บทที่ 180 อัจฉริยะ

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 180

อัจฉริยะ

เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัวแล้วเดินไปหา จากนั้นก็ใช้นิ้วมือของเขาไขลานที่นกอย่างรวดเร็ว แล้วจากนั้นปีกของมันก็ได้ขยายออกอย่างช้าๆ

ถือนกเอาไว้ในมือของเขาแล้วจากนั้นก็โยนออกไป แล้วมันก็ได้กระพือปีกแล้วบินอย่างอิสรเสรีราวกับนกจริงๆ

“ว้าว มันบินได้จริงๆด้วย”

หลินซีเหยียนมองไปที่นกที่บินอยู่เหนือหัวของนางแล้ว รอยยิ้มที่ปากของนางนั้นดูสดใสมาก เป็นอีกครั้งที่เจียงหวายเย่นั้นทำให้นางแปลกใจได้ เจียงหวายเย่นั้นชำนาญหลายด้านจริงๆ

แต่หลังจากที่ดูอยู่พักใหญ่ หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสายตาที่เป็นประกายแล้วกล่าว “ข้าอยากที่จะดูมันบินใกล้ๆ จะหยุดมันได้ยังไง?”

ปัญหานี้ทำให้เจียงหวายเย่ตัวแข็งขึ้นมา จริงๆแล้วเขานั้นไม่ได้คิดถึงวิธีเอามันลงมาเลย แต่คงจะไม่ดีถ้าที่จะบอก หลินซีเหยียนไปเช่นนั้น เขาจึงได้ตอบกลับไปอย่างเย็นชา “ถ้ามันเหนื่อย มันก็จะบินลงมาเอง”

“หืม? บินจนเหนื่อย?”

หลินซีเหยียนที่เชื่อในคำอธิบายบ้าๆนี้ นางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยดวงตาเร่าร้อนมากกว่าเดิม “จริงเหรอ? ยอดไปเลย!”

ไม่นานนักก็ถึงเวลาค่ำ เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่นอกหน้าต่างแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นยะเยือก เพราะในเวลานี้ทางองค์ชายหนึ่งของรัฐจงก็น่าจะได้รับของขวัญจากเขาไปแล้ว

ณ ตำหนักองค์ชายหนึ่งของรัฐจง หลังจากที่ดื่มด่ำกับอาหารและเหล้าชั้นดี องค์ชายหนึ่งก็ได้กอดเหล่าสาวงามแล้วเตรียมที่จะเข้าไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน แต่ทว่าหลังจากเขาจุดเทียนในห้องของเขา เขาก็พบศพคนตายอยู่บนเตียงของเขา ซึ่งเป็นคนที่เขาไว้ใจ และเป็นข้ารับใช้คนสนิทของเขา

“เข้ามาดูกันหน่อย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าชายร่างใหญ่จะถูกฆ่าตายได้โดยที่ไม่มีจุดผิดพลาดอะไรเลย” ด้วยความกลัว องค์ชายหนึ่งก็ได้คำรามออกมาด้วยความกลัว เหล่าหญิงสาวที่อยู่รอบตัวเขาก็ได้พาหวาดกลัวจนสูญเสียซึ่งความงามไป

แต่หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆเหล่าองครักษ์ก็ได้พากันเข้ามา แล้วรายงานต่อองค์ชายว่าไม่พบผู้ต้องสงสัยใดๆทั้งสี และไม่มีแม้แต่จุดเชื่อมโยง

องค์ชายหนึ่งก็ได้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ทันใดนั้นก็ได้มีคนที่มีสายตาแหลมคมพบว่าผู้ตายนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือของเขา แล้วองครักษ์ก็ได้หยิบกระดาษแผ่นนั้นส่งให้องค์ชายหนึ่ง ซึ่งพอองค์ชายหนึ่งได้อ่าน สีหน้าของเขาก็ได้แย่ลงมากขึ้นเรื่อยๆ

ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนเอาไว้ว่า “ใครที่แตะต้องสิ่งที่ไม่ควรแตะต้องจะต้องตาย”

ความตายของคนสนิทของเขานั้นทำให้เขารู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของชายคนนั้นและมันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับชายคนนั้นในการเอาชีวิตของเขา

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้อย่างชัดเจนว่าหลินซีเหยียนนั้นหาใช่คนที่เขาควรจะไปแตะต้องไม่

เพราะการมาถึงของเจียงหวายเย่ เชียนฝานจึงได้สั่งให้คนไปเตรียมเหล้าและอาหารชั้นดีมาเพื่อพูดคุยกันยาวๆ อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้พบหน้ากันมานานมากแล้ว

“ท่านประมุขหอ ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้คือใคร?”

เพราะความวุ่นวายในก่อนหน้านี้ ทำให้เชียนฝานนั้นไม่ทันได้สังเกตเห็นหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเจียงหวายเย่ ในเวลานี้เขาจึงเพิ่งรู้สึกตัว ทำให้เขาประหลาดใจมาก

อย่างที่รู้กันตั้งแต่ที่หอพันกลก่อตั้งขึ้นมาใหม่ๆนั้น มีหญิงสาวทั่วแผ่นดินเจียงต้องการที่จะปีนขึ้นเตียงท่านประมุขหอ ไม่ว่าสาวงามแต่ละคนนั้นจะงดงามมากแค่ไหน ท่านประมุขหอก็จะโยนพวกนางออกจากนอกห้องแล้วปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างในห้อง

ดังนั้นครั้งหนึ่งเขาจึงเคยคิดว่าท่านประมุขหอนั้นอาจจะนกเขาไม่ขันหรือไม่ก็ไม่สนผู้หญิง ในเวลานั้นทุกครั้งที่เขานอนเขาจะต้องรัดเข็มขัดกางเกงให้แน่น ด้วยความกลัวว่าท่านประมุขหออาจจะเกิดขาดสติแล้วทำมิดีมิร้ายกับเขาได้

เจียงหวายเย่นั้นไม่รู้ว่าเชียนฝานนั้นคิดอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงบีบคอของเขาส่งลงยมโลกไปแล้ว

“นางคือบุตรีคนที่สองของมหาเสนาบดีหลินชื่อ หลินซีเหยียน เจ้ารู้ตัวตนของนางแค่นี้ก็พอ”

เจียงหวายเย่ก็ได้แนะนำอย่างห้วนๆมาก แล้วจากนั้นก็กลับสู่ความเงียบ แต่เชียนฝานกลับได้รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ต่างไปจากที่เขาได้ยิน แล้วรู้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องผู้หญิงของท่านประมุขหอแล้ว

แต่หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ เชียนฝานรู้สึกได้ถึงความจืดชืดนิดหน่อย เขาจึงได้ให้คนลงไปที่ห้องเก็บของเพื่อไปหาไหเหล้าชั้นดีแล้วนำกลับมา

“เปิ่นหวางไม่ดื่มนะ” เจียงหวายเย่ที่ได้ยินที่เขาสั่งลูกน้อง ก็ได้กล่าวอย่างเย็นชา

ซึ่งเชียนฝานก็ไม่ได้คิดมากอะไร และกล่าว “ท่านประมุขไม่สนไม่เป็นไร บางทีแม่นางคนนี้อาจจะชอบก็ได้ ใครๆก็รู้ว่าเหล้าที่อยู่ในห้องใต้ดินนั้นคือสมบัติ ซึ่งข้าต้องลำบากอย่างมากในการเก็บสะสมเหล้าพวกนี้”

ฟังจากที่เขาพูดมา หลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ว่าเชียนฝานนั้นเป็นคนที่น่าสนใจมาก และได้รีบกล่าวอย่างหนักแน่น “ถ้ามีเหล้าดี ข้าก็อยากที่จะลองดื่มเหมือนกัน”

เจียงหวายเย่ก็คิ้วขมวดขึ้นมา เรื่องนี้คนอื่นๆอาจจะไม่รู้แต่ตัวเขานั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเชียนฝานนั้นชื่นชอบและหลงใหลในเหล้ามาก แล้วของสะสมของเขานั้นล้วนแต่เป็นเหล้าแรงๆ ซึ่งไม่เหมาะสมกับผู้หญิงที่บอบบาง

ไม่นานนักคนของเขาก็ได้นำเหล้ามาให้ เชียนฝานจึงได้รินเหล้าให้หลินซีเหยียน กลิ่นหอมของข้าวที่ลอยออกมาจากเหล้านั้น ทำให้พยาธิในท้องของหลินซีเหยียนนั้นขยับอย่างกระตือรือร้น ในขณะที่นางกำลังจะหยิบขึ้นมาดื่มนั้นเอง ก็ถูกฉกเอาไปโดยมือที่อยู่ข้างๆนางเสียก่อน

เจียงหวายเย่ก็ได้ดื่มเหล้าแก้วนั้นลงไปรวดเดียว ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของเชียนฝาน แล้วริมฝีปากบางๆของเจียงหวายเย่ก็ได้เปิดปากขึ้นมา “ไปเอาไหเหล้าดอกท้อมา”

เป็นคำสั่งของท่านประมุขหอจึงจำต้องทำตาม

แล้วเหล้าครึ่งไหที่รินโดยเชียนฝานนั้นก็ได้เข้าไปอยู่ในท้องของเจียงหวายเย่ ในขณะที่หลินซีเหยียนทำได้แค่มองดู นางจึงได้พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่ดื่มหรอกเหรอ?”

เจียงหวายเย่ก็ได้หันหน้าไปมองหลินซีเหยียนด้วยดวงตาที่เยิ้ม แล้วจากนั้นก็ส่ายหัว “เปิ่นหวางคิดว่าเหล้าดอกท้อนั้นเหมาะสมกับเจ้ากว่า”

หลินซีเหยียนที่ได้ฟังที่เจียงหวายเย่กล่าวด้วยสีหน้านิ่งและพูดด้วยวาจาที่อ่อนโยนแล้ว นางจึงได้ถามออกไป “ไม่ใช่ว่าองค์ชายเมาแล้วเหรอ?”

“เปิ่นหวางยังไม่เมาหรอก” เจียงหวายเย่คิ้วขมวดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดี “ก็แค่เหล้าครึ่งไห สำหรับเปิ่นหวางก็แค่เรื่องเล็กน้อย”

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้นเอง เหล้าดอกท้อก็ได้ถูกนำมาส่ง นางจึงได้รินเหล้าใส่ในแก้ว นางนั้นคิดว่าเหล้าผสมน้ำเช่นนี้คงไม่น่าจะเพลิดเพลินเท่าไร แต่ไม่คิดว่ารสชาติจะดีขนาดนี้ รสเหล้าที่นุ่มนวลและยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกท้อด้วย

หลังจากที่ดื่มหมดไปแก้วหนึ่ง หลินซีเหยียนก็รู้สึกชอบมันมาก

ถึงแม้จะมีกลิ่นหอมของเหล้าแต่กลับไม่ทำให้เมาเลย หลังจากที่ดื่มไปตั้งเยอะแต่หลินซีเหยียนกลับมารู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

หลังจากที่ดื่มไปได้สามแก้ว อาหารมื้อนี้ก็จบลงพอดี หลังจากที่ถามเชียนฝานว่าห้องของนางอยู่ที่ไหนแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวราตรีสวัสดิ์

หลังจากที่หลินซีเหยียนจากไปแล้ว เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยเช่นกัน

ในคืนนั้นหลินซีเหยียนก็ได้โยนตัวลงบนเตียงแล้วกลิ้งไปกลิ้งมา ตานางก็นอนไม่หลับแล้วลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้า เพื่อมองดูดาวและก้อนเมฆที่ส่องสว่างสักพักหนึ่ง

ในขณะที่นางกำลังมองดูดาวอยู่ในภวังค์นั้น ก็ได้มีเสียงดังมาจากข้างหลังนาง หลินซีเหยียนก็ได้หันหน้ากลับมาอย่างระวังตัวแล้วก็พบเจียงหวายเย่ที่มาพร้อมกับผ้าคลุมในมือของเขา

และเพราะอยู่กันแค่ตามลำพังสองคน เจียงหวายเย่จึงได้ไม่สวมหน้ากากสีดำน่ากลัวอันนั้น หลินซีเหยียนจึงได้เห็นใบหน้าของเขาที่แดงผ่านแสงจันทร์ได้อย่างชัดเจน

นางจึงหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “องค์ชายเย่ผู้ยิ่งใหญ่แต่กลับดื่มเหล้าไม่เก่ง”

เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร แต่ยื่นผ้าคลุมให้กลับหลินซีเหยียนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “มันดึกแล้ว ลมจะเย็น ระวังจะเป็นหวัด”

“องค์ชายก็ไม่นอนหลับเหมือนกันเหรอ?”

เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัวแล้วนั่งลงข้างๆหลินซีเหยียน โดยปราศจากซึ่งความเย็นชาและบรรยากาศที่หนักอึ้งก่อนหน้านี้