“มีสาวใช้ตายอย่างนั้นรึ”

นายใหญ่โจวตกใจเมื่อได้รับรายงานข่าว

ฮูหยินโจวที่ไอโขลกไม่หยุดราวกับจะขาดใจตายกลับเงียบลงในทันใด ไม่ต้องรอให้เหล่าแม่นมหรือ

สาวใช้มาพยุง นางก็ลุกขึ้นเดินออกไปเองเสียแล้ว

มีสาวใช้ตายได้อย่างไรกัน!

ไม่ใช่แค่คนแห่กันหามคนตายเข้ามาในเรือน แต่ในเรือนของตัวเองก็มีคนตายเช่นกัน!

“เกิดอะไรขึ้น” นางถาม “ตายได้อย่างไรกัน ก็เห็นดีๆ อยู่ เหตุใดถึงตายได้”

ทาสรับใช้คือสิ่งของ สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ทาสรับใช้ก็คือมนุษย์เช่นกัน เจ็บป่วยล้มตายได้ตามธรรมชาติ แต่ใช่ว่าเจ้านายจะสั่งให้ตายได้ตามใจชอบ หากเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา ทางการย่อมสอบสวนเอาได้ ถึงแม้จะไม่ได้สอบสวนจริงจังอะไร แต่ก็คงวุ่นวายไม่น้อย

ตอนนั้นเหมาเหวินไฉเป็นถึงซานซือจี้เซียง แต่สั่งโบยสาวใช้คนหนึ่งจนตาย ถูกผู้ตรวจการฟ้องจนติดคุกไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน หมดอนาคตกันเลยทีเดียว

เหตุใดจู่ๆ ถึงเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายเช่นนี้ เดิมที่พวกนางก็อยู่กันอย่างสุขสบายมิใช่หรือ!

แต่หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าประตูเรือนมา…

ภายในใจของฮูหยินโจวขุ่นมัวเกินทน แต่ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้

“รีบบอกมา เกิดอะไรขึ้น” นางร้องตะโกนใส่เหล่าแม่นมที่กำลังวิ่งวุ่น

“ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ ไปเจอตอนกำลังจะแขวนคอพอดี ยังไม่ตายเจ้าค่ะ ยังไม่ตาย” แม่นมรีบตอบ

นายใหญ่และฮูหยินตระกูลโจวโล่งอก ยังไม่ตายก็ดี แต่ก็อารมณ์เสียไม่น้อย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ฮูหยินโจวถาม

“คือว่า… คือสาวใช้ห้องซักล้างที่ทำชุดของฮูหยินพังนางนั้น เดิมทีว่าจะขายออกไปแล้ว แต่นางกลับคิดสั้น ฉวยโอกาสตอนในห้องไม่มีคนอยู่แขวนคอบนคาน แต่โชคดีที่มีคนด้านนอกผ่านมาเห็นเลยช่วยได้ทันเวลา… ” แม่นมเล่า

ฮูหยินโจวได้ยินก็ยิ่งโมโห

“สาวใช้นางนี้ แค่ทำงานพลาดก็ผิดมากพอแล้ว ยังจะมาตายให้เป็นภาระข้าอีกหรือ!” นางร้องตะโกน

“นางอยากตายก็ปล่อยให้นางตาย ไม่ตายก็โยนทิ้งออกไป นี่มันเรื่องอะไรกัน!” นายใหญ่โจวเอ่ยขึ้นก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ใยดี

เหล่าบ่าวไพร่สาวใช้แม่นมต่างมารวมตัวกันที่เรือนคนใช้ เสียงพูดคุยดังจอแจ พากันชี้และมองไปที่เรือนหลังหนึ่ง

ไม่นานร่างของสาวใช้นางหนึ่งก็ถูกหามออกมา

“ก่อเรื่องเก่งดีนัก กล้าข้าตัวตายเลยหรือ”

“คงอยากนอนขี้เกียจไม่ลุกไปไหน แต่ว่าไม่สำเร็จ ถูกนายท่านไล่ออกไปแล้ว…”

เหล่าแม่นมและสาวใช้กำลังซุบซิบนินทากันอย่างออกรส จนกระทั่งเหล่าสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังกรีดร้องออกมา ทุกคนที่หันไปมองต่างก็สะดุ้งไปตามๆ กัน

“ท่านชายหก!”

ทุกคนรีบร้อนคำนับแล้วหลีกทางให้

เหล่าบ่าวชายหนุ่มที่กำลังจะเคลื่อนแท่นไม้ก็หยุดชะงักลงทันที

ท่านชายโจวหกก้าวเข้าไปใกล้

“ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” ท่านชายโจวหกถาม

“ยังอยู่ขอรับ ยังอยู่ขอรับ” พ่อบ้านตอบ

เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าแท่นไม้ ชะเง้อมองดูสาวใช้ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเผือด ตาทั้งสองหลับลง

ไม่ได้สติ

เหตุใดเขาถึงนึกไม่ออกเลยว่าครั้งแรกที่พบหน้านางเป็นอย่างไร

เป็นเช่นนี้หรือ เป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ

สาวใช้อับโชคผู้นี้ สำหรับตระกูลโจวของเขาแล้วคงไม่มีใครอยากแลตามอง แต่เขากลับพานางมาจากเจียงโจว

นี่เขาตาบอดหรือไร

“ฆ่าตัวตายอย่างนั้นรึ” เขามองสาวใช้ที่นอนอยู่บนแท่นไม้ ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า “ไร้ค่า!”

เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ

“ไร้ค่า!”

“ไร้ค่า!”

เหล่าสาวใช้กรูเข้ามาแล้วยกโต๊ะที่วางอยู่ด้านหน้าของเฉิงเจียวเหนียงออก อาหารในถ้วยจานชามที่วางอยู่ด้านบนถูกกินจนหมดเกลี้ยง

“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้ยื่นแก้วน้ำให้

เฉิงเจียวเหนียงรับแก้ว นางหันหน้าไปด้านข้างแล้วถลกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะยกน้ำขึ้นจิบ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก สาวใช้ที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวรีบร้อนเข้ามาในเรือน สิ่งที่ยกมาคราวนี้มิใช่ข้าวหรือว่าพืชผัก แต่เป็นอาหารว่างหลากสี

“นายหญิง ข้าจำได้ว่าท่านชอบกินหมั่นโถวไท่ผิง ข้าเลยทำขึ้นใหม่หลายแบบเลยเจ้าค่ะ” นางนั่งคุกเข่าลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหม่า “นี่คือหมั่นโถวไส้หมู ส่วนนี่หมั่นโถวไส้ผัก…”

สาวใช้อีกนางที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นพลางแอบสังเกตสีหน้าของเฉิงเจียวเหนียง

ไปด้วย

สายตาของเฉิงเจียวเหนียงหยุดอยู่ที่จาน นางไม่พูดอะไร สาวใช้รีบบิดของว่างในจานแล้วยื่นให้

เฉิงเจียวเหนียง

“นายหญิงลองชิมดูเจ้าค่ะ” นางเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือออกมารับแล้วกิน

สาวใช้มองนางด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ยัง หอมเกินไป” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

สาวใช้ร้อนใจจนก้มหน้าในทันที

“เอ่อ เอ่อ นายหญิงน้อยเจ้าคะ” นางคงลืมพูดของนายใหญ่จางไปแล้ว “เรื่องเลือกกินเอาแค่พอประมาณดีไหมเจ้าคะ อย่าได้เอาแต่ใจตนนัก”

เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองสาวใช้

“เจ้า ทำหมั่นโถว ไม่ได้เรื่อง” นางเอ่ยขึ้น

นายใหญ่ตระกูลจางส่ายหน้าไปมา สาวใช้ก้มหัวคำนับน้อมรับ

“เจ้าค่ะ ข้าสะเพร่าเอง” นางพูดขึ้น น้ำเสียงหวาดกลัวปกปิดเสียงหัวเราะไม่มิด นางเงยหน้าขึ้นก่อนจะยกอาหารว่างอีกหนึ่งอย่างออกมา

“นายหญิง ลองชิมดูเจ้าค่ะ นี่คือตังโจ่ย ที่ข้าใช้แป้งข้าวฟ่างทำเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงเหลือบตามอง สาวใช้ตั้งตามองสีหน้าของนาง คราวนี้นางก็ไม่ลงมือหยิบเองเช่นเคย

เฉิงเจียวเหนียงนั่งหลังเหยียดตรงหันไปมองนายใหญ่จาง

“ข้ากินอิ่มแล้ว” นางเอ่ยพลางคำนับขอบคุณแล้วมองไปทางสาวใช้ “เจ้าทำอาหาร อร่อยมาก แต่อาหารว่าง เดิมกินเพื่อให้เติมเต็ม จะมีก็ได้ จะไม่มีก็ได้ หากอยากทำให้ดี ต้องดีกว่าอาหาร”

นางใช้พยักหน้ารับอย่างดีใจ

“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” นางเอ่ยแล้วคำนับ “ขอบคุณนายหญิงที่ชี้แนะเจ้าค่ะ”

สาวใช้อีกนางประหลาดใจ มองไปทางสาวใช้นางนั้นแล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง

“เพราะเหตุใดหรือ อาหารที่ทำ นายหญิงเป็นคนสอนทำหรือ” นางอดถามไม่ได้

สาวใช้ผู้นั้นพยักหน้า

 “แต่ก่อนข้าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” นางพูดน้ำตาคลอเบ้า “นายหญิงเป็นคนสอนข้าทั้งนั้น”

สาวใช้หันไปหาเฉิงเจียวเหนียงอย่างอดไม่ได้

“นายหญิง มีอะไรที่ท่านทำไม่เป็นหรือไม่เจ้าคะ” นางถามพลางหัวเราะ

เฉิงเจียวเหนียงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสองเงียบก่อน จะคนใหม่หรือคนเก่า พวกเจ้าสักคนมารินชาให้ข้าที” นายใหญ่จางแสร้งทำเป็นขุ่นเคือง

สาวใช้ต่างพากันหัวเราะ

“ข้าเขียนกลอนไม่เป็น” เฉิงเจียงเหนียงโพล่งออกมา

คนทั้งห้องนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา นางกำลังตอบคำถามของสาวใช้เมื่อครู่

ที่เงียบไปเมื่อครู่ คงไม่ใช่กำลังนึกว่าบนโลกนี้มีอะไรที่ตนทำไม่เป็นอยู่หรอกนะ

“นายหญิงสุดยอดไปเลยเจ้าค่ะ” นางพยักหน้าตอบรับอย่างตื่นเต้น ความเงียบสงัดเมื่อครู่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น

“ข้ากินข้าวมาแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้นขณะนั่งหลังเหยียดตรง “ข้าควรกลับแล้ว”

นายใหญ่จางหัวเราะพลางนั่งยืดตัวขึ้น

“แม่นางเฉิง คราวนี้มากินข้าวอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยพรางหัวเราะ

“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงตอบแล้วหันไปทางสาวใช้ “ข้าว ไม่เลวเลย”

นายใหญ่จางสีหน้าชอบใจ

“แน่นอนอยู่แล้ว” เขาพูดขึ้น

“ดังนั้น ข้าอยากขอยืมตัวสาวใช้ของท่าน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

นายใหญ่จางชะงักไปเล็กน้อย สาวใช้เองก็ตกตะลึงเช่นกัน ส่วนสาวใช้อีกคนก็ประหลาดใจไม่ต่าง

“นายหญิง นายหญิง นายหญิงจะมารับข้ากลับหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยร้องเสียงดัง

เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ตอบ แต่กลับเอาแต่จ้องมองนายใหญ่จาง

“นาง แลกให้ท่านใช้งาน” เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นชี้สาวใช้ของตน

สีหน้าของสาวใช้เปลี่ยนไปในทันที

ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าเหตุใดนายหญิงถึงถามชื่อของนาง! ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าเหตุใดตอนออกเรือนมาถึงได้รู้สึกชอบกลนัก!

นายหญิง!

“นายหญิง ไม่ต้องการข้าแล้วหรือ” นางร้องถามแล้วเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อของเฉิงเจียวเหนียงไว้

ก่อนจะทรุดตัวร้องไห้ยกใหญ่

จางฉุนที่อยู่ในห้องหนังสือได้ยินเสียงร้องไห้ลอยมาก็ขมวดคิ้วแน่นแล้ววางหนังสือในมือลง

วันนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ไม่นานเสียงร่ำไห้อีกเสียงก็ดังตามมา

“ข้าก็ทำอาหารเป็นนะเจ้าคะ นายหญิงสอนข้าสิเจ้าคะ ข้าทำได้แน่นอน” สาวเช่นเอ่ยทั้งน้ำตาขณะที่

กำชายเสื้อของเฉิงเจียวเหนียงไว้แน่น

สาวใช้อีกนางหนึ่งก็รู้สึกสบสนไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะคว้าแขนเสื้ออีกด้านหนึ่งของเฉิงเจียวเหนียงไว้เช่นกัน ราวกับกลัวว่านายหญิงจะเปลี่ยนใจเพราะเห็นสาวใช้อีกนางร้องไห้

นายใหญ่จางยกมือขึ้นนวดขมับ

“ตอนนี้ข้าต่างหากที่ควรร้องไห้” เขาเอ่ยยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา “นี่ข้าถึงขั้นถูกสาวใช้รังเกียจแล้วหรือนี่”

สาวใช้ทั้งสองได้สติขึ้นมาจึงรีบคำนับขออภัยในทันที

“นายท่าน นายท่าน ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ยเสียงสะอื้น

สาวใช้ที่ฉลาดเฉลียวมาโดยตลอดจู่ๆ ก็นึกไม่ออกว่าควรพูดออกไปอย่างไร ส่วนสาวใช้อีกนางเดิมที

ก็พูดไม่เก่งอยู่แล้วก็ยิ่งพูดไม่ออก

“เอาล่ะ หยุดร้องได้แล้ว” นายใหญ่จางเอ่ยพลางหัวเราะ “พวกเจ้าได้ยินไม่ชัดหรือไร ยืมแล้วก็แลก

มียืมก็ต้องมีคืน มีสลับไปย่อมมีสลับกลับ”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ยกมือขึ้นโบกไปมา

“ไม่สนว่าจะยืมหรือแลก หากเจ้าต้องการใช้ก็เอาไปเถิด” เขากล่าว “คนที่อยู่ที่นี่จะได้ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน ชาวเมืองจะหาว่าข้าทารุณสาวใช้เอาได้”

สองสาวใช้หัวเราะทั้งน้ำตา

“นายท่านเจ้าคะ” ทั้งสองคนคลานเข่าเข้าไปคว้าชายเสื้อของเขาทั้งซ้ายและขวา “นายท่านเป็นคนดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ”

นายใหญ่จางยิ้มพลางส่ายหน้า

“อีกหนึ่งเดือนจะนำมาคืน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวแล้วคำนับขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วขอตัวลา

นายใหญ่จางพยักหน้ารับ ทั้งยังไม่ถามสักคำว่านางจะยืมไปทำอะไร จากนั้นจึงยืนขึ้นเพื่อส่งแขก

“ใช่แล้ว” เขานึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยรั้งเฉิงเจียวเหนียงไว้ “เมื่อครู่เจ้าพูดว่า บนโลกนี้สิ่งที่เจ้าทำไม่เป็นคือเขียนกลอนอย่างนั้นหรือ”

เฉิงเจียวเหนียงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมาอย่างเชื่องช้า

“ใช่” นางตอบ

……………………………………………………………….