พอได้ยินว่าแขกกลับไปแล้ว จางฉุนจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา แล้วจึงพบว่าท่านชายใหญ่แห่งตระกูลจางอยู่ในห้องก่อนแล้ว

“ท่านปู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ เสียงร้องไห้ดังออกมาจากห้องท่าน” เขาเอ่ยถาม “เพราะแม่ครัวปั้นฉินของท่านต้องไป นางเลยร้องไห้อย่างนั้นหรือ”

นายใหญ่จางลูบเคราของตนแล้วส่ายหน้า

“คนจะไปไม่ได้ร้องไห้ คนถูกทิ้งต่างหากที่ร้อง” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ

ท่านชายใหญ่จางจัดท่านั่งอีกครั้ง ท่าทางประหลาดใจ

“ท่านปู่ เมื่อครู่เจ้านายของปั้นฉินมาเยี่ยมอย่างนั้นหรือ เป็นแม่นางจากตระกูลใดกัน” เขาถาม

ปั้นฉินเดินวนไปมาหน้าประตูตั้งแต่เมื่อวาน จนทั้งบ้านรู้กันหมดแล้วว่าเจ้านายเก่าของนางมาเยี่ยมถึงเรือน

สาวใช้ได้พบเจ้านายเก่าแล้วเข้ามาคำนับแสดงความเคารพก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่น้อยนักที่จะตื่นเต้นดีใจเช่นนี้

“คุณหนูจากตระกูลเฉิง” นายใหญ่จางตอบ “เป็นคนเจียงโจวเหมือนกัน”

จางฉุนไม่ได้สนใจเรื่องเช่นนี้สักเท่าไหร่ เพียงแค่รู้ว่าท่านพ่อมิได้เจ็บไข้ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยลา

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ” ท่านชายใหญ่ตระกูลจางนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างจึงเอ่ยรั้งเขาไว้ “ท่านลองทายดู วันนี้ข้าเจอผู้ใดมา”

จางฉุนหยุดฝีเท้าลง

“หนังสือตอบรับเข้าราชการจากฝ่ายพิธีการหรือ เจ้าได้ยินข่าววงในอะไรมาอีกล่ะ” เขาเอ่ยถาม

การสอบครั้งใหญ่ในรอบสามปีได้สิ้นสุดลงแล้ว ช่วงนี้เป็นปลายเดือนสองย่างเดือนสาม ใกล้ช่วงประกาศผลสอบ เป็นธรรมดาที่เหล่าลูกศิษย์ของจางฉุนจะเข้าสอบครั้งนี้ด้วย ทุกคนต่างอยากรู้ความเป็นไปของคนใกล้ชิด ทำให้ช่วงนี้จึงมีแขกมาแลกเปลี่ยนข่าวสารวงในอยู่ไม่น้อย

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าเจอบัณฑิตถง” ท่านชายใหญ่จางกล่าว

นายใหญ่ตระกูลจางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“คนที่กินยาต้มแล้วรอวันบรรลุเซียนผู้นั้นหรือ” เขาเอ่ยถาม “ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญจนจะบินได้แล้วหรอกหรือ”

ท่านชายใหญ่ตระกูลจางหัวเราะยกใหญ่

“ท่านปู่ ท่านก็พูดเสียจนน่าเกลียด” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ

“ช่วงก่อนเขาเกือบตายไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับหายเป็นปกติ” ท่านชายใหญ่ตระกูลจางยิ้มเอ่ยแล้วยกมือขึ้นทำท่าทาง “หนึ่งหมื่นก้วน ซื้อชีวิตจากเทพเซียน”

นายใหญ่จางสมเพชยิ่งกว่าเดิม

“จริงๆ นะขอรับท่านปู่ วันนี้ข้าเจอเขา ผ่านมาแค่ครึ่งเดือน แต่กลับดูท่าทางสดใสกว่าแต่ก่อนเยอะ ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือเส้นผมหนวดเคราที่เคยหงอกขาว ตอนนี้กลับดำขลับ” ท่านชายใหญ่จางเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ท่านปู่ หมอเทวดาผู้นั้นคงจะเป็นเทพเซียนจริงๆ ได้ข่าวมาว่านักพรตหลี่เป็นผู้เบิกเนตรให้ แต่หากไม่ป่วยใกล้ตายจะไม่รักษาให้”

จางฉุนส่ายหัวแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

“ชายใหญ่ อีกไม่นานเจ้าก็จะเข้ารับราชการแล้ว ข่าวลือไร้ที่มาเช่นนั้นอย่าได้ตื่นตูมตามเขา” นายใหญ่จางกล่าว

“มิใช่ข่าวลือนะขอรับ ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องตลกทั้งนั้น แต่วันนี้ข้าได้เจอเขา เขาหายดีแล้วจริงๆ แถมยังท่าทางสดใสกว่าแต่ก่อนด้วย”

“บนโลกนี้มีเคล็ดวิชามากมาย มิใช่เรื่องอัศจรรย์อะไร ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่” นายใหญ่จางเอ่ย สีหน้านั้นบ่งบอกว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ทั้งยังแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย เขามองไปรอบๆ “กินอาหารฝีมือสาวใช้นางนั้นจนเคยตัวเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะกินฝีมือผู้อื่นได้หรือไม่ ตั้งหนึ่งเดือนเชียวนะ…”

รถม้าของเฉิงเจียวเหนียงหยุดอยู่ที่สะพานอวี้ไต้

“นายหญิงอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” สาวใช้กำห่อผ้าไว้ในมือ นางลงรถแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“ไม่ใช่ นี่คือเรือนของนายหญิง แต่นายหญิงพักอยู่ที่เรือนของท่านตา” สาวใช้อีกนางเอ่ยพลางยิ้ม มองจินเกอร์ที่วิ่งออกมา “อ้าว เจ้าคนบ้านเดียวกันนี่ จำกันได้หรือไม่”

“พี่ชิงเหมย!” จินเกอร์นิ่งไปในทันทีเมื่อได้เห็นนาง ก่อนจะร้องตะโกนออกมา “ท่านมาเมืองหลวงแล้วหรือ”

สาวใช้เม้มปากเผยยิ้มออกมา

“จินเกอร์ เจ้าลืมชื่อข้าอีกแล้ว” นางเอ่ยพลางหัวเราะ

ตอนอยู่ที่บ้าน นางว่าชื่อชิงเหมย แต่ยามที่รับใช้นายหญิง นางมีชื่อว่าปั้นฉิน แต่ชื่อปั้นฉินได้

ไม่นานก็ออกต้องจากบ้านตระกูลเฉิงไปพร้อมกับนายหญิง บ่าวรับใช้ในบ้านยังไม่ทันได้คุ้นเคยกับชื่อใหม่ของนางมากนัก

“พี่ปั้นฉิน” จินเกอร์ตะโกนเรียกก่อนหันไปมองสาวใช้อีกนาง “เอ๊ะ มีพี่ปั้นฉินตั้งสองคน หากข้าเรียกจะสับสนไหม”

“ไม่หรอก” สาวใช้ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

ทั้งสองหันมาสบตากันหลังสิ้นเสียง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขิน ต่างฝ่ายต่างเต็มใจให้เรียกชื่อนี้มากกว่าชื่อเดิมของตน

“เอาล่ะ พวกเราต้องกลับแล้ว พวกเจ้าพักกันที่นี่ก็แล้วกัน” สาวใช้รีบตัดบทสนทนา

“วันพรุ่งนี้ข้าจะมา ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” เฉิงเจียวเหนียงแหวกม่านของรถออก นางมองไปทางสาวใช้แล้วกล่าว

สาวใช้พยักหน้าพร้อมขานรับ

“เอาล่ะ เจ้ามีคนอยู่เป็นเพื่อนที่นี่แล้ว” สาวใช้เอ่ยพลางยิ้มให้จินเกอร์ ก่อนจะขึ้นรถไป

จินเกอร์และสาวใช้มองดูรถม้าออกไปจนลับตา

“ดีจัง พี่ชิงเหม่ย…พี่ปั้นฉินก็มาอยู่ด้วยกัน”

“นั่นสิ ที่แท้เจ้าก็ติดตามนายหญิงมาหรอกหรือ”

“พี่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

ทั้งสองพูดคุยพลางหัวเราะแล้วเดินเข้าประตูไป

ณ บ้านตระกูลโจว เฉิงเจียวเหนียงที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าเรือนหยุดชะงักลงในทันที

สาวใช้เองก็ตกตะลึงเช่นกันก่อนจะมองเข้าไปในห้อง

เหล่าสาวใช้ยืนรออย่างเงียบเชียบริมทางเดิน ประตูห้องถูกเปิดกว้าง ท่านชายโจวหกที่นั่งอยู่ข้างในมองมาด้วยแววตาล้ำลึก

“ท่านเซียนกลับมาแล้ว” เขาหัวเราะอย่างเย็นชา

เฉิงเจียวเหนียงยกเท้าก้าวเข้ามาในห้อง

“ท่านชายหก ท่านมีอะไรอีกหรือ” สาวใช้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เป็นเรือนของหญิงสาว ท่านไม่คิดจะละเว้นสักนิดเลยหรือเจ้าคะ”

ไม่ทันให้ท่านชายโจวหกตอบ นางก็ส่งเสียงประหลาดใจออกมา

“ข้าลืมไปเลยว่าที่นี่เป็นบ้านของท่าน พวกข้าก็แค่คนอาศัย” นางเอ่ยพลางแสร้งตีหน้าเศร้า “ข้าไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ขออภัยที่ทำให้ท่ายชายหกต้องตกใจ”

“หุบปากของเจ้าเสีย! ในเรือนหลังนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์พูด!” ท่านชายโจวหกตะโกนเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืน

เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงมองไปทางเขา

“เช่นนั้น ท่านก็พูดมา” นางกล่าว

ท่านชายโจวหกใช้เท้าเตะกระบี่บนพื้นขึ้นมาก่อนจะส่งให้เฉิงเจียวเหนียง

“ท่านเซียนมีความเมตตาหรือไม่” เขาถาม

เฉิงเจียวเหนียงรับน้ำที่สาวใช้ส่งให้แล้วเหลือบมองชายหนุ่มโดยไม่ได้ใส่ใจ

“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ” นางกล่าว

ท่านชายโจวหกยื่นมือออกไปคว้าต้นแขนของนางก่อนจะลากออกไปนอกห้อง

“นายหญิง!” สาวใช้กรีดร้องแล้วรีบเข้าไปพยุง

น้ำในมือของเฉิงเจียวเหนียงหกกระจายทั่วพื้น นางถูกลากออกมาอย่างทุลักทุเล แต่ไม่นานก็ปรับฝีเท้าจนเดินตามได้ทัน เพื่อตนเองจะได้ไม่ดูน่าสมเพชนัก

“ท่านชายหก ท่านจะทำอะไร” สาวใช้ตามมาติดๆ หมายจะตะโกนร้องเพื่อรั้งเขาไว้ แต่กลับถูกเขาผลักออกจนล้มลงกับพื้นอย่างน่าสงสาร

เหล่าสาวใช้และแม่นมที่อยู่กลางลานบ้านต่างกลัวจนหัวหด ไม่มีใครกล้าเอ่ยห้ามแม้แต่คนเดียว

สาวใช้น้ำตาคลอก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นแล้วตามไป

แม่นมและสาวใช้ที่อยู่ริมทางพากันหนีด้วยความหวาดกลัว มองดูท่านชายโจวหกลากเฉิงเจียวเหนียงเดินผ่านไป

“รีบไปบอกฮูหยินเร็ว”

สาวใช้และแม่นมร้องตะโกนวุ่นวาย มองดูคนสองคนที่กำลังฉุดกระชากลากถูกัน

ท่านชายโจวหกใช้เท้าถีบประตูห้องให้เปิดออก ห้องพักเพดานต่ำของบ่าวรับใช้มืดมิดว่างเปล่าไม่ผู้ใด นอกเสียจากหญิงสาวผู้หนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงข้างกำแพง

“ท่านเซียน หากท่านมีเมตตา ก็ช่วยใช้กระบี่เล่มนี้ให้นางไปสบายเสียเถิด!” เขาตะโกนออกมาก่อนจะเหวี่ยงเฉิงเจียวเหนียงลงกับพื้น

กระบี่เล่มงามส่งเสียงสะท้อนยามถูกขว้างลงบนพื้น

คนที่นอนอยู่บนเตียงหลับใหลราวกับไม่ได้สติ แม้แต่เสียงสะเทือนก็ไม่สามารถทำให้นางมีปฏิกิริยาใด

เฉิงเจียวเหนียงพยุงตัวลุกขึ้น นางไม่ได้มองไปรอบๆ แต่กลับค่อยๆ เอื้อมมือไปกุมต้นแขนของตัวเองไว้แล้วขยับเบาๆ

“นายหญิง!” สาวใช้ร้องไห้ตามมาติดๆ นางผลักท่านชายโจวหกที่ยืนขวางประตูอยู่แล้วโผเข้าไปพยุงแขนของเฉิงเจียวเหนียง

“ชายหก!” เสียงของท่านชายฉินลอยมาจากด้านนอก บ่าวสองคนพยุงเขาเดินเข้ามา “เจ้าจะหาเรื่องอะไรอีก!”

“ใช่ ข้าหาเรื่องเอง!” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ข้าหาเรื่องเองที่พาตัวสาวใช้ของเจ้ามา ข้าหาเรื่องเอง ข้ามันไร้หัวใจ แล้วก็นางด้วย”

เขาเดินก้าวเข้ามาแล้วชี้ไปที่หญิงสาวบนเตียง

“สาวใช้ผู้นี้ก็ด้วย นางทิ้งเจ้าแล้วหนีตามข้ามา นางก็ไร้หัวใจเช่นกัน” เขาเอ่ย “พวกข้ามันคนไร้หัวใจ ทอดทิ้งคนสติไม่สมประกอบอย่างเจ้า ไม่เหลียวแล แต่ตอนนี้เวรกรรมตามสนองแล้ว นางแขวนคอฆ่าตัวตาย…”

ยามเมื่อคำว่าแขวนคอฆ่าตัวตายออกมาจากปากของเขา สาวใช้ที่ร้องไห้ไม่หยุดก็เงียบลงแล้วรีบเข้าไปดูตามสัญชาตญาณ

เฉิงเจียวเหนียงยังคงสีหน้านิ่งสงบ แม้แต่สายตาก็ไม่เคลื่อนไหว

“สมควรแล้ว” ท่านชายโจวหกพูดต่อ “นางสมควรที่ต้องทนทุกข์ทรมาน สมควรตาย สมควรตายไปตั้งนานแล้ว”

ปั้นฉินที่นอนอยู่บนเตียงร้องไห้สะอื้น ยกมือขึ้นปิดหน้า

“ชายหก เจ้ามันอยู่ดีไม่ว่าดี จะหาเรื่องอะไรอีก!” ท่านชายฉินตะโกนเสียงดังแล้วก้าวเข้ามา ก่อนจะหันไปหาเฉิงเจียวเหนียง “วันนี้สาวใช้ผู้นี้ทำผิดจึงโดนลงโทษ แต่นางคิดสั้นก็เลยฆ่าตัวตาย ไม่เกี่ยวกับแม่นางหรอก แม่นางอย่าได้เป็นกังวล”

“เจ้าไม่ต้องปลอบใจนาง อย่างนางไม่ต้องให้เจ้าปลอบหรอก” ท่านชายโจวหกส่งเสียงดัง

แล้วก้าวมาด้านหน้า จ้องมองเฉิงเจียวเหนียง “นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากเห็นหรือไง นางคงรอคอยอยู่ รอวันที่พวกข้าทำผิดต่อนาง สมควรตาย สมควรตายไปเสียตั้งนานแล้ว นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร”

“ชายหก หุบปาก!” ท่านชายฉินตะโกนแล้วก้าวไปข้างหน้า “เฉิงเจียวเหนียง เขาโกรธตัวเอง ปั้นฉินเองก็ผิด ชายหกเองก็ผิด เพราะความผิดนี้ พวกเขาก็ทนทุกข์ทรมาน อยู่ไม่เป็นสุข เป็นเวรกรรมของพวกเขา เป็นผลกรรมที่พวกเขาต้องได้รับ ชายหกเสียสติไปแล้ว แม่นางอย่างได้ถือสา”

เขาเอ่ยพลางเร่งเร้าสาวใช้

“พานายหญิงของเจ้าออกไป” เขากล่าว

สาวใช้รีบเข้ามาพยุงเฉิงเจียวเหนียง เฉิงเจียวเหนียงไม่ยอมก้าวเดินแต่กลับหันหลังแล้วเดินไปทางเตียงนอน

บนฟูกหลังเก่าทรุดโทรมที่มุมห้อง มีร่างเล็กกำลังปิดหน้าร้องไห้จนตัวสั่นไม่หยุด ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงแววตาที่จ้องมองมา ทั้งกายของนางสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม

“นายหญิง นายหญิง” ปั้นฉินรีบลุกขึ้นมาในทันทีแล้วโขกหัวคำนับบนเตียงนอน ทำลายความเงียบสงัดที่แสนอึดอัดในห้องลง “นายหญิง ข้าเป็นคนทอดทิ้งนายหญิงเอง ข้าอยากตามท่านชายหกมาเอง ข้าเป็นคนทิ้งท่าน ข้าไม่มีหน้าจะไปพบท่าน แม้แต่จะบอกลาท่านข้าก็ไม่กล้าพูด นายหญิง ปั้นฉินเป็นคนละทิ้งท่าน ปั้นฉินทอดทิ้งท่าน…”

นายหญิง ปั้นฉินไม่มีโอกาสได้บอกกับท่าน ว่าข้าเป็นคนทอดทิ้งท่านเอง…

นายหญิง ปั้นฉินยังติดค้างกับท่านอยู่คำหนึ่ง ติดค้างคำบอกลา…

ปั้นฉินร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ครางสะอื้นอยู่กับพื้น

ภายในห้องเงียบสงัดลงอีกครั้ง

เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือออกมา

“น้ำ” นางเอ่ยขึ้น

ทุกคนต่างนิ่งชะงักไปก่อนจะเห็นว่าในมือของนางกำแก้วน้ำอยู่

นางถูกท่านชายหกลากตัวออกมาตอนกำลังจะดื่มน้ำ น้ำหกไปหมดแล้วแต่แก้วน้ำในมือยังคงถูกนางกำไว้แน่น

ไม่ว่าเรื่องราวจะเลวร้ายเพียงใด ไม่ว่าจะตั้งรับยากเพียงไหน นายหญิงก็ไม่เคยทำให้ตนเองต้องน่าสมเพช นางมักจะอดทนอย่างนิ่งสงบ

ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งเดียวที่สามารถควบคุมได้คือตนเอง ฉะนั้นอย่าได้พ่ายแพ้ต่อการควบคุมตน

เช่นยามที่รถม้าถูกปล้น หรือว่ายามที่ถูกลากตัวออกมาเช่นนี้

สาวใช้น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาในทันที

“เจ้าเห็นหรือยังว่าตัวเองทำอะไรลงไป!” ท่านชายฉินเอ่ยตะโกนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะใช้ไม้เท้าฟาดท่านชายโจวหกอีกครั้ง

สาวใช้วุ่นหาน้ำไปทั่วห้อง แต่กลับมีแต่ถ้วยชามว่างเปล่าที่บิ่นแตก

“เอาน้ำมาที” นางขมวดคิ้วแน่นพลางตะโกนออกไปด้านนอกทั้งน้ำตานองหน้า

เหล่าแม่นมและสาวใช้ที่ล้อมดูอยู่ด้านนอกเพิ่งได้สติก็พากันวิ่งวุ่น ไม่นานก็ได้น้ำมา

เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงที่หัวโต๊ะก่อนจะรับแก้วน้ำแล้วยกขึ้นดื่ม

ปั้นฉินที่คงยังร้องไห้สะอื้นพยุงตัวขึ้น ท่านชายโจวหกยืนอยู่อีกฝั่งด้วยหน้าตาบูดบึ้ง ส่วนท่านชายฉินเองก็นั่งลง

“แม่นางเฉิง ชายหกก็ไม่ได้เรื่องเช่นนี้แหละ เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ เขาก็เลยบบุ่มบ่ามจนเกินไปหน่อย”

“อุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะนางนั่นแหละถึงทำให้เป็นเช่นนี้!” ท่านชายโจวหกเอ่ยตะโกน

ท่านชายฉินยกไม้เท้าขึ้นฟาดท่านชายโจวหกอีกครั้ง

“ยังจะโทษคนอื่นอีก! ยังจะโทษคนอื่นอีก! ตอนจะมา คนเขาบังคับหรือไร ตอนที่เจ้าพาตัวนางมา คนเขาบังคับหรือไร เจ้าเป็นคนทำเองทั้งนั้น เหตุใดถึงกล่าวโทษผู้อื่น! เหลวไหล!” เขาเอ่ยขึ้น

“ใช่ ข้ารู้ ข้าผิด ตระกูลโจวของข้าเป็นคนผิด” ท่านชายโจวหกตะโกนลั่น จ้องมองเฉิงเจียวเหนียง “เฉิงเจียวเหนียง เรื่องนี้เจ้ารู้ดี เจ้าอย่าแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยจะได้ไหม ได้ ข้าทำผิดต่อเจ้า เจ้าพูดมาให้เด็ดขาดเสียทีได้ไหมว่าต้องการอะไร”

เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองเขา

ตั้งแต่ตอนที่คุกเข่าทำโทษกลางหิมะในตอนนั้น นี่คงเป็นครั้งที่สองที่หญิงสาวมองมาที่เขาตรงๆ

ท่านชายโจวหกหน้าตาบึ้งตึง จ้องตานางกลับอย่างไม่ยอมลดละ

“อันที่จริง ที่เจ้าทำ ไม่ต้องรู้สึกผิด” นางเอ่ยพลางส่ายหน้ามา “เรื่องพวกนั้น ไม่เท่าไหร่”

ท่านชายโจวหกหัวเราะ

“เจ้าอยากรู้ไหม ว่าอะไรที่ควรรู้สึกผิด” เฉิงเจียวเหนียงจ้องมองเขาพลางเอื้อนเอ่ย

 …………………………………………………………