คนที่ไร้ความสามารถก็ต้องตาย ของที่ไม่มีประโยชน์ก็ต้องทิ้ง
คำพูดคำนี้ เป็นคำพูดจากใจของผู้หญิงหลายคน
ผู้หญิงวัยกลางคน “คนตระกูลเฉียน เจ้าจะนอนถึงตอนเที่ยงค่อยตื่นอย่างนั้นหรือ”
เด็กผู้หญิง “พั่งยา ต่อไปเจ้าจะนอนถึงเที่ยงค่อยตื่นสินะ”
เฉียนเพ่ยอิง ซ่งฝูหลิง “ข้านอนตื่นเที่ยงเมื่อไหร่กัน เมื่อเช้าตีสามข้าก็ตื่นมาซักที่นอน เช็ดเตียง เช็ดหน้าต่าง ฆ่าเชื้อโรคในห้อง พวกเจ้ามาประชุม พวกเจ้าเดินผ่าน เห็นผ้าห่มที่ตากไว้ข้างนอกไหม แข็งจนเป็นน้ำแข็งแล้ว มีบ้านไหนขยันแบบนี้บ้าง”
จูซื่อรับไม่ได้กับเรื่องนั้น
ทั้งที่วันนี้นางดีใจ แต่คำพูดของลุงเล็กทำให้หัวใจของนางไม่รู้เป็นอะไร ทั้งยังอิจฉาในความสุขสบายของพวกนาง
ดังนั้น ขณะที่นางอยู่ข้างล่าง ไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ได้ จึงตะโกนถามซ่งฝูเซิง “ต่อไปสองแม่ลูกนั่นจะไม่ทำงานอะไรแล้วใช่ไหม เงินหนึ่งเหวินก็จะไม่เอา จะอยู่อย่างนี้หรือ”
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจคิด
ข้าไม่สนใจแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเกี่ยวอะไรกับพวกเรา
และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับทุกคน แค่เพียงพูดขึ้นมาเท่านั้น แต่กลัวทุกคนเข้าใจผิดจึงต้องประกาศให้ทุกคนทราบ พวกเราไม่ทำงานอยู่เฉยๆ แล้วจะทำไม พวกเราไม่ได้หาเงินจากกองกลางแล้วจะมีเหตุผลอะไรต้องทำงาน ฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร
ซ่งฝูเซิงไม่สนใจพี่สะใภ้รอง แต่พูดกับทุกคนที่นินทาแล้วหัวเราะว่า
“ตระกูลเฉียนตื่นตั้งแต่เช้ามาซักผ้าห่ม เก็บบ้าน ข้ายังไม่เห็นใครขยันเท่ากับสองแม่ลูกนี่มาก่อน เมื่อครู่ที่ข้าพูดออกมาก็แค่คิดว่าอยากให้พวกเขานอนจนถึงเที่ยง แต่พวกเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น…
…พวกเจ้าดูต่อไปก็แล้วกันว่าสองแม่ลูกจะว่างไหม จะให้พวกเขาพักผ่อนคงไม่ได้ งานในบ้านพวก เขาจะต้องปักดอกไม้ ปักต้นไม้ ต้องเย็บผ้า ถ้าเอาออกมาขายก็เพื่อช่วยคนในบ้าน ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นแบบนี้”
ซ่งฝูเซิงพูดถึงตอนนี้ อยากจะอธิบายเพิ่มเติม “เงินที่นางหาได้ อาจจะเยอะกว่าเงินส่วนแบ่งจากกองกลางเสียอีก ข้าเฝ้าดูนางดูแลบ้านและครอบครัวตลอดเวลา ไม่มีเวลากลางวันกลางคืน”
คำพูดนี้เหมือนข้อมูลจะเยอะเกินไป
แต่ว่าทุกคนในที่นี้ก็เข้าใจแล้ว
นอกจากนี้จากการแสดงออกของซ่งฝูเซิงในตอนเช้าทุกวัน ทำให้เห็นว่าคนตระกูลเฉียนไม่ใช่คนขี้เกียจ บวกกับการที่ฝูเซิงไม่ต้องการให้ภรรยาต้องทำงานลำบาก
นอกจากนี้ คำพูดนี้บ่งบอกชัดเจนว่า ‘ลูกสาวและภรรยาจะไม่ไปทำงานใช้แรงงาน ไม่ไปร่วมแบ่งเงินจากกองกลาง แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะอยู่ในบ้านแล้วไม่ทำงานอะไร อย่านินทาว่าร้าย แค่ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานหาเงินให้ลำบากก็แค่นั้น’
แค่ไม่ต้องการให้พวกนางหาเงินอย่างลำบาก
ครอบครัวตระกูลเฉียน อย่างไรถ้าหาเวลาว่างได้ก็ต้องใช้เวลาดูแลลูก เย็บปักถักร้อยเพื่อหาเงิน ซึ่งถ้าเทียบกับเงินกองกลางก็คงไม่น้อย อย่างเช่น นางปักกระเป๋าเอาไปขาย เมื่อเทียบกับคะแนน จะได้เท่ากับคะแนนความประพฤติ
สมมุติว่านางปักกระเป๋าไปขายข้างนอก เงินค่าด้าย ค่าผ้าก็ไม่ได้มาจากเงินกองกลาง
หากครอบครัวซ่งฝูเซิงนำไปขายขาดทุนก็จะไม่เกี่ยวข้องกับทุกคน แน่นอนว่าถ้านางขายได้หนึ่งร้อยตำลึง ก็ไม่เกี่ยวกับทุกคนเหมือนกัน ใครก็แบ่งเงินของครอบครัวนี้ไปไม่ได้
เมื่อซ่งฝูเซิงพูดคำนี้ออกมา ทุกคนในนี้ก็ข้าใจแล้ว ตระกูลเฉียน คุณหนูจะต้องเย็บปักถักร้อย ปักกระเป๋า ค่าแรงจะมากกว่าเงินที่หาได้จากการใช้แรงงาน
แต่ตอนนี้ท่านย่าหม่ากลับไม่สบายใจ
ท่านย่าหม่าเข้าใจว่าสะใภ้สามปักกระเป๋าได้ แต่นางคงไม่ได้ปักทั้งวันทั้งคืน น่าจะมีเวลาว่าง ถ้าคนข้างนอกทำงานแต่เจ้าอยู่ดีมีความสุข คงไม่ถูกต้อง
สะใภ้สามสามารถทำงานในเวลากลางวัน เงินส่วนนี้เป็นเงินกองกลาง ถ้าเจ้ามีความอดทนค่อยทำงานส่วนตัว ปกตินางจะงานเหล่านี้ทำในเวลากลางคืน เจ้าจะได้เงินอีกส่วนและเงินส่วนนี้ก็ไม่ต้องแบ่งทุกคน ดีออก ถึงตอนนั้นทำงานได้เงินทั้งสองทาง ครอบครัวหนึ่งครอบครัว มีคนสามคน ต้องมีชีวิตที่สุขสบายมากแน่ๆ
ท่านย่าหม่ากำลังอ้าปากพูด แต่คิดไม่ถึงว่าเฉียนเพ่ยอิงชิงพูดก่อนแล้ว
เฉียนเพ่ยอิงยืนขึ้นแล้วพูดกับฝูงชนที่อยู่บนเวที “ท่านพี่ ข้าคุยกับท่านหลายครั้ง ทำไมท่านไม่ฟังข้าเลย ข้าจะหาเงินจากกองกลาง ทำงานกับทุกคน ข้ากับลูกสาวจะทำงานหาเงินเล็กๆ น้อยๆ”
“หยุดพูด เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะพูด จะหาเงินจากกองกลางทำไม ข้าพูดให้ฟ้าได้ยินไปแล้ว คำพูดของข้าใช้ไม่ได้แล้วหรือ!”
ท่านลุงซ่งรีบเข้ามาห้าม รีบมาห้ามไม่ให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน แล้วพูดกับเฉียนเพ่ยอิง “ตระกูลเฉียน ฟังฝูเซิง มีผู้หญิงที่ไหนจะเป็นผู้นำกัน”
“ท่านลุงซ่ง ข้าไม่ใช่ไม่คิด ถ้าทำได้ก็อยากช่วยคนในครอบครัวหาเงิน มีใครเหมือนเขาบ้าง พูดเองเออเอง ไม่ฟังข้า”
ซ่งฝูเซิงรีบตอบกลับเฉียนเพ่ยอิง “เจ้าให้ท่านลุงซ่งมาช่วยพูดก็ไม่มีประโยชน์ ข้าบอกว่าไม่ให้พวกเจ้าทำงาน ก็คือไม่อนุญาตให้ทำ เจ้าดูสิ วันนี้ตอนเช้าก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อทำงานกับลูกสาว ยังไม่มีใครเคยเห็นว่าเป็นแบบนี้”
จูซื่อ “…”
พวกผู้หญิงวัยกลางคน “…”
ท่านย่าหม่าหน้านิ่วคิ้วขมวด รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
สะใภ้สามตั้งใจจะทำงาน แต่ลูกชายเขา ให้ตายอย่างไรก็ไม่อนุญาต ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ “นั่นลูกสามหรือ?”
“ท่านแม่ ใช่แล้ว เมื่อวานข้ากลับมาดึกและยังต้องย้ายบ้าน วันนี้พวกเราประชุมกัน ยังไม่มีเวลาคุยเรื่องนี้กับท่าน ท่านแม่ก็อย่าไปแย่งคะแนนส่วนนั้นเลย ให้พวกเราลูกผู้ชายดูแล กตัญญูท่านดีกว่า ทุกวันจะมีคนหนึ่งในครอบครัวออกไปทำงานเพื่อเอาคะแนนก็เพียงพอสำหรับท่านแม่ใช้แล้ว อย่าไปแย่งชิงกับพวกเขาเลย ท่านฟังข้าเถอะ”
หัวใจของจูซื่อเต้นตึกตักขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเมื่อได้ยินสามีของนาง ซ่งฝูสี่พูดสนับสนุนเขา “ใช่แล้วท่านแม่ ข้าทำงานได้แปดคะแนน ครอบครัวพี่ใหญ่ กับต้าหลังคะแนนรวมกันก็ไม่น้อย”
ซ่งจินเป่า “ท่านย่า ข้าก็ทำงานได้หนึ่งคะแนนนะ”
ท่านย่าคนอื่นๆ กลัวว่าสิ่งที่เขาพูดจะไปกระทบกับลูกชายของตัวเอง จึงมีสีหน้าแสดงความอิจฉาอยู่เล็กๆ แต่ภายในหัวใจของพวกนางนั้นอิจฉาหนักมาก
เรื่องนี้แบบไม่ได้ตั้งใจมาก่อน ทำให้ท่านย่าหม่าไม่รู้จะทำอย่างไร เล่นอะไรกัน พูดไปพูดมาจะไม่ให้นางทำงานเอาคะแนนหรือ คะแนนก็คือเงินไม่ใช่หรือ นางเพิ่งอายุเท่าไรเอง ยังทำงานได้ ทำไมถึงจะไม่ให้ทำงาน
ท่านย่าหม่ากลัวลูกสามใช้อำนาจควบคุมนาง ลูกสามของนาง คำพูดมีอำนาจ สามารถทำลายเส้นทางการหาเงินของนางได้ ซึ่งเวลานี้ก็มาถึงแล้ว นางเริ่มเข้าใจความคับแค้นใจของเฉียนเพ่ยอิง นางอยากทำงานแต่เขาไม่ยอมให้ทำงาน อย่างนี้เรียกว่าอะไร
นางรีบโบกมือไปมา “เจ้าไปดูแลครอบครัวของเจ้าเถอะ ไม่ให้ภรรยาทำงานเอาคะแนนก็พอแล้ว แล้วยังจะมาควบคุมข้าอีก”
ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นผู้นำ มีคนหลายคนหัวเราะออกมา
หัวเราะจนท่านย่าหม่าก็อดหัวเราะไม่ได้ ทำให้ลูกสามของนางก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน
ท่านลุงซ่งก็หัวเราะ เหอะๆ แล้วพูดต่อ
เขาพูดว่า “ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องนี้ ต่อไปพวกเจ้าครอบครัวไหนหาเงินได้เยอะ อยากเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ก็ให้นำเงินไปซื้อเนื้อมากิน ไม่มีใครควบคุมเรื่องนี้ของพวกเจ้าได้…
…พวกเจ้ามาเอาข้าว มาเอาอาหารที่กองกลาง แต่เมื่อกลับไปบ้าน จะผัดเนื้อเป็นอาหารไว้กินเพิ่ม อย่างนี้ก็ไม่มีใครไปสนใจ เพราะทุกคนกินในบ้านของตัวเอง ใช้เงินของตัวเองใช่หรือไม่ คนอื่นก็ไปแบ่งเนื้อของเจ้าไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้ ท่านลุงซ่งคิดได้ว่า ซ่งฝูเซิงซื้อวัวมาหนึ่งตัว เขายังไม่ได้คุยกับซ่งฝูเซิงก่อน แต่พูดขึ้นมาทันใด
“ซ่งฝูเซิงซื้อวัวกลับมาหนึ่งตัว ทุกคนคงเห็นแล้ว ข้าขอแนะนำพวกเจ้า นั่นคือใช้เงินส่วนตัวของเขาซื้อ นมที่เขารีดออกมาเป็นสมบัติของบ้านฝูเซิง พวกเราลูกบ้านไหนอยากดื่ม อย่าแบมือขอเพราะคิดว่านั่นเป็นของกองกลาง คิดแบบนั้นไม่ได้ จะต้องใช้เงินซื้อเท่านั้น”
ซ่งฝูเซิงพูดว่า “พอเถอะ พอเถอะ ข้ารีดแค่น้ำนม ใครอยากดื่มก็มาดื่มได้”
ท่านลุงซ่งจ้องตาเขม็ง เรื่องอะไร อยากดื่มก็ดื่มงั้นหรือ ไม่ได้นะ
ทุกคนพูดพร้อมกัน “ใช่…ทำไม่ได้”
เกาถูฮู่เป็นผู้นำพูดให้ทุกคนเข้าใจ “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซื้อด้วยเงินกองกลาง พวกเราทุกคน ต่อไปนี้หากมีเรื่องอะไรต้องแยกให้ชัด เริ่มต้น พวกเราต้องมาตั้งกฎ เมื่อมีกฎแล้วพวกเราจะต้องปฏิบัติตาม แบบนี้ต่อไปถึงจะไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทและยังต้องสามัคคี ไม่ทำร้ายน้ำใจกัน พวกเราจะดูสีหน้าคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้ และมองแค่ความเป็นญาติมิตรกันก็ไม่ได้ มีบางครั้งที่ดูแค่สีหน้าไม่ได้ ถึงตรงนี้ พวกเราพูดถึงไหนก็ต้องคิดถึงตรงนั้น”
ท่านลุงซ่งเห็นด้วยอย่างมาก
เขาบอกว่าต้องการสื่อความหมายอย่างนี้แหละ
จากเนื้อหาที่พูดมาคือ หากใครไม่ยึดความเป็นญาติมิตร หากใครรู้สึกไม่ดีกับใคร ก็ไม่สามารถใช้แค่ความรู้สึกตัดสินได้ แต่ก็ไม่มีกฎเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น เรื่องของวัวนม ครอบครัวของพวกเจ้าต้องคิดไว้เสมอว่านั่นเป็นสมบัติของลุงสาม น้ำนมหนึ่งถ้วยต้องใช้เงินเท่าไหร่ถ้าจะให้แค่ลูกดื่ม ถ้าคิดแบบนั้น เพราะมองว่าเป็นแค่ลุงของหลานใช่หรือไม่
เราทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ ต้องช่วยเจ้าเลี้ยงลูก ตอนนี้อาจจะเป็นแค่นมหนึ่งคำ ต่อไปลุงสามก็ต้องให้ข้าวกินเรื่อยๆ บ้านลุงสามทำอาหารจากเนื้อสัตว์อยู่ตลอด ก็ต้องให้เด็กได้กินหนึ่งคำหรือ
แล้วลูกเล็กเด็กแดงเยอะขนาดนี้ แล้วบ้านของลุงสามจะใช้ชีวิตกันอย่างไร ไม่ใช่แค่เรื่องแค่นี้หรอกนะ พวกเราถึงจะต้องมีกฎ
พูดจนซ่งฝูเซิงรู้สึกแปลกๆ
โดยเฉพาะเรื่องนมวัว ทุกวันเขาจะรีดนมวัว เช้ากับเย็น วันละสองครั้ง รีดครั้งหนึ่งจะได้น้ำนมหลายสิบจิน ที่เขาซื้อวัวนมมาก็เพื่ออยากให้เด็กๆ ได้ดื่มนม ไม่อยากออกไปซื้อทุกวัน นมหนึ่งถ้วยมีราคาไม่กี่เหวิน คนโบราณไม่ชินกับรสชาติแบบนี้ แต่ลูกสาวของเขากับหมี่โซ่วชอบดื่มและดื่มได้เยอะ ที่เหลือก็เอาไปทำอะไรไม่ได้ อยากดื่มก็ดื่มเถอะ
แต่ทำไมจะต้องคิดเป็นเงินเป็นทอง
ท่านลุงซ่งบอกว่าเขาจะแนะนำให้ก็แล้วกัน หากจะดื่มนมเช้าหนึ่งถ้วย เย็นหนึ่งถ้วย เด็กหนึ่งคน คิดราคาต่อเดือนยี่สิบสี่เหวิน ถ้าเจ้าจองแล้วจะต้องให้เงินก็พอ
ซ่งฝูเซิงรีบออกมาห้าม “ราคาสิบเหวินก็พอ อย่าเป็นสิบสองเหวินเลย ข้าขอว่าอยากให้เด็กๆ มาจองดื่ม ยิ่งดื่มตั้งแต่เด็กยิ่งดี พวกเจ้าอาจจะไม่เข้าใจ ในหนังสือมีเขียนไว้ หากเด็กๆ ได้ดื่มสิ่งนี้ ร่างกายจะเติบโตดี ตัวจะสูงใหญ่ ข้าจะเก็บเงินให้น้อยหน่อย ครอบครัวหนึ่งจะได้สามารถจองนมให้เด็กได้หลายคน ข้ามีศักดิ์เป็นทั้งลุงสามและอาสามของพวกเขา สิ่งใดที่พอทำได้ ข้าก็อยากช่วยเหลือ”
เพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องเสียเวลากับปัญหานี้ ซ่งฝูเซิงรีบเตือนท่านลุงซ่งให้รีบพูดหัวข้อสำคัญเถอะ เรื่องแปลงปลูกพริกและยังมีเรื่องปลูกกระเทียมอีกหลายแปลง
เอออ ใช่แล้ว
ท่านลุงซ่งจะนำกระเทียมเหลืองมาแบ่งอย่างไร ทุกคนใช้วิธีแบ่งแบบเดียวกับการให้คะแนน พริกบ้านของฝูเซิงจะได้เจ็ดส่วน ที่เหลือสามส่วนเป็นของพวกเราทุกคน เรื่องนี้ตกลงกันไว้แล้ว และอีกไม่นานก็จะเก็บผลผลิตได้ นอกจากนั้น ท่านย่าหม่ายังมีความคิดว่า ลูกสามของนาง นอกจากจะฉลาดมากแล้ว ทุกคนก็ไม่มีข้อขัดแย้งเขา
โดยเฉพาะเกาถูฮู่ ที่รีบพูดออกมา เขาบอกว่า คนที่ออกแค่แรงจะเอามาคิดคะแนนอะไรได้ มันไม่มีค่าเป็นเงินตอนนี้
ถ้าเป็นคนแล้วไม่มีคุณค่า จะมีประโยชน์อะไร ฝูเซิงให้งานพวกเราและมาใช้ชีวิตลำบากกับพวกเรา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เขามาดูแลรับผิดชอบ เช่นนั้นพวกเขาก็ควรมีสิทธิ์ในส่วนแบ่งสิบส่วนด้วย คิดว่าดีหรือไม่ดีเรื่องนี้ คนที่ควรพูดถึงมากที่สุดคือ ลุงสามของพวกเรา เขาสมควรที่จะมีคะแนนยี่สิบคะแนน
แม้กระทั่งผู้หญิงวัยกลางคนก็คิดแบบนั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกนางเสียเปรียบจริงๆ ถ้าสามีของพวกนางมีความสามารถแบบนี้บ้าง พวกนางคงไม่ต้องมารอการถ่ายทอดวิชาการปลูก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าต้องลงมาช่วยสอนให้ทุกคนทำเองได้
ดังนั้น ในหัวข้อนี้ ท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงดีใจมากกว่าใคร บอกกับทุกคนว่าครอบครัวของหลานชายช่างมีเมตตา เหมือนกับเงินเหล่าซ่ง ซ่งฝูเซิงถ้าไม่มีเมตตา เขาอาจจะสามารถมีคะแนนมากกว่านี้ได้
นางพูดจนท่านย่าหม่ารู้สึกไปไม่เป็น
และทุกคนที่เข้ามาขอบคุณอย่างจริงใจ ยังพูดถึงว่าขอให้พวกเขานั่งคุกเข่าคำนับขอบคุณได้ด้วยหรือไม่
ขั้นตอนสุดท้าย ให้ทุกคนมารับเงินส่วนแบ่งนั้น
ทุกคนไม่สนใจว่าเป็นเงินเท่าไหร่
แต่สุดท้ายก็ได้เห็นได้จับเงินจริงแล้ว
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันออกมาแบบอัตโนมัติ บางคนดีใจใช้มือถูกันไปมาเพื่อรออย่างตื่นเต้น แม้กระทั่งเด็กๆ ก็รู้ว่ากำลังจะได้รับเงินเดือนแล้ว
ท่านลุงซ่งจ้องอ่านเนื้อหาในสมุดเก่าๆ ของเขาอย่างละเอียด เงินค่าขายถั่วเมล็ดสน ขายเห็ดหูหวังจวิน หักลบจำนวนเงินที่ใช้ระหว่างเดินทาง หักลบเงินหกตำลึงค่ายารักษาไข้หวัด สุดท้ายมีเงินเหลือจำนวนสองร้อยสามตำลึง
ท่านลุงซ่งคิดบัญชีอย่างละเอียด ระหว่างเดินทางใช้เงินซื้อข้าวสารไปเท่าไหร่ เขาเขียนไว้ได้ชัดเจน
หลังจากนั้น เขาก็เริ่มอ่านบันทึกจากวันที่เท้าเหยียบที่นี่ ทุกเวลาที่ต้องใช้เงิน
สิบห้าตำลึงค่าขุดบ่อ
ซื้อข้าวขาวไม่ขัดสีสองครั้ง รวมเป็นเงินห้าสิบตำลึง ซื้อเกลือสองครั้ง เป็นเงินรวมกัน เกลือหยาบซื้อมาสามร้อยจิน เกลือละเอียดอีกแปดสิบจิน รวมทั้งหมดใช้เงินไปยี่สิบสามตำลึง
การซื้อผัก ประกอบไปด้วย หัวผักกาด ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ฟักทอง ต้นหอม เงินค่ากระเทียมห้าเวินต่อหนึ่งจิน ซื้อไปสองพันจิน แต่ไม่ได้ปลูกทั้งหมด กระเทียมที่เหลือพวกนั้น พวกเราจำเป็นต้องกิน ท่านลุงซ่งพูดถึงตรงนี้ เขากระพริบตา ขอพูดคำที่ไม่น่าฟัง ปีใหม่อยากกินเกี๊ยวกับกระเทียมซอสพวกเรากินครั้งนึง ต้องใช้กระเทียมอย่างน้อยสิบหัว สิบหัวก็น้ำหนักสิบจินแล้ว
เขาคิดบัญชีได้ละเอียดมาก
หลังจากนั้นไปซื้อกุญแจและให้เงินซ่งฝูสี่ค่างานล่วงเวลา ค่ากระดาษ กระดาษที่พวกเราใช้เป็นกระดาษแก้ว เงินค่าน้ำมันตะเกียงที่ทุกคนใช้ และรับซื้อไหสำหรับการหมักซอส
จากการเดินทางหลายครั้ง ได้เอาเงินไปซื้อสิ่งของ รวมทั้งเงินที่ทุกคนออกไปขายยังถั่วเมล็ดสนที่ถงเหยาเจิ้น
สุดท้ายท่านลุงซ่งบอกว่ายังมีส่วนที่พวกเราซื้ออีก น้ำมันงาซื้อไม่มากเท่าไหร่ อยู่ได้ไม่ถึงเดือนหน้า แต่ไม่กล้าที่จะซื้อซอส น้ำมันหอย น้ำส้มพวกนี้
สุดท้ายเงินที่มีในบัญชีคือ สองร้อยสามตำลึง ลบจำนวนเงินที่ใช้ไปหนึ่งร้อยสิบสองตำลึงหกเฉียน เหลือเงินจำนวนเก้าสิบตำลึง
ซ่งฝูเซิงบอกว่า “เงินเหลือเก้าสิบตำลึง ต้องเก็บเป็นเงินค่าโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางสิบตําลึง”
ท่านลุงซ่งเอาบัญชีมาเทียบ “เดี๋ยวเราต้องซื้อหม้อขนาดใหญ่อีกสี่ใบก็ไม่เหลือเงินแล้ว เงินเริ่มขัดสนเล็กน้อย”
มิเช่นนั้นจะเงินเหลือไม่น้อย
ทุกคนตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหว
ท่านย่าหม่าใช้มือจับแขนเสื้อซ่งฝูหลิง “รีบคิดให้ย่าหน่อย บ้านย่าจะได้เงินเท่าไหร่”
สายตาพังย่ากลับมองไปที่เส้นผมของท่านย่าพร้อมตอบว่า “แบ่งตามคะแนนไม่ใช่หรือ นับจำนวนเป๊ะๆ ไม่ได้หรอก ท่านยังต้องใช้หลักในการลบเลขศูนย์ แต่ว่าก็ไม่น้อย ข้าคิดว่าบ้านท่านย่าอย่างน้อยต้องได้สี่ตำลึง”
“สี่ สี่ สี่ตำลึงหรือ”
“ใช่แล้ว”
ไอ้หยา ท่านย่าหม่ารู้สึกว่าหลานสาวตอนนี้ช่างเหมือนดอกไม้เสียจริง
เงินที่นางพยายามเก็บมาหลายปียังเก็บได้แค่สี่ตำลึงกว่า นี่แค่ไปเก็บถั่วเมล็ดสน มีเงินในมือถึงสี่ตำลึงกว่าเลย
แต่ในสายตาของซ่งฝูหลิง บ้านของท่านย่าเป็นบ้านที่ได้เงินไม่เยอะ เพราะคนที่ได้เงินเยอะก็คือลุงสองของนาง แต่คะแนนลุงรองมีแค่หกคะแนน ที่เหลือได้มาจากต้ายา เออร์ยา ต้าหลัง รวมกับท่านย่า ทั้งหมดประมาณคนละสองคะแนน ครั้งนี้เงินที่คิดยังไม่บวกคะแนนของท่านย่า เพราะนางจะต้องไปเป็นกรรมการในการดูแลการทำงานของคนอื่นๆ
ถ้าทุกคนเป็นแรงงาน ไม่ ถึงแม้จะเหมือนกับต้าหลังที่มีคะแนนห้าคะแนน ได้เงินครั้งนี้จะต้องมีเงินหกตำลึงโดยประมาณ เจ้ามาดูบ้านข้าสิ มีคนแค่ไม่กี่คนแต่คะแนนรวมกันแล้วค่าเฉลี่ยเกือบเท่าบ้านท่านย่า หมี่โซ่วยังไม่สามารถหาเงินได้ เขาต้องคิดให้เยอะกับค่าขนมหนึ่งชิ้น ถ้าดูตามคะแนนเขาคงมีเงินไม่ถึงสามตำลึง
แล้วบ้านใครทำงานได้เงินเยอะ บ้านท่านลุงซ่งไงล่ะ บ้านเขาได้คะแนนค่าแรงพิเศษหกคะแนน นับเยอะมากสำหรับกลุ่มที่ต้องได้ห้าคะแนนที่เป็นคะแนนในกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งแน่นอนว่าบ้านที่มีคนเยอะ หากเอาเงินที่จะไดเไปเฉลี่ยให้กับทุกคน แค่จะเอาไปซื้อเสื้อคลุมให้ทุกคนก็ยังไม่พอเลย
และยังมีบ้านเกาถูฮู่ พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งหมด เกาถูฮู่ผู้ได้คะแนนเจ็ดคะแนน พี่ชายเกาเถี่ยโถวได้หกคะแนน เกาเถี่ยโถวและน้องชายได้ห้าคะแนนพี่สะใภ้ได้สี่คะแนน บ้านที่มีผู้ชายทั้งหลัง หนึ่งคนได้เงินเฉลี่ยประมาณสองตำลึงครึ่งหรือมากกว่านั้น บ้านท่านย่าของนางรายได้ยังไม่เท่ากับบ้านเขาคนเดียว
การเป็นชาวนาได้เปลี่ยนชีวิตของซ่งฝูกุ้ย บ้านเขานอกจากเสี่ยวจิงป่า ที่เหลือได้คะแนนระดับกลางทั้งหมด
ซ่งฝูกุ้ยดีใจจนตาแดง ขณะที่เดินขึ้นไปรับเงิน เขาตื่นเต้นจนมือสั่น เพราะเขาไม่เคยได้เงินเยอะขนาดนี้มาก่อน “น้องชายฝูเซิง น้องชาย? ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้ายังไง”
“เจ้าไม่มียาสระผมใช่หรือไม่”
ซ่งฝูกุ้ยตกใจแต่ก็แสดงอาการตอบกลับไปโดยหันมายิ้มตอบ “วันนี้ข้าจะให้คนไปซื้อสบู่ และยังเหลือเงินไว้ยี่สิบเหวินเพื่อให้ซ่งฝูเซิงนะ”
เขาบอกว่าจะขอจองโควต้ากินนมสองเดือน เพื่อให้ลูกชายเสี่ยวจิงป่าได้ดื่ม พรุ่งนี้จะตั้งใจทำงาน ซ่งฝูเซิงชี้แนะให้เดินไปหาที่ทางตะวันออก แต่อย่าลืมไปทางตะวันตกด้วย และควรจะให้คนทั้งบ้านได้ดื่มนม จำเป็นต้องดื่มนม ดื่มแค่ห้าสิบเหวินก็พอ
แต่ในใจของซ่งฝูเซิงคือ อย่าเพิ่งฝันที่จะดื่มนมเลย เจ้าควรรีบเอาเงินไปซื้อเสื้อคลุมก่อน
การประชุมวันนี้เสร็จสิ้นโดยสิ้นสมบูรณ์แล้ว
ตอนนี้รอแค่กระเทียมเหลืองออกผลผลิตแล้วเอาไปขาย เพื่อให้ได้เงินมาแบ่งกับทุกๆ คน ตอนนี้ทุกคนทยอยเดินออกจากที่ประชุมทีละสามถึงห้าคน แต่ละคนดีใจจนหน้าแดงขณะเดินออกไป