกลางคืนทุกคนอาบกันแล้ว แต่บ้านของนางไม่ได้อาบ ความรู้สึกเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ช่างต่างกันไม่น้อย

ตอนนี้ซ่งฝูเซิงกับท่านลุงซ่งนั่งบนโต๊ะ กำลังกำลังประชุมหารือกัน

ท่านลุงซ่งตะโกนบอกว่าให้ทุกคนเงียบ คนทั้งหมดในโรงอาหารที่กำลังยืนบ้าง นั่งบ้าง ต่างเงียบเสียงลง

ท่านลุงซ่งบอกว่า “ต่อไปนี้ พวกเรามาเริ่มประชุมกัน…

…วันนี้ที่มาประชุม จะพูดเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของพวกเจ้า พวกเจ้าจงใช้หูฟังอย่างตั้งใจ ไม่อนุญาตให้ฟังจากความคิดของตนเอง มีสมองแต่สมองไม่ใช้งาน จะพูดยังไงก็คงไม่เข้าใจ และไม่ต้องรีบถามคนข้างๆ ต่อไปมีอะไรไม่เข้าใจ ให้เดินเข้ามาถามด้วยตัวเอง”

วันนี้มีเรื่องต้องคุยเยอะ อย่าให้ท่านลุงพูดเรื่องไร้สาระ ต้องเป็นไปตามหัวข้อประชุม

และอย่ารบกวนความคิดของฝูเซิง

ท่านลุงพูดคำเกริ่นนำไปแล้ว จึงนำเงินที่เก็บไว้ในถุงมาวางไว้บนโต๊ะ การกระทำอย่างนี้ของท่านลุง ดีกว่าคำพูดเยอะ ทุกคนจ้องไปที่เงินบนโต๊ะทันที

เขาส่งให้ซ่งฝูเซิงจัดการต่อ

ซ่งฝูเซิงหยิบเงินขึ้นมา แล้วเริ่มพูด

“เรื่องแบ่งเงินสำหรับค่าแรง อะไรคือการแบ่งเงินค่าแรง”

สมมุติว่าพวกเราออกไปช่วยกันขายถั่วเมล็ดสนอย่างขะมักเขม้น ผลผลิตที่ได้ เมื่อเอาไปขายได้เงินมาหนึ่งร้อยตำลึง

ทุกครั้งที่พวกเราทำงานได้เงิน จะต้องเก็บเงินเข้าไปไว้ในกองกลางสิบตำลึง

ทำไมจะต้องเก็บเงินไว้ส่วนนี้ ยกตัวอย่างเหมือนเมื่อครู่ ครัวของพวกเราไม่มีหม้อขนาดใหญ่จะทำกับข้าว พอถึงฤดูใบไม้ผลิ พวกเราคงต้องนั่งมองห้องนี้เฉยๆ ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเราจะต้องสร้างใหม่ ต้องเอาเงินไปซื้ออิฐ ต้องเอาเงินไปทำบ่อน้ำ เป็นต้น ทุกอย่างที่ทุกคนต้องใช้ร่วมกันจะไม่เป็นของบ้านใดบ้านหนึ่ง เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นสิ่งก่อสร้างพื้นฐาน

ดังนั้น สมมุติว่าพวกเราเก็บเงินเป็นค่าโครงสร้างพื้นฐานสิบตำลึง พวกเราก็ต้องเอาไปใช้ ซ่งฝูเซิงนำเงินสิบตำลึงออกมาวางไว้ข้างนอก ทุกคนข้างในก็เคลื่อนไหวตาม มองไปที่เงิน

สิบตำลึง

“ทุกคนเห็นแล้วหรือไม่ ตอนนี้พวกเราเหลือเงินเก้าสิบตำลึง เงินส่วนนี้เป็นของทุกคน”

จะต้องแบ่งตามลักษณะงาน จะแบ่งยังไงนะหรือ ซ่งฝูเซิงใช้วิธีการนับแบบโบราณ เป็นวิธีที่นิ้วจังกุ้ยใช้บ่อย จะอธิบายกับทุกคนหนึ่งรอบ

ความจริงแล้ว ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ จะใช้วิธีนับแบบปัจจุบันก็คือ ต้องเอาเงินที่ทุกคนได้รับในเวลาหนึ่งเดือนมารวมกันแล้วหารด้วยเก้าสิบตำลึง ให้นับเงินค่าแรงว่ามีเท่าไรก่อน หลังจากนั้นให้นำเงินส่วนนี้ เอาไปคูณกับจำนวนคะแนนที่ทุกคนทำงานในแต่ละเดือน จะได้ตัวเลขสุดท้ายนั่นคือเงินค่าแรงต่อเดือน

หลังจากนั้น ซ่งฝูเซิงเริ่มพูดหัวข้อสำคัญ เขาบอกว่า “ทุกคนได้รับเงินค่าแรงงานไม่เหมือนกัน คนไหนทำงานได้ ไม่ได้ จะรับเงินเท่ากับซื่อจ้วงหรือไม่ และก็ไม่สามารถที่จะให้แรงงานผู้หญิงกับแรงงานผู้ชายแบ่งเท่ากันใช่หรือไม่ ดังนั้นเดือนนี้ ทุกคนทำงานทุกวัน แบ่งตามหน้าที่ มีเขากับท่านลุงซ่งสองคนช่วยกันอธิบายและควบคุม…

…นับตั้งแต่อพยพมา เขาสองคนจะคอยดูการแสดงออกของทุกคนระหว่างทาง ระหว่างไปเก็บถั่วเมล็ดสน สุดท้ายเมื่อเห็นการแสดงออกของทุกคนแล้ว ก็จะให้คะแนนตามปฏิบัติงาน…

…คะแนนเต็มสิบถือว่าได้เงินเดือนสูงสุด ท่านลุงซ่งทุกวันจะได้สิบคะแนน ทุกคนมีข้อคิดเห็นอะไรไหม”

ทุกคนในนี้ นอกจากไม่มีข้อคิดเห็น และยังบอกว่า “ฝูเซิงเจ้าก็ต้องได้สิบคะแนน”

แม้แต่ท่านลุงซ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังสนับสนุน “ใช่แล้ว ข้าช่วยคุยกับเจ้า เจ้าก็ไม่ฟัง ทำไมต้องสิบคะแนนเต็ม ฝูเซิงคะแนนเจ้าต้องสูงกว่าข้า ข้าทำอะไรบ้าง ข้าแทบไม่ได้ทำอะไร แต่เจ้าทำตั้งเยอะแล้ว”

ซ่งฝูเซิงพยายามให้ทุกคนอยู่ในหัวข้อประชุม เขาบอกว่านี่คือเงินเดือน ถ้าใครที่ได้คะแนนเยอะ เงินเดือนในแต่ละเดือนก็จะเยอะตาม เขาได้คะแนนเต็มสิบก็พอแล้ว คะแนนเต็มสิบถือว่ามากที่สุด และยังพูดถึงคนอื่นที่ทำงานดีอีกหลายคน

หลังจากนั้น เขายังเสนอชื่อคนที่ทำงานดีอีกหลายคนขึ้นมา

ซื่อจ้วงได้แปดคะแนน ทุกคนมีข้อคิดเห็นอะไรไหม

ทุกคนไม่มีข้อคิดเห็น

ทุกคนไม่ได้ตาบอด ตอนที่ทุกคนอพยพมา ซื่อจ้วงมีกำลังวังชาเยอะมาก ตอนที่ใช้ไม้สอยถั่วเมล็ดสน ไม่มีเขาคงทำไม่ได้ ขึ้นไปบนภูเขาตัดต้นไม้ ใครก็แบกลงมาไม่ได้มากเท่าซื่อจ้วง

แต่ซื่อจ้วงกลับมองที่ซ่งฝูเซิง ในใจคิดว่า “เมื่อได้เงินแล้ว เราต้องเอาคืนให้ท่านลุง” เขาคิดว่าจะไปทำงานภูเขาที่ขาดน้ำ ผลสุดท้ายภูเขาลูกนั้นกลับถูกแม่ทัพเล็กล้อมไว้ก่อนแล้ว

ซ่งฝูเซิงพูดถึงซ่งฝูสี่ ว่าต้องได้แปดคะแนน ทุกคนมีข้อคิดเห็นอะไรหรือไม่

ทุกคนไม่มีข้อคิดเห็น ซ่งฝูสี่ทำงานเหนื่อยแทบตาย เขาเป็นช่าง สมควรที่จะได้คะแนนนั่น

หนิวจั่งกุ้ยได้แปดคะแนน ทุกคนมีข้อคิดเห็นอะไรหรือไม่

ทุกคนไม่มีข้อคิดเห็น

แม้แต่ในใจเขา หนิวจั่งกุ้ยน่าจะได้แปดคะแนนถ้าเทียบกับซ่งฝูสี่ แต่ถ้าเป็นฝีมือแรงงาน หนิวจั่งกุ้ยก็เป็นแรงงานฝีมือ ในงานฝีมือ รอพรุ่งนี้ ทำเก้าอี้กับโต๊ะเสร็จ ยังจะต้องให้เขาสอนให้เด็กๆ คิดบัญชี และอนาคตเด็กๆ พวกนี้ เมื่อโตขึ้นมาอาจจะได้ทำงานเป็นจั่งกุ้ยในเมือง แล้วกลับมาเจริญรอยตามหนิวจั่งกุ้ย

ไม่มีคนได้แปดคะแนนแล้ว

คนที่ได้เจ็ดคะแนนคือ เถียนสี่ฟา ทุกคนมีข้อคิดเห็นไหม

ทุกคนไม่มีข้อคิดเห็น เขาเป็นแรงงานหลัก เถียนสี่ฟา เป็นคนขึ้นภูเขาไปหากระต่ายตอนทุกคนช่วยกันหาเห็ดหูหวังจวิน หางานฝีมือต่างๆ เขามีฝีมือจริงๆ บ้านเถียนมีคะแนนเจ็ดคะแนน ทุกคนแสดงความยินดีกับตระกูลเถียน แต่ก็รู้สึกขอบคุณที่เถียนสี่ฟาที่ช่วยตะกูลหวังเมื่อตอนเถียนเหมียวอยู่บนภูเขา

คนที่ได้เจ็ดคะแนนอีกคนคือ เกาถูฮู่ ทุกคนมีความคิดเห็นไหม

ซ่งฝูเซิงพบว่าทุกคนไม่มีเสียงตอบรับเหมือนที่ผ่านมา จึงอธิบายเพิ่มเติม พวกเจ้าอย่าลืมว่าท่านลุงเกาก็เป็นแรงงานฝีมือ ปีนี้ไม่ได้เลี้ยงหมู แต่ต่อไปในอนาคตเขาจะต้องเลี้ยงหมูให้กับเราทุกคน

อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง

พูดเสร็จ เกาถูฮู่ ยังบอกว่า “ท่านลุงซ่งอ่านชื่อคนต่อไปสิ”

ท่านลุงซ่งประกาศว่า “ทุกคนฟังข้า” เขาอ้าปากอ่านชื่อคนที่ได้หกคะแนน หวังจงอวี้ ท่านลุงกัว ลุงกัวคนรอง ซ่งฝูกุ้ย ฯลฯ คนใช้แรงงาน

เมื่อจะประกาศคนที่ได้คะแนนห้าคะแนน พวกผู้หญิงคิดว่าจะถึงทีพวกนางแล้ว แต่กลับยังไม่ใช่ แต่เป็นคนที่อายุระหว่างสิบห้าถึงอายุสิบแปดเหมือนกับต้าหลัง เกาเถี่ยโถวและลุงของซ่งฝูเซิงที่มีอายุเยอะ เขาเป็นคนทำนา ท่านลุงสี่คนที่เป็นคนดูแลกระเทียมในห้องใต้ดิน ดูแลเป็นอย่างดี

คนที่ได้สี่คะแนนจึงเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีแรงทำงาน

หลี่ซิ่วคิดว่า ทุกวันทำงานได้สี่คะแนน ไม่รู้จะเพียงพอสำหรับดูแลตัวเองกับลูกหรือไม่ แต่ว่าบ้านคนอื่นมีแรงงานชาย สามารถเก็บคะแนนได้ แต่ว่าก็ยังมีลูกเยอะต้องรับผิดชอบ

ท่านยายทั้งหลายรู้สึกไม่เป็นอย่างที่คิดในใจ พวกนางคิดว่าทุกวันทำกับข้าว ทำงานไม่น้อย ทำไมพวกนางจึงคะแนนไม่เท่ากับพวกผู้หญิงวัยกลางคน ใช่แล้ว เทียบไม่ได้ ท่านยายทั้งเจ็ดคน ได้คะแนนคนละสามคะแนนเท่านั้น

เรื่องนี้ทำให้ท่านย่าหม่าโมโห นางคิดว่า ลูกสามทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้ ทำไมเจ้าไม่เห็นความเป็นแม่ลูก

เถาฮวากระซิบถามซ่งฝูหลิง “เจ้าได้ยินที่พ่อเจ้าพูดหรือยัง พวกเรามีคะแนนบ้างไหม ถ้าพวกเรามีคะแนน เท่าไหร่ถึงจะดี ถึงตอนนั้น ข้าอยากเก็บเงิน จะเอาให้พี่ชายของข้าไปสู่ขอภรรยาของเขา” ซ่งฝูหลิงไม่ได้ตอบ แต่ตากลับจ้องไปที่ผมของพี่เถาฮวา

“เถาฮวา ต้ายา เออร์ยา พั่งยา…” ท่านลุงซ่งอ่านชื่อคนที่ได้สองคะแนน

สองคะแนนนั่น คนที่ได้ไม่เพียงแต่เด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าปี ยังมีเด็กผู้ชายอายุระหว่างสิบถึงอายุสิบห้าปี ที่ทำหน้าที่ช่วยกันเผาถ่าน

คนที่ได้หนึ่งคะแนนมีคนเดียวคือ ซ่งจินเป่า

ซ่งจินเป่าดีใจมาก และแม่ของเขา จูซื่อ ก็ดีใจมาก รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกมีหน้ามีตามากที่สุด สามีของนางได้แปดคะแนน เยอะกว่าพี่ชายสองคะแนน ลูกสาวสองคนรวมกันได้สี่คะแนน และคนที่ไม่มีความหวังที่จะหาเงินได้อย่างซ่งจินเป่ายังได้ตั้งหนึ่งคะแนน

บ้านของนางนับว่าดีกว่าบ้านพี่สะใภ้ นางดีใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้

ท่านย่าหม่าหันกลับไปจ้องจูซื่อ ในใจคิดว่า เจ้าจะต้องนอบน้อม หาเงินได้เท่าไร ลูกชายของเจ้าก็ต้องให้ข้า

แต่ท่านลุงซ่งที่เสนอชื่อซ่งจินเป่าได้หนึ่งคะแนน ยังหัวเราะ เหอะๆ และยังเตือนทุกคนว่า

“กลับไปบอกเด็กๆ ที่บ้าน ให้เอาซ่งจินเป่าเป็นตัวอย่าง ตั้งใจทำงานช่วยผู้ใหญ่ ทำงานให้ดี พวกเราทุกคนต้องช่วยดู ถ้าทำได้ก็จะได้คะแนนหนึ่งคะแนน ถึงตอนนั้นยังช่วยผู้ใหญ่หาเงินได้ และยังมีทำโต๊ะที่ทำเสร็จแล้ว ต้องมาเรียนหนังสือและสอบทุกเดือน ต้องเรียนเขียนหนังสือกับเรียนดีดลูกคิด ถ้าใครได้ที่หนึ่งในเดือนนั้น จะได้คะแนนไปอีกหนึ่งคะแนน”

แววตาเฉียนหมี่โซ่วเป็นประกาย เด็กน้อยกัดขนม เขายังเด็ก ทำงานอะไรไม่ได้มาก ต่อไปจะต้องเข้าเรียนหนังสือ ต้องให้ได้ที่หนึ่งทั้งสองรายการ ทุกเดือนจะได้มีสองคะแนน เมื่อได้เงินแล้วจะต้องเอาเงินให้ครอบครัว

ถึงตอนนี้ เสียงทุกคนดังขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าบอกให้หยุดแล้วทุกคนจะหยุดได้ ตอนนี้ทุกคนควบคุมไม่อยู่แล้ว เจ้าได้กี่คะแนน ข้าได้กี่คะแนน เป็นเสียงที่ทุกคนถามกันไปมา

ท่านลุงซ่งจึงถือไปป์ยาสูบอันเป็นที่รักของตัวเองขึ้นมาเพื่อทำให้ตัวเองสงบ และตะโกนบอกทุกคน “งานที่แบ่งคะแนน ไม่ได้เป็นงานแบบนี้ตลอดไป ถ้าใครทำงานไม่ดีต้องถูกหักคะแนน ถ้าใครทำงานดีก็จะบวกคะแนนให้ จะมีคนมาช่วยดูแลเรื่องนี้ ทุกคนจงเงียบแล้วฟังข้า พวกเรามีคณะกรรมการ คณะกรรมการจะประชุมกันและไปตรวจดูว่าทุกคนทำงานอย่างไร นำมาอภิปรายร่วมกันว่าคะแนนที่ได้เหมาะสมหรือไม่”

คนที่มีหน้าที่ดูแลควบคุม “…”

ลุงคนโตของซ่งฝูเซิงไม่คิดว่าในนั้นจะมีชื่อเขาแน่นอน บ้านสิบห้าครอบครัว มีคนดูแล สิบสามเรื่อง นอกจากซ่งฝูเซิงกับหลี่ซิ่วเจีย ทุกบ้านจะมีตำแหน่ง

บ้านท่านย่าหม่า ท่านย่าหม่า

อย่ามองว่าคณะกรรมการต้องทำงานไปเปล่าๆ ทุกเดือนพวกเขาก็จะได้คะแนนหนึ่งคะแนนด้วย

ซ่งฝูเซิงบอกว่า

“พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องใช้แรงงาน ถ้ามีคนมาบอกอะไรข้าว่าคนในที่นี้แอบเห็นแก่ตัว ขี้เกียจทำงาน หรือลำเอียง แล้วไม่มาแจ้ง ข้าจะให้ทุกคนลงคะแนน…

…ถ้าลงคะแนนเกินครึ่ง ตำแหน่งกรรมการผู้ดูแลจะถูกปลด พวกเจ้าจะไม่มีตำแหน่ง และไม่มีคะแนน พวกเจ้าจำได้แล้วใช่ไหม คณะกรรมการคือหน้าที่ หากใครไม่ทำงาน ถึงแม้จะเป็นลูกชายลูกสาวของตัวเองก็จะต้องมาแจ้ง ถ้าแจ้งเยอะว่ามีคนที่ขี้เกียจ เงินที่ทุกคนจะได้เพิ่มก็จะยิ่งมากขึ้น…

…และอีกข้อนึง ห้ามไปใส่ร้ายใคร ถ้าข้าออกไปสอบถามแล้วพบว่ามีมูลความจริง คนนั้นก็จะถูกปลดจากตำแหน่งคณะกรรมการเช่นกัน”

ลุงของซ่งฝูเซิง นับถือหลานคนที่สามมาก ตอนนี้เขาเป็นคณะกรรมการ ในใจตื่นเต้นและคิดว่า จะต้องช่วยทำงานอย่างดี ใครจะยังกล้าไม่ตั้งใจทำงานได้อีก

ทุกคนเองก็ชื่นชมเป็นอย่างมาก พวกเจ้าได้ยินชื่อคนพวกนี้แล้ว ให้พวกเขาเป็นคนตรวจสอบก็ไม่ใช่ว่าจะแอบขี้เกียจแล้วไปสอดส่องคนอื่น ทุกวัน ทุกบ้าน จะต้องเลือกคนออกมาเป็นผู้ดูแล ไม่ใช่ว่าพอเป็นคนบ้านเดียวกันแล้วจะปกปิดความผิดของคนในบ้านตัวเอง และที่สำคัญ ต้องไม่ไปหาเรื่องคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ต้องไปสอดส่องบ้านอื่น ไปดูแลคนที่แอบขี้เกียจไม่ยอมทำงาน ทำให้คนนั้นไม่กล้าขี้เกียจได้อีก

ซ่งฝูเซิงถูกวิพากษ์วิจารณ์ และยังให้แนวทางเรื่องนี้กับทุกคน ในนี้ก็เงียบเสียงลง

เขาบอกว่า “แม่ยายของเขา ตระกูลเฉียน ลูกสาวซ่งฝูหลิง ครั้งนี้จะได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นเห็ดหูหวังจวิน ถ้าแบ่งตามจำนวนเงิน จำนวนคะแนน ต่อไปต้องไม่ได้คะแนน”

อะไรนะ

ซ่งฝูเซิงเป็นคนพูดตรงๆ

เขาดูแลครอบครัวได้ เขาดูแลภรรยา ลูกสาว และก็หมี่โซ่วอย่างดี

จึงไม่สนใจเงินที่ภรรยาจะได้เงินเล็กน้อยนั่น

ดังนั้น ต่อไปลูกกับภรรยาของเขาจะไม่ได้เงินส่วนแบ่ง ทุกคนไม่ต้องเรียกร้องให้พวกนางทำงาน หากสองคนนี้อยากทำงานก็ทำไป อยากช่วยงานก็ช่วยไป พวกนางช่วยทุกคนทำงานได้แต่เมื่อช่วยจะไม่มีคะแนนให้ เงินตำลึงเดียวก็ไม่ได้

หากภรรยาและลูกสาวของเขาจะนอนจนถึงเที่ยงวัน ก็ไม่อยากให้มีคำนินทาใดๆ เพราะว่าพวกเขาสองคนไม่มีค่าแรงส่วนแบ่ง จึงจะขอให้มองเป็นเรื่องปกติ

สายตาของทุกคนมุ่งไปที่เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิง

ท่านลุงซ่งเป็นห่วงว่าเฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงจะรู้สึกไม่ดี จึงกล่าวเพิ่มเติมว่า “ถ้าบ้านไหน หรือผู้ชายบ้านไหนมีความสามารถแบบนี้ ก็มาบอกข้าได้ จะบอกว่าพรุ่งนี้ภรรยาและลูกจะไม่ทำงาน จะไม่เอาคะแนน ข้าก็จะไม่แบ่งงานให้พวกเขาแล้ว”

เมื่อคำคำนี้พูดออกไป เหมือนกำลังทิ่มแทงใจใครบางคน