บทที่ 181 หรือว่าจะเป็นความฝัน

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 181

หรือว่าจะเป็นความฝัน

แล้วทั้งสองคนก็ได้อยู่ภายใต้สายลมเย็นอย่างเงียบสงบ โดยปราศจากซึ่งการพูดจาใดๆ

หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆ หลินซีเหยียนก็ได้เปิดปากทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “ทำไมองค์ชายถึงได้ต้องการสร้างเสถียรภาพในรัฐจงล่ะ? ไม่ใช่ว่าในฐานะที่เป็นศัตรูของรัฐเจียงแล้ว ก็ควรที่จะทำให้รัฐจงวุ่นวายไม่ดีกว่าเหรอ?”

ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็หม่นหมองขึ้นมาหน่อยๆแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ้ำอึ้ง “ตัวตนของท่านแม่เปิ่นหวางนั้นลึกลับมาก ซึ่งหลังจากที่ตามสืบมาเป็นเวลานาน เปิ่นหวางนั้นพบแค่ว่านางนั้นอาจจะมาจากรัฐจง ดังนั้นเปิ่นหวางจะปล่อยให้รัฐจงตกอยู่ในความวุ่นวายไม่ได้จนกว่าเปิ่นหวางจะพบข้อมูลเหล่านั้น”

หลินซีเหยียนก็กะพริบตา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยิน เจียงหวายเย่พูดถึงเรื่องแม่ของเขา ด้วยความที่เขาเป็นองค์ชายแล้วแม่ของเขาก็น่าจะเป็นนางสนมของฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ดูเหมือนว่านางนั้นจะไม่เคยเห็นเจียงหวายเย่ไปที่พระราชวังเพื่อไปทักทายแม่ของเขาเลย หรือว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันนะ?

“องค์ชายความบาดหมางระหว่างแม่กับลูกก็แค่ชั่วข้ามคืนเท่านั้น ข้าว่าท่านควรจะกลับไปเยี่ยมท่านบ่อยๆนะ”

หลินซีเหยียนที่พยายามจะเกลี้ยกล่อมเขา แต่นางนั้นไม่ทันคิดว่าเจียงหวายเย่นั้นจะก้มลงมาจูบนางโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้หัวของนางโล่งไปพักหนึ่งโดยที่ไม่ได้ผลักเขาออกไป

การจูบนี้รุนแรงมากราวกับอีกฝ่ายนั้นต้องการที่จะกลืนนางเข้าไปในท้องของเขาโดยไม่สนใจอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร จนกระทั่งหลินซีเหยียนนั้นเริ่มขัดขืนเพราะเริ่มหายใจไม่ออก

เจียงหวายเย่ที่ดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวได้ก็ได้ปล่อยนางอย่างช้าๆ จากนั้นก็ได้กล่าวด้วยอารมณ์ที่หดหู่ “แม่ของเปิ่นหวางนั้นเสียไปนานหลายปีแล้ว”

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะค้นหาสาเหตุการตายของแม่ของเขาเพื่อล้างแค้นให้นาง ถึงแม้ว่านางจะสอนเขาเอาไว้ว่าจงอย่าทำให้ตัวเองกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจเพราะความแค้นตั้งแต่เขาจำความได้

“ขอโทษด้วย” หลินซีเหยียนรู้สึกผิดที่ทำให้เจียงหวายเย่รู้สึกเศร้า

เจียงหวายเย่ก็ได้ส่ายหัวของเขา “ไม่ใช่เรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยงอะไร”

เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืน “ข้านึกถึงสถานที่สวยงามที่หนึ่งในหอพันกลได้ เจ้าอยากที่ไปดูไหม?”

เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนและเผยรอยยิ้มที่มุมปากของเขาอย่างอดไม่ได้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึง

หลินซีเหยียนนั้นไม่เคยเห็นเจียงหวายเย่เป็นเช่นนี้มาก่อน นางจึงได้สงสัยสถานที่นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ “ไปสิ”

“เพียงแต่จะต้องมีวิชาตัวเบา ถึงจะไปที่นั่นได้” ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็แสดงถึงความว่องไว ดูเหมือนว่าฤทธิ์เหล้าส่วนใหญ่นั้นจะสร่างแล้ว

นางนั้นไม่มีวิชาตัวเบา ถ้านางอยากที่จะไป นางก็ให้เจียงหวายเย่อุ้มนางไป ซึ่งมันน่าอายมาก แต่ถ้าวันนี้นางไม่ได้ไป นางคงจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจและเกรงว่ามันจะทำให้นางหลับไม่ลงเป็นแน่

หลินซีเหยียนก็ได้มองด้วยสีหน้ามุ่งร้ายไปยังตัวต้นเหตุที่ทำให้นางมีปัญหา แต่สุดท้ายนางก็ได้กล่าวออกไปด้วยความอดกลั้น “ดึกแล้ว ข้าง่วงจะไปนอนล่ะ”

จากนั้นนางก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมที่จะกลับลงไปที่ห้อง แต่นางก็กลับสะดุดพื้นเรียบๆแล้วจากนั้นก็ล้มลงไป แล้วนางก็ได้กล่าวโทษให้กับความเลินเล่อของนางในใจ หลินซีเหยียนก็ได้หลับตาของนางด้วยความกลัว

แต่โชคดีที่นางนั้นไม่ได้ล้มลงไปที่พื้นแข็งๆ แต่กระแทกเข้ากับสัมผัสที่เย็นๆแทน ซึ่งความรู้สึกเย็นนี้แต่กลับทำให้นางรู้สึกปลอดภัย

ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้พูดอะไรออกไป เจียงหวายเย่ก็ได้ล่องลอยไปโดยมีนางอยู่ในอ้อมแขนของเขา นางรู้สึกได้ถึงหัวใจของนางที่เต้นแรงและแก้มของนางที่ร้อนฉ่า

มองไปที่ทิวทัศน์ที่อยู่ด้านหลังของนาง หลินซีเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับความสวยงามของวิชาตัวเบา ที่ทำให้สัมผัสได้ถึงประสบการณ์การอยู่กลางอากาศได้ตามต้องการ

เมื่อเจียงหวายเย่วางหลินซีเหยียนลง พวกเขาก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของที่นี่ หอพันกลนั้นมีทั้งหมด 6 ชั้น เมื่อมองไปข้างล่างจะมองเห็นความงดงามของที่นี่จากตะเกียงไฟที่ติดตามที่ต่างๆของหอซึ่งสวยงามมาก และที่นี่มองเห็นได้อย่างชัดเจนกว่าทิวทัศน์ที่เห็นได้จากดาดฟ้านัก

“ที่นี่ช่างสวยงามจริงๆ”

“เปิ่นหวางเคยหลอกเสี่ยวเหยียนเอ๋อที่ไหน?” ดวงตาสีดำของเจียงหวายเย่ก็ได้จับจ้องไปที่หลินซีเหยียน

เสี่ยวเหยียนเอ๋อ คำคำนี้ช่างคุ้นเคยนัก ซึ่งไม่ได้ออกมาจากปากของเจียงหวายเย่มาพักใหญ่ๆแล้วจนกระทั่งวันนี้ หมายความว่าอีกฝ่ายนั้นยกโทษให้นางแล้วอย่างนั้นเหรอ? หลินซีเหยียนก็ได้บิดริมฝีปากของนาง แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไร ก็ได้มีเสียงเอะอะดังมาจากข้างล่างของหอเสียก่อน

เจียงหวายเย่คิ้วขมวดและแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะโดยผู้อื่นเช่นนี้

“เอาเถอะน่า ในเมื่อข้าได้มาเห็นที่นี่แล้ว ทำไมท่านไม่ลงไปข้างล่างแล้วไปดูเสียหน่อยล่ะ?” หลินซีเหยียนรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเจียงหวายเย่ไม่สบอารมณ์เช่นนี้

เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัวแล้วเอามือเข้าไปในแขนเสื้อของเขาแล้วดึงเอาผ้าสีขาวออกมาแล้วใช้ปิดหน้ากับปากของเขาชั่วคราว แล้วจากนั้นก็ร่อนลงไปช้าๆพร้อมกับหลินซีเหยียนในอ้อมแขนของเขา

กระโดดลงไปจากที่ที่สูงกว่า 10 เมตรเช่นนี้ ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าไม่เป็นไรหลังจากที่ถึงพื้นแล้ว แต่หลินซีเหยียนก็ยังรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังเล่นบันจี้จัมพ์อยู่ ซึ่งรู้สึกหวาดเสียวมาก

“พวกเจ้าเป็นใคร ออกไปจากที่นี่เสียอย่าได้มายุ่งกับเรื่องของคนอื่น”

ชายหน้าตาดีคนหนึ่งก็ได้มองมาที่ทั้งสองคนที่ลงมาจากฟากฟ้าด้วยสีหน้าที่ระแวดระวัง เขานั้นจับมือทั้งสองข้างของหญิงสาวคนหนึ่งอย่างแน่นหนา หญิงสาวคนนี้ดูขัดขืนอย่างมากและเสื้อผ้าของนางก็ไม่เรียบร้อย ที่ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตาด้วยสีหน้าที่เสียใจ “ได้โปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ!”

“หุบปาก” เมื่อได้ยินเช่นนี้ชายคนนั้นก็ได้ตะโกนไปยังหญิงสาวอย่างดุดัน หลังจากที่ตะโกนเสร็จเขาก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่และหลินซีเหยียน “ข้าจะบอกพวกเจ้าเอาไว้ก่อน ว่าข้าน่ะเป็นหลานของหัวหน้าตึกพันกล ถ้าพวกเจ้าทำให้ข้าโมโห พวกเจ้าจบไม่สวยแน่ๆ”

“หัวหน้าตึกพันกลน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินซีเหยียนที่เหมือนกำลังจะได้เห็นอะไรสนุกๆ ก็ได้หรี่สายตาลงแล้วถามอย่างครุ่นคิด

ชายคนนั้นดูเหมือนจะได้ยินอะไรที่น่าขันเข้า แล้วเขาก็ได้ปล่อยมือข้างหนึ่งแล้วชี้ไปรอบๆ “เมื่อสักครู่พวกเจ้ามาจากหอพันกลสินะ แต่พวกเจ้ากลับไม่รู้ถึงอำนาจของหอพันกลงั้นเหรอ?”

หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่เขา “ดูเหมือนเจ้าจะไม่เข้าใจที่ข้าถามนะ ข้าถามว่าหัวหน้าตึกพันกลน่ะน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอ? ข้าไม่ได้หมายถึงหอพันกลที่น่ากลัว”

ชายคนนั้นที่ได้ยินเข้าก็ได้ทำเสียงในลำคอ “หึ ตำแหน่งหัวหน้าตึกน่ะจะเป็นรองก็แค่ประมุขหอเท่านั้น ซึ่งปกติก็มีอำนาจมากอยู่แล้วแต่ว่าประมุขหอนั้นหายไปนานหลายปีแล้ว ดังนั้นหัวหน้าตึกจึงได้ใหญ่ที่สุดในหอพันกลไปโดยปริยายไงล่ะ” จากนั้นเขาก็ได้มองมาที่ทั้งคู่ราวกับคนแปลกหน้า “ดูเหมือนพวกเจ้าจะเป็นคนนอกสินะ ข้าแนะนำให้พวกเจ้ารีบๆไปดีกว่า ถ้าพวกเจ้ามารบกวนข้าพวกเจ้าจะไม่มีวันได้ข้อมูลที่พวกเจ้าต้องการแน่”

ถึงแม้เจียงหวายเย่จะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาก็ได้ดำมืดขึ้นเรื่อยๆ เขานั้นไม่คิดเลยว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในหอพันกลของเขาด้วย ดูเหมือนว่าเขาควรจะหาเวลามาอบรมสั่งสอนพวกหัวหน้าตึกเสียใหม่แล้วใส่ใจการฝึกฝนคุณภาพของลูกน้องของเขามากกว่านี้เสียแล้ว

เหมือนโดนดูถูกโดยผู้อื่นเช่นนี้หลินซีเหยียนก็ได้ไม่โกรธอะไร แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กลางที่โล่งแจ้งแบบนี้ พวกเจ้าจะไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเองทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกันไปหน่อยเหรอ?”

“ไม่ใช่นะแม่นาง ได้โปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ”

หญิงสาวคนนั้นเมื่อเห็นว่าฟางที่จะช่วยชีวิตนางนั้นกำลังจะขาด ก็ได้ร่ำร้องขอร้องให้ช่วยอย่างรวดเร็ว แต่ดวงตาของนางก็ได้จับจ้องไปที่เจียงหวายเย่อยู่เป็นช่วงๆ เพราะถึงแม้ เจียงหวายเย่นั้นจะสวมผ้าปิดหน้าของเขาอยู่ แต่ก็ไม่ได้ปิดบังความงดงามของเขาได้

แล้วหลานของหัวหน้าตึกที่ถูกทำเป็นกับเป็นคนโง่นั้น ก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียน “ข้าว่าข้าพูดชัดเจนแล้วนะ พวกเจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดกันรึยังไง?”