ภายในห้องโถงของนายใหญ่ตระกูลจาง เฉิงเจียวเหนียวถอดหมวกและผ้าคลุมออกก่อนจะนั่งคุกเข่าลง
“ไม่พบกันนาน สบายดีไหม” นางคำนับแล้วเอ่ยถามขึ้น
นายใหญ่ตระกูลจางที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเผยยิ้มบางก่อนจะคำนับกลับ
“แม่นางล่ะ สบายดีไหม” เขาเอ่ยพลางยิ้ม
ทั้งสองนั่งนิ่ง สาวใช้ตระกูลจางยกน้ำชาเดินเข้ามาจากนอกประตู
“นายหญิงของข้าดื่มน้ำเปล่า”
เหล่าสาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่สองฝั่งซ้ายขวาของประตูเริ่มส่งเสียงพูดคุยกัน
นายใหญ่ตระกูลจางหัวเราะออกมาเช่นกัน
ขณะเดียวกันที่บ้านตระกูลโจว ท่านชายโจวหกชูคันธนูในมือแล้วโบกไปมาให้ท่านชายฉินที่กำลังนั่งรออยู่ได้เห็น
“ใช่ คันนั้นแหละ” ท่านชายฉินเอ่ย
ท่านชายโจวหกโยนคันธนูออกไป สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างแทบหยุดหายใจ
ท่านชายฉินร่างกายไม่สมบูรณ์ไม่ใช่หรือ คันธนูหนักเช่นนั้นเขาจะถือไหวหรือ
ท่านชายโจวหกเป็นเพื่อนกับท่านชายฉินมานาน จนแทบจะลืมไปแล้วว่าเขานั้นร่างกายพิการ
ท่านชายฉินยื่นมือออกมารับธนูไว้ ทว่าร่างกายช่วงล่างกลับเซจนเกือบล้ม นั่นเป็นเพราะเท้าและขาของเขานั้นเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่วนัก มองดูแล้วแสนทุลักทุเล
แต่ชายหนุ่มกลับไม่แสดงความขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย แถมยังหัวเราะชอบใจยกใหญ่ ก่อนจะยกคันธนูขึ้นแล้วใช้มือออกแรงง้าง
ทว่าสายธนูกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ท่านชายฉินกัดฟันออกแรงดึง ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทั้งยังแฝงไปด้วยความแข็งกร้าว จนในที่สุดก็สามารถง้างสายธนูได้
“ไม่เลว ไม่เลว หนักหนึ่งตั้นสามโต่ว ดีกว่าพวกธนูล่าสัตว์ที่หนักแค่ห้าหกโต่ว” เขาเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ คราวนี้ลองใช้เจ้านี่ยิงต้นหลิวเล่นก็แล้วกัน”
ท่านชายโจวหกนั่งนิ่งไม่ขยับ
“เป็นอะไรไป” ท่านชายฉินถาม “คิดถึงน้องสาวเจ้าอีกแล้วหรือ”
ท่านชายโจวหกเบิกตาโพลงใส่เขา
ท่านชายฉินหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะควงคันธนูในมือไปมา
“รู้ตัวว่าผิดก็แก้ไข ถือว่าเป็นเรื่องดี หากรู้ว่าผิดแต่ไม่แก้ไข เช่นนั้นแล้วคงให้อภัยมิได้” เขาเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้ว่าข้าผิด” ท่านชายโจวหกใบหน้าบึ้งตึงเอ่ยขึ้น
ท่านชายฉินนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยอมรับผิดเองเช่นนี้
“ข้าเองก็ผิดเช่นกัน ข้าเอาแต่คิดไปเอง นึกถึงยามที่กลับจากปิ้งโจวมายังเจียงโจว ช่างอัศจรรย์นัก
ใครจะไปรู้ว่าโรคสติไม่ประกอบจะรักษาหายได้ หากตอนนั้นข้าเตือนเจ้าก็คง…” เขายิ้มเอ่ยพลางส่ายหัวไปมา
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” ท่านชายโจวหกตัดบทก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเทพเซียนหรืออย่างไร เรื่องใดก็คิดแก้ปัญหาได้อย่างนั้นหรือ อีกอย่างเรื่องนี้มิใช่เรื่องที่เจ้าคิดไปเอง ใครจะไปคิดว่าคนบ้าจะ…”
คนบ้าจะรักษาหายได้ แถมยังกลายเป็นคนฉลาดอีกต่างหาก
ใครจะไปเชื่อ ใครจะไปเชื่อกัน
คงไม่มีผู้ใดเชื่ออย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดข่าวลือที่ว่านางได้พบเทพเซียนถึงได้แพร่ไปทั่วเช่นนี้
ท่านชายฉินหัวเราะยกใหญ่แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้น
“เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้ายอมรับผิดเป็น หากไม่ยอมรับ ข้าคงทรมานใจ ข้าน่ะรู้จักตัวเองดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
ท่านชายโจวหกไม่พูดอะไรแต่กลับยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมด
“เจ้าผิดที่ไม่เข้าใจนาง” ท่านชายฉินเอ่ยขึ้น
หากเขาเข้าใจนาง ท่านชายโจวหกคงไปหาน้องสาวลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ หากได้พูดคุยกันสักสองคำเขาคงได้รู้ว่าตนและน้องสาวนั้นแตกต่างกัน และคงไม่เกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดดั่งเช่นทุกวันนี้
“เรื่องนั้นข้ายอมรับ แต่ว่า…หากย้อนเวลาได้ ข้าก็คงทำเช่นเดิมอยู่ดี” เขาเอ่ยหน้าบูดบึ้ง
เจ้าเด็กบ้านั่นคือจุดด่างพร้อยที่ตระกูลโจวไม่ต้องการ อยากจะฆ่าให้ตายไปเสีย เจ้าเด็กบ้านนั่นทำให้ชื่อเสียงของตระกูลโจวต้องป่นปี้ เป็นภาระที่ท่านแม่และเหล่าท่านป้าต้องแบกรับไปชั่วชีวิต เขาไม่อยากจะเห็นใบหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย
ท่านชายฉินพยักหน้า
“ใช่แล้ว นั่นคือความจริง คือสิ่งที่ทำให้พวกเจ้าขัดแย้งกันจนไม่มีทางแก้ไข” เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นบีบนวดลำคอของตนเอง
ท่านชายโจวหกวางถ้วยน้ำชาในมือแล้วหันไปทางท่านชายฉิน
“ชายสิบสาม” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าช่วยข้าแล้วสองครั้ง ครั้งแรกหากไม่ได้เจ้าเตือนไว้ พวกเราคงไม่สามารถพานางกลับมาเมืองหลวงได้”
ท่านชายฉินส่ายหน้าพลางหัวเราะ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่เพราะข้าช่วยไว้หรอก” เขาพูดขึ้นแล้วค่อยๆ จิบชา “นางบังเอิญอยากมาเองก็เท่านั้น ข้าก็แค่อำนวยความสะดวกให้นาง”
พูดจบก็หันไปมองท่านชายโจวหก
“หากพูดเช่นนี้เจ้าคงรู้สึกพ่ายแพ้ยิ่งกว่าเดิมใช่ไหม” เขาถามพลางหัวเราะ
ท่านชายโจวหกนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“ชายสิบสาม” เขาเงยหน้ามองท่านชายฉินอีกครั้งแล้วพูดขึ้นว่า “ครั้งที่สอง เจ้าแสร้งพูดจาให้นางน้อยเนื้อต่ำใจ เจ้าพูดเช่นนั้นแทนข้า”
ท่านชายฉินมองเขาแล้วหัวเราะ
“ชายสิบสาม” ท่านชายโจวหกสูดหายใจลึกแล้วเอ่ย “เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี จะได้จบเรื่องนี้กับนางอย่างเด็ดขาดเสียที”
“เรื่องนั้น” ท่านชายฉินมองมาที่เขาด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนั้น เจ้าไม่ควรถามข้า เจ้าควรถามตัวเองมากกว่า”
ท่านชายโจวหกพ่นลมหายใจออกมาแล้วมองออกไปนอกประตู
“ข้าจะเอาอย่างไรอย่างนั้นหรือ” เขาพูดขึ้นก่อนจะกัดฟันอย่างอดไม่ได้ “ต้องถามนางต่างหากว่าจะเอายังไง!”
ประตูห้องถูกเปิดออก ร่างของปั้นฉินถูกผลักเข้าไปข้างใน
“เก็บของของเจ้าเสีย” หญิงสาวนางหนึ่งพูดขึ้น “พบกันด้วยดี จากกันด้วยดี ไปอยู่บ้านอื่นก็ทำตัวดีๆ เรื่องที่แล้วก็ไปแล้ว อย่าได้เก็บมาคิดอีก แค่นี้ก็ถือว่าเห็นแก่เจ้ามากแล้ว”
สติของปั้นฉินเลือนลางเพราะถูกผลักแรงพอสมควร นางนั่งคุกเข่าค้ำเตียงนอนพยุงร่างลุกขึ้น
“เรียกพ่อค้าจากถนนตะวันออกมาแล้ว”
“ที่เรือนขาดคน แม่นมเจียงให้ซื้อมาเพิ่ม”
“ตอนนั้นข้าก็บอกแล้วว่าอย่าส่งนางไปที่ห้องซักล้าง แต่พวกเจ้านายก็ไม่ฟัง ส่งคนไปเรื่อย พวกสาวใช้ที่ติดตามท่านชายท่านหญิงถูกตามใจจนเคยตัว ทำอะไรก็ไม่เป็น…”
“น่าจะขายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น…”
เหล่าหญิงสาวที่อยู่หน้าประตูคุยเล่นกัน
ปั้นฉินนั่งเหม่อลอยคุกเข่าอยู่ที่พื้นแล้วมองไปรอบๆ
“นี่ เจ้าน่ะ รีบเก็บของสิ” หญิงสาวนางหนึ่งเร่งเร้า
ปั้นฉินได้สติกลับมาแล้วคลานเข่าไปข้างหน้า
“ท่านป้าทั้งหลาย ท่านป้าทั้งหลาย ขอร้องพวกท่านล่ะ ข้า…ข้าอยากไปพบ พบ…” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“พบผู้ใดกัน” หญิงสาวขมวดคิ้วถาม ก่อนจะหัวเราะแล้วส่ายหน้าไปมา “ข้าว่าเจ้ารีบตัดใจเสียจะดีกว่า รีบไปจากที่นี่โดยดี อย่าได้นึกถึงเรื่องราวที่นี่ อย่าได้คิดถึงท่านชายหกเลย ผู้ชายบ้านนี้ไม่สนใจเรื่องหลังบ้านหรอก เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ขอพบท่านชายหก เจ้าคิดว่าหากท่านชายโจวหกออกปาก ฮูหยินจะยอมให้เจ้าอยู่ต่ออย่างนั้นหรือ ข้ากลัวว่าเจ้าจะถูกขายให้พ่อค้าเร็วกว่าเดิมต่างหาก”
ปั้นฉินส่ายหัว
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้อยากพบท่านชายโจวหก ข้า ข้า ข้าอยากพบ…” คำพูดติดอยู่ที่ปากแต่กลับไม่กล้าเอ่ยออกมา
พบนายหญิงอย่างนั้นหรือ ยังจะมีหน้าไปพบอีกหรือ พอวันนี้ตกทุกข์ได้ยาก กลับคิดถึงนางอย่างนั้นหรือ
ปั้นฉินยกมือป้องปากสะอึกสะอื้น
ช่างเถิด ช่างเถิด
“ท่านป้าทั้งหลาย ข้า ข้า ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำอาบท่าก่อน” นางเอ่ยพลางแหงนหน้าขึ้นพร้อมน้ำตานอง “ท่านดูสภาพข้าสิ ดูไม่ได้เลย ประเดี๋ยวคนมาเห็นคงจะดูไม่ดี”
เหล่าหญิงสาวมองนางหัวจรดเท้าแล้วพยักหน้า
“ได้ ถูกของเจ้า” คนหนึ่งพูดขึ้น “เร็วเข้าแล้วกัน”
ประตูถูกปิดลง ปั้นฉินทรุดลงกับพื้นแล้วมองไปรอบๆ
ตอนนี้นายหญิงสุขสบายดี สาวใช้ข้างกายนางก็พลอยสบายไปด้วย ได้ข่าวมาว่าทั้งนายใหญ่และ
ฮูหยินตระกูลโจวไม่กล้าแม้แต่จะละเลยนาง เอาเป็นว่านายหญิงสุขสบายดี
นางไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว จะว่าไปนางมีสิทธิ์อะไรไปห่วงนายหญิง
แต่ว่าจะไม่มีโอกาสพบหน้าอีกสักครั้งเลยหรือ…
ได้พบหน้าแล้วอย่างไรเล่า นายหญิงคงลืมนางไปตั้งนานแล้ว
เป็นเช่นนี้ย่อมดีกว่า
นางตั้งท่าคุกเข่าแล้วหันหน้าไปทางเรือนของเฉิงเจียวเหนียง ก่อนจะโขกหัวคำนับลงกับพื้นสามครั้ง
ท่านชายฉินนั่งอยู่บนสะพาน ก่อนจะง้างธนูอีกครั้งหนึ่ง
“ข้าว่าฝึกอีกสักครึ่งปีก็คงยิงได้ถนัดแล้วล่ะ” เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
ท่านชายโจวหกที่อยู่ด้านหน้าเดินก้าวเข้ามา ในมือของเขาก็มีธนูเช่นกัน
“ชายหก ข้าไม่ได้พูดจาเอาใจเจ้านะ แต่ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรทำและทำได้ก็คืออย่าได้หาเรื่องนางอีก
อยู่ให้ห่างนางเข้าไว้ นางอยากทำอะไรก็ตามใจนาง ให้อิสระนาง ยังจะดีเสียกว่าให้เจ้าไปยอมรับผิดกับนาง” ท่านชายฉินเอ่ยพลางหัวเราะ “อันที่จริงเรื่องมากมายระหว่างเจ้ากับนาง ส่วนใหญ่เจ้าเป็นคนหาเรื่องทั้งนั้น”
“แต่ครั้งนี้นางตั้งใจหาเรื่อง!” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
“คนเราคบหากันต้องจริงใจ” ท่านชายฉินพูดขึ้นพลางใช้ธนูในมือสะกิดท่านชายโจวหก “เจ้าถามใจเจ้าดูเสียก่อนว่าจริงใจหรือไม่ อย่าเพิ่งถามใจนางเลย”
ท่านชายโจวหกหันหลังกลับไม่ทันได้พูดอะไร แต่ก็กลับได้ยินเสียงโหวกเหวกของเหล่าแม่นมและ
สาวใช้วิ่งวุ่นไปมา
“ใครก็ได้ช่วยที มีคนแขวนคอตาย”
……………………………………………………