ตอนที่ 186 ความแตกต่างระหว่างพี่น้อง

แม่สาวเข็มเงิน

การตะคอกอย่างบ้าคลั่งและกะทันหันของชูซานฮัวทำให้ชูเอ้อฮัวทำอะไรไม่ถูกไปเลย นางงึก ๆ งัก ๆ อยู่สักพักถึงจะพูดติดอ่างออกมา “ตะ… แต่… แต่ว่าการที่เจ้านำน้ำนมผสมน้ำดิบมา น้องสาวอาจจะท้องเสียตายได้เลยนะ ไม่ว่าจะยังไง เจ้าก็ไม่ควรทำแบบนี้”

ชูซานฮัวเช็ดน้ำตาที่นองหน้า “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า ? ท่านย่าต่างหากที่ผสมน้ำดิบ และเป็นท่านย่าอีกนั่นแหละที่สั่งให้ข้านำมาให้  ถ้าข้าผิด ก็ผิดที่ข้ากลัวว่าจะถูกท่านย่าตีจนตายจึงนำน้ำนมถ้วยนี้มาส่งยังไงเล่า”

เจียงป่าวชิงมองอย่างเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง …ใช่ ชูซานฮัวไม่ใช่ตัวการก่อเรื่อง แต่นางรู้ว่านี่คือมีดแล้วยังจะส่งมาให้อีก สิ่งต่าง ๆ ในเรื่องนี้ เป็นชูซานฮัวที่เลือดเย็นไร้ความเมตตา ไม่มีภราดรภาพแม้แต่นิดเดียว

ชูเอ้อฮัวถอนหายใจยาว “พอได้แล้ว เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว อีกเดี๋ยวกลับไปเราก็ต้องถูกท่านย่าตีอยู่ดีนั่นแหละ”

สองพี่น้องสบตากันด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม ต่างฝ่ายต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้

สายตาของชูซานฮัวไปหยุดอยู่ที่เจียงป่าวชิง ลูกตานางหมุนกลอกไปมา นางพูดขึ้นอย่างขลาดกลัว “พี่ พี่ช่วยข้าสักเรื่องได้ไหมเจ้าคะ ?”

หากให้บอกตามตรง เจียงป่าวชิงรู้สึกไม่ชอบเด็กผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวเอามาก ๆ อย่างชูซานฮัวเลยจริง ๆ แต่นางเองก็ไม่ได้ไปต่อว่าอะไรชูซานฮัว  เด็กผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความยากลำบากเติบโตมาจนเป็นแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้อยู่

เจียงป่าวชิงไม่พูดอะไร ชูซานฮัวจึงพูดขึ้นอย่างกล้าหาญ “พี่ เรื่องวันนี้ เป็นเพราะท่านย่าบังคับข้า การที่พี่รับน้องสาวของข้ามาเลี้ยง ทำให้ข้าเห็นว่าพี่เป็นคนดีคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยข้าหน่อยได้หรือเปล่า ?  ข้าจะกลับไปบอกท่านย่าว่าน้องสาวดื่มน้ำนมนั้นแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าพี่เจอท่านย่าข้า พี่ก็อย่าเปิดโปงเรื่องวันนี้  ต่อจากนี้ไปข้าสัญญาเลยว่าถ้าข้ามาส่งน้ำนมอีก แล้วถ้าในน้ำนมมีปัญหาอะไร ข้าจะบอกพี่ตามจริงเลย”

ชูซานฮัวคิดวางแผนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นางเห็นว่าเจียงป่าวชิงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านมนั้นถูกผสมน้ำ ทั้งยังรู้ว่าผสม ‘น้ำดิบ’ อีกต่างหาก ถ้าหากว่าท่านย่าของนางคิดจะเพิ่มน้ำหรืออะไรแปลกปลอมเข้าไปในน้ำนมอีกหน เกรงว่าเจียงป่าวชิงก็คงจะดูรู้อยู่ดี สู้หยิบยกความจริงมาเอาใจเจียงป่าวชิงดีกว่า

เจียงป่าวชิงเหลือบมองชูซานฮัว เด็กผู้หญิงคนนี้อายุยังน้อยแท้ ๆ แต่สติปัญญากลับเฉียบแหลมมาก  ถูกจับได้ว่าทำความผิดจนตกอยู่ในสถานการณ์จวนตัว แต่นางก็ยังคิดวิธีสลัดความผิดได้โดยใช้เวลาไม่นาน แล้วยังอุตส่าห์รู้จักที่จะ ‘ให้การ’ ต่อเจียงป่าวชิงอีกต่างหาก

“พี่เจียง พี่ว่า…” ชูเอ้อฮัวทนต่อไปไม่ไหว ท่าทีของนางลำบากใจมาก นางพูดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติแต่เจียงป่าวชิงพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“พูดโกหกนี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอก” เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “แต่หลังจากที่เกิดเรื่องวันนี้ พวกเจ้าคิดว่าข้ายังจะยอมเสียเงินสิบทองแดงเพื่อซื้อนมจากบ้านของพวกเจ้าอยู่อีกรึ ?”

ใบหน้าชูซานฮัวเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที นางรีบพูดขึ้นอย่างร้อนรน “มะ… ไม่เอาอย่างนี้สิพี่  ข้ารับปากกับพี่แล้วหนิว่าต่อไปถ้ามีปัญหาอะไรข้าจะบอกพี่ตามจริง ทำไมพี่ถึงยัง… พี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”

สองสามวันนี้ เงินสิบทองแดงของเจียงป่าวชิงที่ตระกูลชูได้มาในทุกวันกลายเป็นรายได้มหาศาลสำหรับพวกเขาเลยก็ว่าได้

ก่อนหน้านี้พวกพี่น้องของชูซานฮัวได้กินแค่รำข้าว แต่ยามที่มีเงินสิบทองแดงของเจียงป่าวชิงในทุกวัน พวกนางได้กินบะหมี่เส้นหนาที่ทำจากแป้งข้าวโพดบ้างเป็นบางครั้ง …นั่นมันเป็นอาหารการกินที่จัดได้ว่าดีขึ้นมากและรสชาติก็อร่อยดีทีเดียว

สำหรับซานชูฮัว การที่ได้กินบะหมี่เส้นหนาที่ทำจากแป้งข้าวโพดสองสามคำถือเป็นเรื่องที่มีความสุขมากแล้ว

สีหน้าของชูเอ้อฮัวเองก็มืดมนเล็กน้อย เรื่องนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการชำระสะสาง ถึงแม้ว่าในใจของนางไม่อยากสูญเสียเงินสิบทองแดงนั้นไป แต่ชูเอ้อฮัวยังสามารถเข้าใจได้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เจียงป่าวชิงจะยังใช้นมของบ้านนางอย่างสบายใจอีกได้อย่างไร ?

เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของชูซานฮัว เจียงป่าวชิงรู้สึกเหมือนอยากขำให้ฟันร่วงจึงยกยิ้มมุมปากแล้วพูดขึ้น “ทำไมข้าจะทำแบบนี้ไม่ได้ล่ะเด็กน้อย… ในสายตาเจ้า ข้าเป็นแค่คนโดนโกงโง่เง่าคนหนึ่งเท่านั้นหรือไง ? ข้าจ่ายเงินสิบทองแดงทุกวันเพราะอยากให้เอาไปใช้ซื้ออะไรมาบำรุงร่างกายให้แม่ของเจ้า แต่ข้าพอจะเดาได้อยู่ว่าด้วยนิสัยท่านย่าของเจ้า เงินสิบทองแดงนั้น มีไม่กี่ทองแดงตกไปถึงแม่เจ้าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว นี่เทียบเท่ากับว่าข้าเสียเงินสิบทองแดงเพื่อเลี้ยงทั้งครอบครัวของพวกเจ้า  ในครั้งหน้า ๆ เจ้าบอกว่าเจ้าจะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริง นั่นเป็นเพราะเจ้ารู้เรื่องต่าง ๆ แล้วยังไงล่ะ แต่ถ้าเจ้าไม่รู้เรื่อง ก็คงไม่มีอะไรที่จะเอามาบอกข้า แล้วข้าเองก็คงไม่รู้ว่าท่านย่าเจ้าจะใช้กลอุบายอะไรอีก  แต่ก็ช่างเรื่องนั้นเถอะ เรามาผ่อนคลายกันดีกว่า ในเมื่อวันนี้มันเกิดเรื่องแบบนี้และเจ้าก็บอกข้าแล้ว ข้าก็คงไม่กล้าให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านดื่มน้ำนมที่มีปัญหานั่น แต่แล้วเสี่ยวฟ๋านฟ๋านจะดื่มอะไรล่ะ ? นางยังเป็นทารกอยู่เลย แน่นอนว่าไม่สามารถทนหิวในทุก ๆ วันได้หรอก ข้าโง่ไหมล่ะ ? จ่ายเงินสิบทองแดงทุกวันเพื่อเลี้ยงทั้งครอบครัวของพวกเจ้า แต่ฟ๋านฟ๋านของเรากลับไม่ได้ดื่มนมทุกวัน”

สีหน้าของชูซานฮัวยังมีความไม่ยอมแพ้เจืออยู่ ตอนนี้เมื่อนางได้ยินเจียงป่าวชิงถามกลับ นางอยากตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้จริง ๆ แต่คำพูดจุกอยู่ในอก นางพูดไม่ออกและยังร้อนรนอีก

ถึงเวลาขอความช่วยเหลือแล้ว นางหันไปมองพี่สองหรือชูเอ้อฮัว “พี่สอง พี่ช่วยพูดกล่อมพี่เจียงด้วยกันสิ อย่ามัวยืนเงียบ”

ชูเอ้อฮัวก้มหน้าอย่างละอายใจ

เจียงป่าวชิงถอนหายใจ พี่น้องท้องเดียวกันแท้ ๆ กลับเห็นความแตกต่างชัดเจนถึงขนาดนี้

คนหนึ่งคิดว่าการขอร้องให้คนอื่นทุ่มเทอะไรบางอย่างให้ตัวเองเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่อีกคนกลับเกิดความรู้สึกละอายใจรู้ผิดชอบชั่วดี

เจียงป่าวชิงไม่สนใจสองพี่น้องคู่นี้อีก นางส่ายหน้า พาสองพี่น้องไปส่งที่หน้าบ้าน  ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นในหลังจากนี้ นางไม่มีแรงเหลือที่จะไปสนใจแล้ว

……

ทำกายภาพบำบัดให้กงจี้เสร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงพลบค่ำ  เจียงป่าวชิงตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่บ้านตระกูลชู และบังเอิญว่าคนที่มาเปิดประตูคือชูซานฮัวพอดี

ชูซานฮัวเห็นเจียงป่าวชิงก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง นางรีบวิ่งมาที่นอกบ้านอย่างประหม่าแล้วพูดกับเจียงป่าวชิงเสียงเบา “พะ… พี่มาทำไมกัน ?”

เจียงป่าวชิงสังเกตชูซานฮัวด้วยสีหน้าราบเรียบ ดูเหมือนว่าจะยังดีอยู่ ไม่ได้มีร่องรอยของการถูกทุบตีแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่านางบอกท่านย่าของตัวเองว่าเสี่ยวฟ๋านฟ๋านดื่มน้ำนมที่มีปัญหานั้นแล้ว

เจียงป่าวชิงไม่ได้ตอบคำถามของชูซานฮัว แต่เลือกที่จะถามนางแทน “ท่านย่าเจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า ?”

ชูซานฮัวเดาได้แล้วว่าเจียงป่าวชิงมาทำอะไร สองมือนางรีบผลักเจียงป่าวชิงอย่างร้อนรน

ถ้าหากว่าเจียงป่าวชิงยังอยู่ในสภาพที่เป็นผู้ใหญ่อย่างในยุคปัจจุบันที่จากมา  การถูกเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผอมกะหร่องผลักแบบนี้มันก็น่าหงุดหงิด  ทว่าแม้นางจะไม่ชอบให้ใครมาสัมผัสตัว แต่นางยังคงคำนึงถึงการเคารพผู้สูงอายุและการที่จะต้องเมตตาต่อเด็กอยู่ดี

ทว่าในขณะนี้ เจียงป่าวชิงเป็นสาวน้อยตัวเล็ก ใครก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้ใคร นางจึงหลบไปอยู่ด้านข้างโดยไร้ซึ่งแรงกดดันทางจิตใจใด ๆ และไม่รอช้า ส่งเสียงตะโกนออกมาอย่างดัง

“ชูเหล่าไท่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน!”

ชูเหล่าไท่เป็นพวกมีความลับที่บอกใครไม่ได้ นางได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป นางกุลีกุจอรีบออกมาจากในห้องแล้วมองจากในประตูก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่นอกบ้าน

ท้องฟ้าเริ่มมืด มันมืดลงเร็วมากและไม่มีไฟ  ชูเหล่าไท่เองก็อายุมากแล้ว สายตาคนชราอย่างนางจึงมองไม่เห็นเท่าไหร่ เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ถึงจะแน่ใจว่าเป็นเจียงป่าวชิงจริง ๆ

เจียงป่าวชิงเห็นชูเหล่าไท่ออกมาจึงรีบพูดตัดไฟตั้งแต่ต้นลม “ลูกสะใภ้ของท่านกินอะไรเข้าไป ?  แล้วกินจนท้องเสียหรือเปล่า ? น้ำนมที่บีบออกมาให้ฟ๋านฟ๋านของเราดื่มกินถึงทำให้นางท้องเสียตลอดทั้งบ่ายแบบนั้น ?”

ชูเหล่าไท่ได้ยิน นางก็คิดว่าแผนของตัวเองสำเร็จแล้ว สีหน้าของนางเกือบจะปกปิดความดีใจไว้ไม่มิด “เจ้าเอาอะไรมาพูด ครอบครัวยากจนของเรากินอาหารธรรมดา ๆ  จะเปราะบางและกินจนท้องเสียแบบนั้นได้ยังไง ?  แต่ไอ้ตัวสิ้นเปลืองนั่น นางยังไม่ครบเดือนหนิ  โย! ท้องเสียตลอดทั้งบ่าย คงจะขยับไม่ได้แล้วล่ะสิ ?  เหอะ ๆ ข้าบอกแล้วว่าไอ้เด็กนั่นมันไม่มีบุญวาสนา  แต่เจ้าอย่าลืมนะว่าเราทำสัญญาที่สถานที่ทำงานของหัวหน้าหมู่บ้านกันแล้วว่าไอ้ตัวสิ้นเปลืองนั่นไม่ใช่คนของตระกูลชูของเราแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง นางก็ไม่เกี่ยวกับตระกูลชู  อ้อ และข้าจะไม่ยอมฝังนางในสุสานบรรพบุรุษของเราด้วย”

.