เมื่อฟ้าสาง สาวใช้ตระกูลจางมองไปที่ประตูครั้งแล้วครั้งเล่า
“ปั้นฉิน เจ้ารออะไรอยู่กันแน่” บ่าวเฝ้าประตูเอ่ยถามอย่างสงสัย
“รอคน” สาวใช้เอ่ย ท่าทางดูประหม่าร้อนรนและตื่นเต้น
“ยังหนาวอยู่ ท่านพี่กลับไปก่อน ข้าจะบอกท่านพี่หากมีคนมา” บ่าวเฝ้าประตูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สาวใช้ยิ้มเจื่อนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
“พี่ปั้นฉิน”
เสียงเรียกแสนเป็นมิตรดังมาจากด้านหลัง
เมื่อสาวใช้หันหลังกลับไป สาวใช้สองคนก็เข้ามาพร้อมรอยยิ้มและจับแขนนางไว้
“พี่สาวแสนดี พี่อยู่ที่นี่นี่เอง พวกเราหาตั้งนานกว่าจะเจอ” พวกนางเอ่ยพลางหัวเราะ
นี่คือสองสาวใช้ข้างกายของฮูหยินจาง สาวใช้ยิ้มและโค้งคำนับ
“ไม่ทราบว่าท่านว่างไหม” พวกนางถาม
สาวใช้คนนี้เป็นแม่ครัวของนายใหญ่ แต่ไม่ใช่แม่ครัวของตระกูลจาง ไม่มีใครสามารถเรียกใช้นางได้ นอกจากนายใหญ่
“จะทำอะไรหรือ” นางพูดด้วยรอยยิ้มบาง
นี่เป็นการปฏิเสธทางอ้อมแล้ว สาวใช้ทั้งสองไม่ได้ขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มอย่างเป็นมิตรมากขึ้นพร้อมกับอ้อนวอน
“พี่สาวแสนดี น้ำแกงที่นายใหญ่กินและฮูหยินชอบมาก ไม่ทราบว่าท่านพี่จะทำอีกชามได้ไหม” พวกนางกล่าว
สาวใช้หันกลับไปมองที่ประตูอย่างอดไม่ได้
“พี่จะทำอะไร สั่งให้พวกเราไปทำก็พอ” สาวใช้ทั้งสองพูดขึ้นทันที
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง เอาเช่นนี้แล้วกัน” สาวใช้คิดสักพัก “อีกเดี๋ยวข้าจะทำขนมให้นายใหญ่ แล้วก็ต้มน้ำแกงให้ฮูหยิน”
สาวใช้ทั้งสองดีใจ เอ่ยขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
“ขอบคุณท่านพี่ หากพวกเราช่วยอะไรได้ ขอแค่สั่งพวกเรามาก็พอ” พวกนางเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง
สาวใช้ยิ้มพลางเม้มริมฝีปาก
“ข้ายังมีขนมที่ยังทำไม่เสร็จดีอีกสองสามจาน นายใหญ่ไม่ชอบ ถ้าทิ้งก็น่าเสียดาย พวกเจ้าช่วยกินให้หน่อยได้ไหม” นางถามด้วยรอยยิ้ม
นางไม่ใช่สาวใช้ธรรมดาที่ไม่มีใครเหลียวแลเฉกเช่นเมื่อครั้งอยู่บ้านตระกูลเฉิงอีกต่อไป ทุกคนฟังเมื่อนางพูดและทุกคนก็หัวเราะเมื่อนางพูดเรื่องตลก ความคล่องแคล่วของเหล่าสาวใช้ตำแหน่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้นางอิจฉาเมื่อคราวที่อยู่ในบ้าน แต่กลับกลายเป็นความผ่อนคลายและสบายใจ
สาวใช้ทั้งสองหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ใช่ว่าทำไม่ดี แต่ที่นายใหญ่ไม่ชอบ เพราะนายใหญ่เลือกกิน แต่ทว่าไม่ใช่เพราะสาวใช้ผู้นี้ทำไม่อร่อย มีคนรอต่อแถวกินอาหารที่ทำโดยแม่ครัวของนายใหญ่กันเป็นพรวน
“พี่ปั้นฉิน ข้ามีผ้าไหมอย่างดีอยู่สองสามผืน ให้ทำกระโปรงให้พี่ดีไหม”
“พี่ปั้นฉิน ได้ยินมาว่าท่านต้องการเอาของกลับบ้าน พี่ชายข้าก็กำลังจะกลับไปทางใต้พอดี ฝากไปกับเขาเถิด”
สาวใช้ทั้งสองจับมือของหญิงสาวและเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้เฉิงเจียวเหนียงกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว โดยมีสาวใช้มัดผมให้ด้วยเอาหวีเล็กสีเงิน
“เสร็จแล้ว งามแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้มองอยู่ครู่หนึ่ง หยีตายิ้มก่อนจะเอ่ย “ปั้นฉินเห็นแล้ว จะได้ไม่บ่นว่าข้าดูแลนายหญิงไม่ดีอีก”
เฉิงเจียวเหนียงหัวไปมองนาง
“เจ้าชื่ออะไร” นางถาม
สาวใช้ผงะ อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป
“ข้าชื่อปั้นฉินเจ้าค่ะ” นางพูดพร้อมเบิกตาโต สีหน้าไม่เข้าใจ “นายหญิงจำข้าไม่ได้”
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไร มองไปยังนางก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
สาวใช้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย พลางลูบหน้าอกตัวเอง เพียงแต่รู้สึกว่าหัวใจยังคงเต้นแรงอยู่
“พูดออกไปจะมีคนเชื่อไหม ถูกนายหญิงถามว่าชื่ออะไร ตกใจกลัวจนเหงื่อแตกไปหมด” นางพูดกับตัวเอง
พูดจบก็รู้สึกตกใจอีกครั้ง
เหตุใดถึงรู้สึกกลัว เหตุใดถึงรู้สึกสั่นกลัวเช่นนั้นเมื่อนายหญิงถามคำถามนี้
มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น…อย่างนั้นหรือ
เมื่อเห็นเฉิงเจียวเหนียงก้าวออกจากประตูไป สาวใช้ก็ไม่อยากเดินออกไปแล้ว ราวกับว่าจะกลับมาไม่ได้อีกหากก้าวออกไป
เป็นครั้งแรกที่นางไม่ได้เดินนำหน้าหรือตามหลังนายหญิง นางมองหญิงสาวที่แม้ว่าจะเดินช้า แต่ก็ไม่หยุดเดินเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง นางกำลังจะเดินหายไปจากสายตา
สาวใช้ดึงสติกลับมาและรีบก้าวเท้าให้ทัน
นอกประตูบานที่สอง รถม้าถูกเตรียมพร้อมแล้ว ขณะกำลังจะขึ้นรถท่านชายโจวหกก็เดินเข้ามา พร้อมกับธนูยาวสามฉื่อ ในมือ เม็ดเหงื่อบนหน้าผากยังไม่จางหาย
“ออกไปข้างนอกเวลานี้หรือ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
สาวใช้มองเขาแล้วหัวเราะคิกคัก
“ท่านชายหก จะไปส่งพวกเราหรือไม่” นางเอ่ยถาม
ท่านชายโจวหกมองไปยังเฉิงเจียวเหนียง
หญิงสาวไม่ได้หันมามอง ราวกับนางไม่รู้ว่ามีคนมา
“พวกเจ้าจะไปไหนกันอีก” เขากัดฟันถาม
เฉิงเจียวเหนียงหันหน้าไปมองเขา
“ไปกินข้าว” นางเอ่ย
กินข้าว!
ครั้งไหนที่คิดไปเองว่าอยากจะเอาใจนาง ชวนนางไปกินข้าว ผลสุดท้ายกลายเป็นเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน
คราวนี้นางพูดเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังเหน็บแนมเรื่องในอดีต
ท่านชายโจวหกกัดฟันและมองไปที่นาง เขาพาดธนูขึ้นบนไหล่ แล้วเดินฉับๆ ผ่านนางไป
ตอนเที่ยงเป็นเวลาที่ฮูหยินโจวจะเข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว คนรับใช้อยู่ในเรือนมากมาย
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากประตู สาวใช้ข้างนอกจึงเปิดประตู คนรับใช้สองสามคนก็พากันวิ่งออกไป
“เรียกพ่อค้าคนกลางออกมาเถิด” หัวหน้าคนรับใช้เอ่ย
ปั้นฉินผู้คุกเข่าอยู่ในเรือนเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว
ทำไม เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร เหตุใดถึงจะขายนาง
“แม่นม แม่นม” สีหน้านางดูตื่นตระหนก พลางคุกเข่าลงตรงหน้า “ข้าผิดไปแล้ว ตีข้า ด่าข้า ลงโทษข้า อย่าขับไล่ข้าเลย ”
หัวหน้าคนใช้แสดงสีหน้าร้อนรน
เมื่อคนอื่นเห็นนางโบกมือ คนรับใช้สองคนก็เดินมาจับปั้นฉินลุกขึ้นไป
“ฮูหยิน ฮูหยิน ข้าผิดไปแล้ว ท่านทุบตี ด่าว่า ลงโทษข้าได้ แต่อย่าขายข้าเลย อย่าขับไล่ข้าไป ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ” ปั้นฉินต่อสู้ดิ้นรน ผลักคนใช้ทั้งสองออกแล้ววิ่งไปที่ห้อง
“เป็นอะไรกัน ฮูหยินป่วยอยู่นะ” หญิงชราที่อยู่ตรงทางเดิน โกรธจนตะโกนออกมา “เรื่องเล็กน้อย ยังจะมาทำให้ตกอกตกใจอีก!”
สาวใช้ในเรือนกำลังลุกลี้ลุกลน รีบจับปั้นฉินไว้ จากนั้นปิดปากของนางแล้วลากออกมา
ข้าไม่ไป ข้าไม่อยากไป!
ปั้นฉินพยายามมองไปที่ประตูที่อยู่ห่างออกไปทุกที ยื่นมือออกไปแต่ก็ไร้ประโยชน์ ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวด้วยน้ำตา
ในเวลานี้ที่หน้าบ้านของตระกูลจาง สาวใช้นางหนึ่งกำลังเคาะประตู
“ซู่ซิน! ” บ่าวเฝ้าประตูเปิดประตูก่อนจะร้องตะโกน แต่เห็นว่าสาวใช้ตกใจและโบกมือไปมาทันที
“ท่านลุงเหล่าไฉ ตอนนี้ข้าไม่ได้ชื่อซู่ซินแล้ว ท่านอย่าตะโกนสิ” นางรีบพูดสียงแผ่วเบา หันไปมองด้วยความหวาดกลัวราวกับจะมีอะไรเกิดขึ้น
รถม้าหยุดลงอย่างเงียบเชียบ
ชื่อของสาวใช้ถูกกำหนดโดยครอบครัวของเจ้านาย ความชอบของเจ้านายแต่ละคนแตกต่างกัน การเปลี่ยนชื่อจึงเป็นเรื่องธรรมดา
บ่าวเฝ้าประตูรีบพยักหน้า
“แล้วตอนนี้เจ้าชื่ออะไร” เขาถาม
“ปั้นฉิน” สาวใช้เอ่ย
“ปั้นฉินหรือ” บ่าวเฝ้าประตูตะลึง “เจ้ามาหาปั้นฉินหรือ หรือว่าเจ้าชื่อว่าปั้นฉิน โอ้”
เขาตะลึงอีกครั้ง
“ใช่ ใช่ นายใหญ่เป็นคนเปลี่ยนพวกเจ้ามาแทนที่นี่เอง เดิมทีปั้นฉินเป็นเจ้านายของตระกูลเจ้า ใช่แล้ว ใช่แล้ว เร็วเข้า เร็วเข้า” เขารีบพูดและเรียกบ่าวที่อยู่ข้างหลังเขา “พี่ปั้นฉินรอมาทั้งบ่ายแล้ว รีบไปบอกนางว่ามีคนมาแล้ว”
บ่าวขานตอบแล้ววิ่งออกไป
สาวใช้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อรู้ว่าไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่อธิบาย
“ท่านลุงเหล่าไฉ ท่านไปแจ้งนายใหญ่ที บอกว่านายหญิงมาที่นี่แล้ว” นางพูดพลางหันหลังเดินไปที่รถ
แจ้งไปตรงๆ ยังไม่ได้บอกด้วยว่านายใหญ่จะเจอหรือไม่เจอ เหตุใดถึงมั่นใจเช่นนี้
บ่าวเฝ้าประตูส่ายหัว สั่งให้คนไปบอกตามที่พูดไว้แล้ว ดังคาดสาวใช้ของตระกูลนี้กำลังพยุงหญิงผู้สวมเสื้อคลุมและหมวกลงรถ พร้อมคนเดินตามออกมาจากด้านในอีกเป็นพรวน
หญิงสาวรีบวิ่งจนมาถึงประตู แต่ฝีเท้าของนางกลับหยุดลง ส่วนน้ำตานั้นไหลพรากออกมาตั้งนานแล้ว
“แม่นางเฉิง นายใหญ่เชิญเข้าค่ะ”
สาวใช้ที่รับผิดชอบดูแลต้อนรับของนายใหญ่ ทักทายด้วยความเคารพและรอยยิ้ม
สาวใช้ยืนอยู่ข้างหลังพวกนาง ดูบ่าวพยุงหญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้าประตูไป แม้ว่าเสื้อคลุมจะคลุมเกือบทั้งตัว จนมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม แต่สาวใช้ก็แทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ
นางจำได้ว่าเห็นนายหญิงเป็นครั้งแรก คือตอนที่นั่งอยู่บนแคร่ สีหน้านิ่งเรียบ จำได้ว่านางโทษตัวเองที่โง่เขลา และนายหญิงคนนั้นก็ปลอบใจมาคำหนึ่ง จำได้ว่านางบอกว่ายอมที่จะผิดช้า แต่ขอให้ร่วมเดินทางไปวัดเต๋าด้วยกันอย่างปลอดภัย
“คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง จะสมหวังทุกอย่าง ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
นายหญิงผู้นั้นพูดเช่นนั้น
ปรากฎว่าประโยคนี้ไม่ใช่แค่การพูดคุยแบบเล่นๆ แต่กลับกลายเป็นว่านายหญิงผู้นั้นทำตามที่นางพูดจริงๆ
นายหญิงให้งานฝีมือที่ดีไม่แพ้ใคร ให้อาหารและเครื่องดื่ม ให้ชื่อเสียง ให้สถานะและให้ทุกสิ่งในชีวิตของนาง
ในชีวิตของคนเรา อะไรก็เป็นไปดั่งใจหวัง ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว
“นายหญิง” ในที่สุดนางก็เอ่ยร้องออกมา แล้วรีบวิ่งพลางก้มหน้า ก่อนจะร้องไห้โฮกับพื้น
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่หน้าประตูตกใจ
จวนของตระกูลจางนั้นเล็กกระทัดรัด เสียงร้องไห้ดังทะลุกำแพงไปยังห้องหนังสือของจางฉุน
“เป็นอะไรไปหรือ” ท่านอาจารย์จางผู้กำลังศึกษาพระคัมภีร์อยู่ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
ในบ้านมีสาวใช้ไม่มากนัก พวกนางฝึกความอดทนอดกลั้นและความเมตตากรุณา อย่าว่าแต่ร้องไห้เลย แทบไม่มีการทะเลาะกันในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ
เขากำลังจะใช้ให้คนไปถาม ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องอีกแล้ว
จางฉุนส่ายหัว ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
………………………………………………………………….