เซียวหยวนดื่มสุราไม่เป็น ท่านป้าสี่ไปห้องครัวตักข้าวชามใหญ่มาให้เขา
เซียวหยวนกล่าวด้วยความตื้นตัน “ไม่ได้ชิมอาหารฝีมือท่านป้าสี่มาหลายปีแล้ว เท่าที่ดู ฝีมือการทำอาหารของท่านป้าสี่ดีกว่าเดิมเสียอีกขอรับ”
ท่านป้าสี่หัวเราะพร้อมกล่าว “อาหารในวันนี้ข้าไม่ได้เป็นคนทำ หากครั้งหน้าเจ้าอยากกินอาหารของป้าสี่ พรุ่งนี้ก็มาอีก! ”
“ท่านป้าสี่ไม่ได้เป็นคนทำหรือขอรับ? ” เซียวหยวนหันมองไปทางท่านลุงสี่ด้วยท่าทีสงสัย
“เจ้ามองท่านลุงสี่ของเจ้าทำไม? ” ท่านป้าสี่กล่าวอย่างมีความสุข “ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยกินอาหารที่ท่านลุงสี่ของเจ้าทำเลย อย่าว่าแต่ผัดอาหาร หากเขาล้างผักเป็น ข้าคงต้องสวดมนต์วันละสามรอบ! ”
“เช่นนั้นอาหารเหล่านี้…” สายตาของเซียวหยวนหันมองไปทางเซียวหมิงจู รู้สึกตกตะลึงยิ่ง
“หมิงจูเป็นคนทำทั้งหมด ลองชิมดูเร็วว่าอร่อยหรือไม่” ท่านป้าสี่คีบอาหารใส่ชามของเซียวหยวนไม่หยุด เพียงครู่เดียวก็พูนชามราวกับเป็นภูเขาลูกเล็ก
เซียวหยวนยกชามขึ้น ก่อนวางลงทันที!
“เป็นอะไรไป อาหยวน อาหารนี่ไม่ถูกปากเจ้างั้นหรือ? ”
“ไม่ใช่ขอรับ อาหารที่น้องหมิงจูทำอร่อยถึงเพียงนี้ ชีวิตนี้ข้าไม่เคยกินอาหารที่อร่อยถึงเพียงนี้มาก่อนเลยขอรับ! ” เซียวหยวนแสดงสีหน้าตกตะลึง ก่อนหันมองไปทางเซียวหมิงจูด้วยท่าทางกังวล กล่าวด้วยท่าทางเป็นห่วง “น้องหมิงจูยังรินสุราอยู่ นางยังไม่ได้กินข้าว ข้ารอกินพร้อมนางดีกว่าขอรับ! ”
ไอ๊หยะ…
ถ้อยคำนี้กล่าวได้ถูกอกถูกใจท่านป้าสี่นัก ท่านป้าสี่รู้สึกดีเสียยิ่งกว่ากระไร!
อาหยวนอายุยังน้อย ทำไมถึงรู้จักเป็นห่วงคนอื่นได้ถึงเพียงนี้! รู้จักรอกินพร้อมหมิงจูด้วย บุรุษที่เป็นห่วงผู้อื่นเช่นนี้ ต่อให้ถือโคมไฟออกไปหายังหาได้ยากนัก!
ท่านป้าสี่ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าเซียวหยวนเป็นบุรุษที่ดี หันกลับมามองเซียวยวี่ที่อยู่ตรงข้าม เอาแต่ดื่มสุราของตัวเอง สนใจหมิงจูเสียที่ไหน บุรุษเช่นนี้ ไม่คู่ควรกับบุตรสาวของนางสักนิด
“หมิงจู เจ้ารีบมา รีบมากินข้าวได้แล้ว! ” ท่านป้าสี่เอ่ยเรียกด้วยท่าทางมีความสุข ยิ้มแย้มอย่างหน้าชื่นตาบาน
เซียวหมิงจูไม่อยากลุกไป “ข้ายังต้องรินสุราอีกเจ้าค่ะ! ”
ท่านป้าสี่ผลักท่านลุงสี่ทีหนึ่ง “ตาแก่บ้านี่ ยังจะดื่มอะไรอีก เจ้าไม่รักชีวิตหรืออย่างไร เดิมทีร่างกายของเจ้าก็ไม่ดีอยู่แล้ว สุรานี่ดื่มเยอะจะเสียสุขภาพ ถึงเวลาต้องหาหมออีก! ”
นางกล่าวตำหนิ วาจานี้จงใจกล่าวให้เซียวยวี่ฟัง เซียวยวี่วางถ้วยสุราลง กล่าวอย่างเรียบสงบ “ท่านลุงสี่ ในเมื่อร่างกายของท่านไม่ดี สุรานี่ก็ควรดื่มแต่น้อยนะขอรับ! ”
กล่าวจบ เขาดันถ้วยสุราไปข้างๆ แสดงออกว่าจะไม่ดื่มอีก
ท่านลุงสี่ทอดถอนใจ วางถ้วยสุราในมือลง “ได้ เช่นนั้นเราไม่ดื่มแล้ว กินอาหาร กินอาหาร! ”
ท่านป้าสี่รีบเอ่ยเรียกเซียวหมิงจู “หมิงจู รีบมากินข้าวได้แล้ว! ”
ไม่มีข้ออ้างเรื่องรินสุรา เซียวหมิงจูก็ไม่กล้าอยู่ข้างกายเซียวยวี่อย่างเปิดเผย ได้แต่ลงจากเตียงเตาด้วยความอาวรณ์ มายังข้างกายท่านป้าสี่ด้วยความเสียดาย ท่านป้าสี่ตักข้าวให้นางหนึ่งชาม กล่าวตำหนิ “อาหยวนรอกินข้าวกับเจ้าอยู่ตลอด หากเจ้าไม่มา เขาก็ไม่กิน เอาล่ะ อาหยวน รีบกินเถอะ! ”
เซียวหยวนยกชามข้าวขึ้น ยิ้มอย่างเบิกบานใจ “ขอรับ! ”
ดื่มสุราไปสองถ้วยเล็ก อาหารบนโต๊ะยังไม่ได้แตะแม้แต่น้อย ท่านลุงสี่คีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งให้เซียวยวี่ “อายวี่ เจ้าลองชิมดู นี่เป็นปลาที่ข้าซื้อมาวันนี้ สดใหม่ทีเดียว”
ท่านป้าสี่ก็คีบเนื้อปลาชิ้นใหญ่ให้เซียวหยวน “ปลานี่หมิงจูเป็นคนทำ เจ้าลองชิมดู…”
เซียวหยวนคีบขึ้นมากินคำโต “อร่อย อร่อย ฝีมือการทำอาหารของน้องหมิงจูไร้ที่ติจริงๆ ! ”
เซียวยวี่มองดูเนื้อปลาในชามตัวเอง ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ในห้วงความคิดก็ปรากฏภาพที่เซียวจื่อเซวียนชูมือที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาไว้พร้อมยิ้มให้เขาด้วยท่าทางได้ใจ
วันนี้ที่บ้านก็กินปลา!
เซียวยวี่ตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย เซียวหมิงจูเห็นดังนั้นก็รู้สึกวิตกกังวล “พี่อายวี่ ปลานี่ไม่อร่อยหรือเจ้าคะ? ”
“ไม่ใช่! ” เซียวยวี่ยิ้ม คีบเนื้อปลาขึ้นมากิน
ปลาทั้งนุ่มและสดใหม่จริง แต่เพราะจัดการได้ไม่ดีพอ ไม่ว่าจะกินหรือดมอย่างไรก็ยังรู้สึกว่ามีกลิ่นคาวปลา ส่วนปลาที่กินที่บ้าน นอกจากกลิ่นหอมและสดใหม่ของตัวปลา ก็ไม่ได้กลิ่นคาวปลาแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจัดการกับกลิ่นอย่างไร!
สามารถทำให้ปลาไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย
เซียวหมิงจูคีบอาหารให้เซียวยวี่ที่อยู่ตรงข้ามไม่หยุด “พี่อายวี่ นี่คือหมูตุ๋นน้ำแดง ข้าเป็นคนทำเอง ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ! ”
ดวงตาคู่โตของนางจ้องมองเซียวยวี่ด้วยความสงสาร
ไม่ได้พบสามเดือนกว่า พี่อายวี่ผอมลงอีกแล้ว ผอมจนมีแต่หนังหุ้มกระดูก บนกายยังคงสวมเสื้อสีเทาของปีที่แล้วที่ซักจนสีซีด เสื้อไม่พอดีตัว ตอนยกแขนขึ้น แขนเสื้อก็ขึ้นมาเหนือข้อมือแล้ว
มองกลับไปที่เซี่ยยวี่หลัวนั่น กินจนผิวขาวเนียน ไม่สนใจใยดีพี่อายวี่ที่ต้องลำบากอยู่ข้างนอกแม้แต่น้อย
พี่อายวี่ช่างน่าสงสารนัก นางแทบอยากเฉือนเลือดเนื้อตัวเองออกมาให้เขา คนที่ได้เขาไปครองกลับไม่รู้จักดูแลเขา
แววตาของเซียวหมิงจูเต็มไปด้วยความรักและสงสารไร้ที่สิ้นสุด จ้องมองเซียวยวี่อย่างอ่อนโยนด้วยความเหนียมอายแฝงเร้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หากเซียวยวี่เงยหน้าขึ้น ย่อมต้องเห็นอารมณ์มากมายจากดวงตาคู่โตนั่น
แต่น่าเสียดายยิ่งนัก เซียวยวี่ก้มหน้าตลอดเวลา พยายามไม่สบตาเซียวหมิงจู เซียวหมิงจูเห็นเขาไม่เงยหน้ามองตัวเองเป็นเวลานาน จึงก้มหน้าลงด้วยความเศร้า กัดริมฝีปากด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หยาดน้ำตากำลังจะไหลริน
ท่านป้าสี่เห็นดังนั้น ภายในใจก็รู้สึกหงุดหงิดแทบตาย บุตรสาวของนางกำลังคิดจะทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้อยู่กับเขา!
นางเอื้อมมือไปใต้โต๊ะ หยิกช่วงเอวบุตรสาวตนเองอย่างเเรงทีหนึ่ง เซียวหมิงจูเจ็บจนน้ำตาแทบไหล
ท่านป้าสี่ถลึงตาใส่เซียวหมิงจูทีหนึ่งด้วยอารมณ์โทสะ ก่อนหันไปคุยกับเซียวยวี่ “อายวี่ ครั้งนี้เจ้าไปสอบ เป็นอย่างไรบ้าง? ”
เซียวยวี่ขมวดคิ้ว “ยังไม่ประกาศผล ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ขอรับ”
เช่นนี้เท่ากับไม่มีความมั่นใจว่าจะสอบผ่านเลยแม้แต่น้อย!
ท่านป้าสี่หัวเราะอย่างเย็นชา “ไม่มีความมั่นใจว่าจะสอบผ่านเลยงั้นหรือ? ไม่มั่นใจสักนิดเลย? ”
เซียวยวี่ไม่กล่าวอะไร
ท่านป้าสี่กล่าวต่อ “เจ้าสอบมาสามครั้งแล้วสินะ? สองครั้งแรกสอบไม่ผ่าน หากครั้งที่สามยังสอบไม่ผ่าน ต่อไปเจ้ายังจะสอบอีกหรือไม่? ”
เซียวหมิงจูไม่พอใจ “ท่านแม่ ท่านพูดอะไรของท่าน ใครบอกกันว่าพี่อายวี่จะสอบไม่ผ่าน! ”
ท่านป้าสี่หัวเราะอย่างเย็นเยียบ “จะสอบผ่านหรือไม่ ข้าไม่ใช่คนตัดสินเสียหน่อย เป็นเขาเองที่ไม่มีความมั่นใจสักนิด! ”
เซียวยวี่ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยจริงๆ เขาสอบเป็นครั้งที่สามแล้ว หากบอกว่าก่อนหน้านี้เพียงแค่ตื่นเต้นเล็กน้อย ในครั้งที่สาม ก็มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นไม่น้อย
เซียวยวี่ไม่ได้โง่เขลา เขาฉลาดหลักแหลม ฉลาดจนฟังออกว่าท่านป้าสี่มีจิตปรปักษ์และไม่พอใจในตัวเขา