ตอนที่ 251 ชื่นชอบโอวหยางลี่
บางทีเธออาจจะชื่นชอบโอวหยางลี่เมื่อตอนนั้นใช่ไหมนะ?
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมีเพียงแค่อันโหรวคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ในสายตาของเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีประโยคหนึ่งที่เธอยังคงจำได้ไม่มีวันลืมเลือน
เขาบอกว่า ‘โหรวโหรว เธอรู้ใช่ไหมว่าคนที่ฉันรักก็คือเธอ’
เธอยิ้มอย่างเย้ยหยันขึ้นมาเบา ๆ พยาบาลที่อยู่ข้าง ๆ นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้รู้จักเธอ ก่อนจะมองและเอ่ยถามว่า “ให้เรียกคนในครอบครัวคุณมาไหมคะ?”
เธอส่ายหน้าไปมา ไม่ต้องเรียก เรียกไปพวกเขาก็คงไม่มา
เมื่อฟังเสียงฝีเท้าของพยาบาลที่ค่อย ๆ เดินออกไป เธอก็คลับคล้ายคลับคลาราวกับเห็นอันโหรวกับโอวหยางลี่ที่นอกหน้าต่าง เธอกัดฟันแน่นอย่างอดไม่ได้
ผู้หญิงที่เธอเกลียดชั่วชีวิตยังคงเป็นแซ่อัน ไม่ว่าจะเป็นอันโหรวหรืออันอีหานก็ตาม!
เธอเกลียดมันมาก เกลียดมากที่สุดในชั่วชีวิตนี้
เธอไม่รู้ว่าทำไมในวันนั้นหลังจากเห็นอันโหรวแล้วก็ไม่เห็นตัวเธออีกเลย เพียงแต่เธอก็แอบดีใจที่โอวหยางลี่จะไม่ได้เห็นหน้าเธออีก แต่ทว่าข้างกายของเขากลับมีเหอเหมียวที่คอยมาป้วนเปี้ยนจนถูกเธอสั่งสอนจนต้องเข้าโรงพยาบาลในที่สุด
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ช้าก็เร็วก็ต้องจบเหมือนกับเหอเหมียวคนนั้นแน่ ๆ ภายในใจของโอวหยางลี่ในตอนนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาประทับใจได้อีกเลย
เมื่อรู้สึกเช่นนี้ เขานั้นน่าหลงใหลยิ่งกว่าจิ่งเป่ยเฉินเสียอีก
เพราะว่ามีดวงตาที่คล้ายคลึงกัน จิ่งเป่ยเฉินก็เลยหยิบยกอันอีหานคนนั้นมาเป็นตัวแทนอันโหรวใช่หรือเปล่า?
หิมะตกหนักขึ้นที่ด้านนอกหน้าต่าง เธอหยิบกระเป๋าของตัวขึ้นมา โทรศัพท์ถูกปิดมานานแล้ว เมื่อเธอได้สติขึ้นมาจึงไม่แปลกใจเลยที่พยาบาลถามถึงเรื่องพวกนั้น ถ้าหากมันถูกเปิดอยู่ก็คงติดต่อครอบครัวของเธอไปนานแล้ว
เธอไม่สนใจแม้แต่ความเจ็บปวดที่ท้องน้อย ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาและเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล
……
ไม่นานก็ถึงวันศุกร์ หลินจือเซี๋ยวแต่เดิมก็ไม่เคยมีนิสัยมาสาย เธอมักจะมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้เธอก็กำลังรออย่างเงียบ ๆ แม้ภายในใจจะร้อนรน
จนถึงตอนนี้เธอยังไม่เคยเห็นแม้แต่รูปสักใบของชายคนนั้น เพราะแม่บอกกับเธอว่าชายคนนั้นไม่ค่อยชอบถ่ายรูป ส่วนรูปบัตรประชาชนทั่ว ๆ ไปก็ดูใช้ได้
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นประจวบเข้ากับความไม่พอใจของเธอ นี่มันมากเกินไปหรือเปล่า?
เธอเริ่มสงสัยอย่างจริงจังว่าคำพูดที่แม่ของเธอบอกมาสี่คำ โดยเฉพาะเครื่องหมายอัศเจรีย์ ความหมายพวกนี้ที่แม่บอกมาคงไม่ใช่น่าเกลียดเกินไปหรอกใช่ไหม?
เมื่อเธอคิดแบบนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองนั่งแทบไม่ติด ก่อนจะมองไปที่ประตูอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่รู้สักทีว่าใครคือเซว์มู่
ที่ด้านนอกร้านอาหาร ฉีเซิงเทียนกำลังนั่งอยู่ในรถและเหลือบมองไปที่ประตู เมื่อเขาเห็นคนที่เรียกว่าเซว์มู่เข้ามาถึง เขาก็รีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว
จากที่เขาดูในรูปถ่ายบัตรประชาชนก็รู้สึกว่าชายคนนี้เป็นคนที่อ่อนโยนไม่ใช่น้อย ความสามารถก็นับว่ามี ดูจากตอนนี้ดูท่าน่าจะเป็นเรื่องจริง เขาเลยคิดอยากจะเห็นหน้าสักหน่อย แต่เมื่อเทียบกับตัวเขาแล้วดูท่าน่าจะอีกหลายส่วนที่ยังดูห่างไกล
เขาเดินออกมาด้วยท่าทางที่ดูสง่างาม ก่อนจะพูดว่า “พี่ชาย!”
เซว์มู่มองดูเขาที่ด้านข้าง เสื้อกันลมสีดำของเขาโดนลมหนาวเย็น ๆ พัดผ่าน เขาเอ่ยถามว่า “มีอะไรเหรอครับ?”
ฉีเซิงเทียนก้าวเดินไปอย่างสงบด้วยท่าทีพึงพอใจ ก่อนจะมองชายโสดที่อยู่ตรงหน้าอย่างเกียจคร้าน ดวงตาของเขาหลับลงเล็กน้อยและเอ่ยออกมาว่า “คุณชื่อเซี่ยมู่เหรอ?”
“ผมแซ่เซว์”
“คุณนั่นเอง!” ฉีเซิงเทียนรีบเดินไปหยุดที่ด้านหน้าของเขา “คือเรื่องมันเป็นแบบนี้นะ แฟนกับผมทะเลาะกัน เวลาที่บ้านของเธอถามว่าเธอมีแฟนหรือเปล่า เธอมักจะตอบว่าไม่มีอยู่เสมอ เพราะงั้นก็เลยจัดนัดบอดให้กับเธอซะงั้น ตอนนี้พวกเราคืนดีกันได้แล้ว เพราะงั้นคุณกลับไปได้แล้ว!”
“แฟนของคุณคือ?”
“หลินจือเซี๋ยว!” เขาจับไหล่และพาเขาเดินยังไปรถของเซว์มู่ “ผู้หญิงแบบเธอ เวลาโกรธทีไรมักไม่ค่อยดี แค่ผมไม่ได้ซื้อดอกกุหลาบกลับบ้านแค่วันเดียว เธอก็โกรธทำเป็นเย็นชากับผมซะแล้ว ผมเห็นคุณเป็นคนที่ดีนะ เพราะงั้นอย่ามาเสียเวลากับผู้หญิงแบบนี้เลย! เธอไม่เหมาะกับคุณหรอกรู้ใช่ไหม?”
ครั้งนี้เขามีน้ำใจเป็นพิเศษ ถึงขั้นพาเขาไปส่งที่รถ “ต้องการให้ผมช่วยเปิดประตูรถไหม?”
เซว์มู่ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็อดไม่ได้ที่จะเปิดประตูรถด้วยตัวเองและเข้าไปนั่งในรถ
เมื่อประตูรถปิดลงต่อหน้าฉีเซิงเทียน เขาก็หันกลับมาและเดินไปที่รถของตัวเอง ชายคนนั้นดูแล้วก็ไม่เลวจริง ๆ นั่นแหละ แต่เอาจริง ๆ แทบไม่ได้ฉลาดคิดเอาเสียเลย
“นั่น…..” เสียงของเซว์มู่เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
ฉีเซิงเทียนหันตัวกลับไปยิ้มให้เขา “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
เซว์มู่เอนตัวพิงก่อนจะยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถ “เธอมาที่นี่แล้วหรือเปล่า? ผมไปหาเธอได้ไหม? การได้รู้จักเพื่อนอีกหนึ่งคนก็ไม่เลวเท่าไร”
“ไม่ได้! ผมแค่มาบอกคุณเท่านั้น” เขาเองไม่คิดอยากจะตอบอะไรมากมาย
“อ๋อ” เซว์มู่หดศีรษะเข้าไปในรถก่อนที่จะขับรถออกไป
ทันทีที่เขาเห็นรถขับผ่านออกไป ฉีเซิงเทียนก็เดินมุ่งเป้าไปหาหลินจือเซี๋ยวที่นั่งจิบน้ำชาอย่างสบายใจอยู่ด้านในอย่างไม่รีบร้อน
เขานั่งที่โต๊ะด้านข้างเธอ พร้อมเรียกบริกรให้มารับออร์เดอร์
หลินจือเซี๋ยวได้ยินเสียงของเขาก็รีบหันไปมองทันที “ผู้จัดการฉี คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
คงไม่ได้มาดูเธอนัดบอดหรอกใช่ไหม? งานอดิเรกคนนี้นี่มันยังไงกัน?
“กินข้าว” เขาพลิกเมนูอาหารพร้อมชี้ไปบนเมนู “เอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้…….”
เมื่อหลินจือเซี๋ยวได้ยินเขาสั่งอาหารเยอะแบบนั้นก็มองดูเขาที่มาคนเดียว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นและก้มหน้าลงอย่างอ่อนแรง
ทำไมเขายังไม่มาอีกกัน ไม่ใช่บอกว่าเขาเพอร์เฟกต์อย่างนั้นเหรอ? เพอร์เฟกต์แล้วทำไมถึงได้มาสายแบบนี้?
เธอเงยหน้าขึ้น ฉีเซิงเทียนนั่งอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ ทั่วทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารมื้อใหญ่ เล่นซะเธอหิวไม่ใช่น้อย!
“คุณผู้หญิง ตอนนี้อยากจะสั่งอาหารแล้วหรือยังครับ?” บริกรที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งเดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ
“สั่ง……เหรอ?” คนที่เธอรออยู่ยังไม่มาสักทีนี่สิ!
หรือว่าเธอควรสั่งอาหารก่อน พอหลังจากที่คนนั้นมาถึงจะได้กินได้ทันทีเลย?
ความคิดเยี่ยมไปเลย!
ตาเธอเป็นประกายขึ้นมา “สั่งอาหารค่ะ!”
ทันทีที่ฉีเซิงเทียนได้ยินเสียงเธอก็หันหน้าไปมองอย่างช้า ๆ “หิวแล้วก็แวะมากินสิ หลังจากที่เขามาแล้วพวกเรามานั่งกินด้วยกัน ฉันจะคอยเป็นก้างขวางคอเธออย่างเงียบ ๆ เอง เธอดูสิสั่งอาหารมาเยอะแบบนี้จะกินยังไงหมด เสียดายของแย่!”
เขาสะกดคำว่าเสียดายของเป็นด้วยเหรอ? แน่นอนว่าเขาใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด
บริกรที่ยืนอยู่ตรงกลางค่อย ๆ มองดูพวกเขา
“ยังไม่มาอีก!” ฉีเซิงเทียนเหลือบมองไปที่เธอ ถ้าเธอจะรอให้เซี่ยมู่มาก็คงมีแต่ผีเท่านั้นแหละที่จะมาได้
แต่ความจริงผู้ชายที่นัดบอดของเธอนั้นคือเซว์มู่ต่างหาก
“ขอโทษนะคะ! ฉันขอย้ายไปโต๊ะนั้น” เธอหยิบกระเป๋าขึ้น ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับฉีเซิงเทียน ทางด้านบริกรก็ได้ย้ายชามและตะเกียบของเธอมาฝั่งนี้ทันที
“ผู้จัดการฉี ดูเหมือนคุณจะมาดูฉันนัดบอดสินะ?”
“ผมมาดูต่างหากว่าใครกันที่โชคร้ายมานัดบอดกับคุณ” เขาพูดไปอย่างไม่ใส่ใจ
หลินจือเซี๋ยวได้แต่กลั้นลมหายใจ แม้คิดอยากจะฉีกปากสว่าง ๆ ของฉีเซิงเทียนทิ้งก็ตาม
แต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจและหยิบตะเกียบขึ้นมา เปลี่ยนอารมณ์จากโกรธเป็นหิว ก่อนจะเริ่มลงมือกินข้าวทันที
ทันทีที่เธอกินอิ่ม ผู้ชายที่เพอร์เฟกต์คนนั้นก็ยังไม่มา
จากนั้นเธอก็รู้สึกอึดอัดและกังวลขึ้นมาเล็กน้อย การนัดบอดครั้งแรกก็ถูกเทซะแล้ว การนัดบอดหลังจากนี้คงไม่ราบรื่นแน่ ๆ
เธอเงยหน้าของเธอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หันหน้าไปมองคนที่อยู่ตรงข้ามอย่างฉีเซิงเทียน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไมเขาถึงยังไม่มาอีกนะ?”
เมื่อถามเขาไปก็ไม่ได้คำตอบใด ๆ กลับมา แต่ตอนนี้กลับมีแต่ความรู้สึกหดหู่
ฉีเซิงเทียนมองไปที่ดวงตาที่คล้ายกับสายน้ำเป็นประกาย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องไม่ดีลงไปซะแล้ว
ดูท่าทางแล้วเหมือนเธอจะเจ็บปวดไม่ใช่น้อย!