ภายในห้องเพดานต่ำอันมืดมิด กลิ่นคาวของคราบมัน แป้งหอม และสารพัดกลิ่นประหลาดอบอวลไปทั่ว เด็กสาวที่นั่งอยู่หัวโต๊ะและชายหนุ่มที่ยืนอยู่จ้องมองกัน
ความรู้สึกเหมือนถูกมองต่ำทั้งที่ตนเองยืนอยู่สูงกว่าเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ท่านชายโจวหกยืดตัวเหยียดตรงยิ่งกว่าเดิมอย่างห้ามไม่ได้ เขาจ้องมองดวงตาทั้งสองของหญิงสาวอย่างไม่ลดละ
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ประหม่าจนกัดฟันอย่างอดไม่ได้
นางนึกถึงคำที่นายหญิงเคยพูดไว้ ‘ไม่เกินสามครั้ง’
ท่านชายโจวหกหาเรื่องนายหญิงโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว เช่นนั้นแล้วนายหญิงจะทำอย่างไรต่อ
“แม่นางเฉิง ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า พวกเขาโง่เขลา ไม่เข้าใจที่เจ้าพูด ก็เลย…” ท่านชายฉินพูด
ทว่าพูดยังไม่ทันจบ เฉิงเจียวเหนียงก็หันไปทางเขาแล้วพูดแทรกขึ้นมา
“แต่ว่า เขาก็ยังเป็นเพื่อนรักของเจ้า ใช่หรือไม่” นางเอ่ยถาม
ท่านชายฉินมองนางแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“เขาทำผิด เจ้าก็รู้ แต่เจ้าก็ไม่โทษเขา แต่กลับช่วยเขา” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ “เจ้าช่วยเขาตลอด ไม่ว่าจะดื่มเหล้าเป็นเพื่อน หรือว่าช่วยปลอบใจเขาเช่นครั้งนี้”
ฝ่ายหนึ่งคอยห่วงใยแก้ปัญหาให้ ฝ่ายหนึ่งร้อนใจยามเจอความอยุติธรรม จะว่าไปแล้วสิ่งเหล่านี้สร้างความสมดุลระหว่างความแตกต่างของทั้งสองคน
ท่านชายฉินยิ้มพลางพยักหน้ารับ
“ใช่แล้ว แม่นางเข้าใจคนยิ่งนัก” เขาพูดขึ้นแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “แม่นางเฉิง ข้าแค่อยากให้เจ้าให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี”
“คนเราเกิดมา ยากนักที่จะมีเพื่อนสักคน โดยเฉพาะคนอย่างข้า” ท่านชายฉินยื่นแขนออกมาก่อนจะมองดูร่างกายของตัวเองแล้วหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา
“ข้ารักษาขาของเจ้าได้” นางเอ่ยพึมพำออกมา
คนทั้งห้องนิ่งชะงักไป ท่านชายโจวหกเดินก้าวเข้ามาอย่างไม่เชื่อหูของตน ท่านชายฉินที่หัวเราะอยู่ก็เงียบไปในทันใด
“ว่าอย่างไรนะ เจ้ารักษาเขาให้หายได้อย่างนั้นหรือ” ท่านชายโจวหกถามอย่างร้อนรน
เฉิงเจียวเหนียงมองไปทางเขาแล้วพยักหน้า
“แต่ว่า” นางพูดขึ้น “ข้าจะไม่รักษาให้เขา”
เพียงแค่เห็นนางพยักหน้า ภายในใจของท่านชายโจวก็รู้สึกเหลือเชื่อแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ดีใจก็ได้ยินประโยคถัดไปของนาง
ใบหน้าของเขาซีดเผือดขาวโพลนในทันที
“เพราะเหตุใด” เขาตะโกนถาม กัดฟันราวกับนึกอะไรบางอย่างออก “เป็นเพราะกฎบ้าบอของเจ้าที่ว่าหากไม่ถึงตายจะไม่รักษาให้น่ะหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ไม่ใช่” นางตอบแล้วจ้องไปที่ท่านชายโจวหกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เป็นเพราะ เจ้าน่ารำคาญ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา” ท่านชายโจวหกร้องถามอย่างโมโห
เฉิงเจียวเหนียงหันไปหาท่านชายฉิน
“พอถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังรู้สึกว่า การมีเพื่อนเป็นคนผู้นี้ ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีอีกหรือ” นางเอ่ยอย่างเชื่องช้า
สาวใช้ตาเบิกโพรง รีบยกมือขึ้นมาป้องปากในทันที
อย่างนี้นี่เอง! อย่างนี้นี่เอง!
เจ็บแสบนัก ร้ายกาจนัก!
ความเงียบสงัดในห้องชวนให้คนอึดอัด
ท่านชายฉินยกมือขึ้นคำนับก่อนจะหัวเราะออกมา
“แม่นางเก่งกาจนัก” เขากล่าว
“ท่านชายโจวหก เรื่องของข้า ล้วนแต่เพราะเจ้าคิดมากกังวลเองทั้งนั้น ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยอย่างเชื่องช้าแล้วมองไปทางท่านชายโจวหก จากนั้นจึงยกมือขึ้นชี้ไปที่ท่านชายฉิน “เจ้าคิดดู เช่นนี้ต่างหาก ที่ควรจะรู้สึกผิด”
ท่านชายโจวหกหายใจหอบหนักจนอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที เขามิใช่คนโง่เขลา ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่านางหมายความว่าอย่างไร
“เฉิงเจียวเหนียง!” เขาตะโกนลั่นแล้วเดินก้าวเข้ามาใกล้
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยแววตาเรียบเฉย
“เดิมที่ไม่มีเรื่อง แต่เจ้าเอาแต่จะหาเรื่อง” นางถามต่อ “เช่นนี้ สมใจเจ้าหรือยัง”
เพราะรังเกียจเดียดฉันท์จึงเพิกเฉยต่อกัน เดิมทีคิดว่าหากเข้าใจกันดีแล้ว หากทั้งสองฝ่ายพูดจากันตรงๆ ย่อมดีกว่าเฉยชาต่อกัน คงจะสามารถคลายความเกลียดชังที่มีต่อกันได้
ของเก่าไม่ไป ของใหม่ย่อมไม่มา หากไม่เจ็บปวด ย่อมไม่รู้คุณค่า คิดไม่ถึงเลยว่าการทำเรื่องมุทะลุเช่นนี้จะกลับกลายเป็นการยั่วโมโหนาง
ปล่อยให้พวกเขาพูดตามใจชอบ ทำตามใจชอบ คิดตามใจชอบ แต่พอนางพูดเช่นนี้ออกมา ทั้งหมดที่ทำเป็นก็ไร้ค่าราวกับเถ้าถ่าน
ฉะนั้นแล้วทำให้พบสัจธรรมว่า พูดมากหรือจะสู้พูดแทงใจได้
ทั้งสามคนในห้องมองหน้ากัน เฉิงเจียวเหนียงนิ่งสงบ ท่านชายโจวหกโมโห ท่านชายฉินนิ่งชะงักไป
“ข้าเองก็ผิด” เขาพูดขึ้นในทันที ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ก่อนจะยกมือขึ้นคารวะเฉิงเจียวเหนียง
“เจ้าผิดเรื่องอะไร! อย่าไปขอโทษคนอย่าง…” ท่านชายโจวหกตะโกนด้วยความเดือดดาลที่ยากจะดับลง
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นสบตาเขา
นางรักษาหายได้ นางรักษาหายได้…
รักษาขาของท่านชายฉินให้หายได้ รักษาให้เหมือนคนปกติ เดินเหิน กระโดดโลนเต้นได้ตามใจตน
ท่านชายโจวหกสั่นสะท้านไปทั้งตัว ยามที่นางสบตา คำพูดแสนโหดร้ายจากบันดาลโทสะที่อยู่มุมปากก็ถูกกลืนลงคอไปเสียหมดสิ้น
“รู้สึก เช่นไรบ้าง” เฉียงเจียวเหนียงทำทีราวกับไม่เคยเกิดอะไร มองไปที่เขาแล้วเอ่ยถามออกมา
รู้สึกเช่นไรอย่างนั้นหรือ
ความรู้สึกอยากด่าแต่ด่าไม่ได้ ทำให้โมโหเหมือนอกจะแตกตาย แต่ก็ทำให้เพียงเก็บความรู้สึกนั้นไว้
แมวไล่จับหนูรู้สึกเช่นไรกัน แน่นอนว่าถามถึงความรู้สึกของหนู
ท่านชายโจวหกกำมือข้างลำตัวแน่นจนได้ยินเสียงลั่นกรอบแกรบ
“ชายหก เจ้าหุบปาก” ท่านชายฉินเอ่ยแล้วมองไปทางเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง เขาทำท่าทีตกใจแค่ตอนเริ่มแรกเพียงเท่านั้น จากนั้นก็กลับมานิ่งเงียบดังเดิมราวกับไม่ยินที่ว่านางรักษาขาของเขาให้หายได้ แต่จะไม่รักษาให้
“แม่นางเฉิง ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว เดิมที่เจ้าไม่ได้มีเรื่องอะไรกับเขาจริงๆ ไม่ได้อยู่ในสายตา แต่ว่าเขาและคนทั้งตระกูลโจวเองก็ไม่เห็นเจ้าในสายตาเช่นกัน ครั้งนี้เจ้าถึงได้โมโหนักใช่ไหม” ท่านชายฉินถาม
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ มองไปทางปั้นฉินที่ยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าเพราะไม่กล้าสะอื้น แล้วหันกลับมามองท่านชายโจวหก
“คนของข้าก็ดี ของของข้าก็ดี พวกเขาเอาไป ไม่ใช่เพราะถูกใจ ไม่ใช้เพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่เพื่อทำลาย
ข้าทนดูไม่ไหว”
“นางทำร้ายตัวเองต่างหาก! เกี่ยวอะไรกับข้า” ท่านชายโจวหกตะโกนอย่างเกรียวกราด
เฉิงเจียวเหนียงจ้องหน้าเขา
“ข้าพอใจที่จะทำเช่นนี้ เกี่ยวอะไรกับเจ้า” นางเอ่ย
ท่านชายโจวหกจ้องนางตาเขม็งก่อนจะสะบัดชายเสื้อแล้วหันหลังเดินออกไป
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจแม่นางมาก” ท่านชายฉินเองก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนแล้วเอ่ยคำนับ
เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับ
บรรยากาศระหว่างทั้งสองนั้นแสนผ่อนคลาย ราวกับคนที่เพิ่งจิบชาดื่มสุราแล้วบอกลากัน
“ใช่สิ” ท่านชายฉินนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างยามบ่าวหนุ่มพยุงมาถึงหน้าประตู “ยังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“เหตุใดแม่นางถึงชอบให้สาวใช้ชื่อว่าปั้นฉิน” ท่านชายฉินถามด้วยความอยากรู้
“เพราะดี” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ท่านชายฉินหัวเราะชอบใจ ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับลา
ท่านชายโจวหกยืนอยู่นอกประตูเรือนราวกับรูปปั้นแกะสลัก ท่านชายฉินพ่นลมหายใจเดินตามมา
“นาง…” ท่านชายโจวหกเปิดปากเค้นคำออกมา “นางก็พูดไปเรื่อย…นาง นางคงตั้งใจแกล้ง…นางอาจจะรักษาไม่หายก็ได้… นางก็แค่อยากพูดให้คนเจ็บช้ำน้ำใจ”
ท่านชายฉินยื่นมืออกไปตบบ่าเขา
“ชายหก แค่คำพูดรุนแรง แค่หญิงสาวโมโห เจ้าก็กลัวถึงเพียงนี้แล้วหรือ” เขาเอ่ยยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา “ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ”
“แต่ว่าขาของเจ้า!” ท่านชายโจวหกตะโกนหน้าดงก่ำ “ขาของเจ้า!”
“ที่ขาของข้าเป็นแบบนี้ก็เพราะโชคชะตาของข้า หากไม่ยอมรับชะตากรรม ก็ย่อมอยู่อย่างไม่เป็นสุข” ท่านชายฉินมองเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “โจวฝู ข้าอยากจะปล่อยวาง ข้าอยากจะอยู่อย่างเป็นสุข เจ้าจะบังคับไม่ให้ข้าอยู่อย่างเป็นสุขหรือ”
ท่านชายโจวหก นามว่าฝู ฉายาจื่อเจี้ยน
การเรียกกันด้วยนามเท่ากับการตำหนิ
ท่านชายโจวหกเม้มปากกำหมัดแน่น
“ชายหก เจ้าแพ้แล้ว” ท่านชายฉินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเผยยิ้มออกมาแล้วตบที่ต้นแขนของเขาอีกครั้ง “แพ้ก็แพ้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ใช่เรื่องหน้าอาย ปล่อยวางเสียเถิด อย่างน้อยเจ้ากับนางจบกันแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ”
ท่านชายโจวหกกัดฟันมองหน้าเขา
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก” ท่านชายฉินยกมือขึ้นอธิบาย “ข้ารู้ ว่าคำพูดของนางแทงใจดำเจ้าขนาดไหน ปมในใจเจ้านั้นยากจะคลาย แต่ว่าชายหก เจ้าต้องตั้งสติ อย่าให้คนที่โชคร้ายที่สุดเช่นข้าปลอบใจเจ้าเลย หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้อยู่ ข้าจะไม่นับเจ้าเป็นเพื่อน”
เขาพูดจบก็หัวเราะออกมาก่อนจะยื่นกำปั้นไปทุบไหล่ท่านชายโจวหกสองสามที
ท่านชายโจวหกฝืนยิ้มออกมา เขาขยับปากแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
“ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ” ท่านชายฉินพูด “ช่วงก่อนเจ้าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน คิดอยู่นานว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร บัดนี้ปัญหาคลี่คลายแล้ว ปล่อยวางได้แล้ว ในที่สุดก็ได้ออกไปล่าสัตว์เสียที รีบไปกัน รีปไปกัน”
บ่าวหนุ่มพยุงเขาเดินไปก่อน ท่านชายโจวหันหลังเดินตามไป เขามองดูขาพิการและไม้เท้าของท่านชายฉิน แต่ก่อนเขาไม่เคยใส่ใจเลยสักนิด แต่ตอนนี้ภาพที่เห็นเหมือนธนูสองดอกที่พุ่งเข้าหาดวงตาทั้งสองของเขา
ข้ารักษาขาของเขาได้! ข้ารักษาขาของเขาได้! แต่ว่า เพราะเขาเป็นเพื่อนเจ้า ข้าเลยไม่รักษาให้!
เป็นเพราะเจ้า เขาถึงไม่หาย
เช่นนี้ต่างหากที่ควรรู้สึกผิด
เขาหันหลังควับแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างทั้งร่างตึงเครียดจนสั่นไปหมด
บ้าที่สุด! บ้าที่สุด! ร้ายกาจนัก! ร้ายกาจนัก! ใจดำ! ใจดำ!
………………………………………………….