บทที่ 182 อันดับคะแนน

“โฮ่ ร่วมมือเหรอ เฉินเฉียง บอกรายละเอียดข้าหน่อยสิ”

ซุนไคได้ยิ้มร่าออกมาในทันทีเมื่อได้ยิน เขานั้นราวกับจะถือว่าเฉินเฉียงเป็นศิษย์สำนักของเขาไปเรียบร้อยแล้ว

เฉินเฉียงจึงได้บอกเล่าเรื่องราวที่เขานั้นเตรียมไว้ออกมา

“ในมิติประลองนั้น ด้วยการที่ตัวข้าไม่อาจจะฆ่าหลินฟานที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ได้ ศิษย์พี่เจิ้งจึงไม่มีทางเลือกจึงแกล้งแพ้และออกมาจากมิติประลองนั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือเพื่อไม่ให้ศัตรูนั้นตื่นตัว เขาต้องกล้ำกลืนฝืนทนไม่บอกใครว่าฟางยี่เองเป็นคนพาเขาไปตกหลุมพรางศัตรู”

“หลังจากทุกคนออกมาจากมิติประลองได้แล้ว ศิษย์พี่เจิ้งในที่สุดก็คิดหาวิธีจัดการศัตรูได้นั่นก็คือการประลองเป็นตายกับหลินฟาง”

“นึกไม่ถึงว่าหลินฟานนั้นกลัวระดับการบ่มเพาะของพี่เจิ้งจึงปฏิเสธที่จะประลองด้วย”

“ท้ายที่สุดแล้ว ข้าได้พูดคุยกับศิษย์พี่เจิ้ง เขาขอให้ข้าลองท้าประลองกับหลินฟานดู และพยายามฝืนยื้อจนกว่าหลินฟานจะเผยตัวตน เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะช่วยกระตุ้นเหล่าผู้อยู่ในระดับราชาให้รีบเข้าไปช่วยข้า”

“เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าพวกท่านจะช้าเกินไป หากไม่ใช่องครักษ์หยานล่ะก็ ข้าเองก็คงจะต้องตกตายไปด้วยอีกคน”

“ทุกท่าน พวกท่านในเห็นเพียงว่าตัวข้านั้นทำผลงาน แต่พวกท่านกลับไม่รู้ว่าคนที่สร้างผลงานอยู่เบื้องหลังนั้นคือเจิ้งยี่”

“หากพวกท่านบอกมาว่า ข้า เฉินเฉียงผู้นี้ สมควรจะได้คะแนนนี้ไป แล้วข้านั้นจะรับคะแนนที่สมควรจะเป็นของพี่เจิ้งมาได้ยังไงกัน”

“ฮี่ฮี่ฮี่ เฉินเฉียง หากนับตามที่เจ้าพูดมา แต้มคะแนนของหลินฟานสมควรจะแบ่งระหว่างเจ้ากับเจิ้งยี่สินะ”

หลังจากได้ยินในเรื่องนี้ เฉียนฝู่จึงได้เข้าใจว่าทำไมเฉินเฉียงถึงบอกว่าสำนักเต่าดำนั้นสมควรจะแบ่งแต้มคะแนนนี้ไป

และหลังจากที่เขาได้ลองคิดคำนวณดูแล้วนั้น ถึงแม้จะต้องแบ่งแต้มคะแนน แต่หากรวมคะแนนระหว่างเฉินเฉียงและหลู่ฟางเข้าด้วยกัน อย่างน้อยๆสำนักก็ยังพอที่จะได้คะแนนอันดับหนึ่ง

เขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจผิดไปว่าเป็นเพราะเรื่องของจ้าวฮั่นที่ทำให้เฉินเฉียงไม่ค่อยชอบเขาดังแต่ก่อน

หากว่าเฉินเฉียงรับแต้มคะแนนของหลินฟานมาทั้งหมด อย่าว่าแต่ที่สองเลย ที่หนึ่งเขาก็ยังได้รับมาด้วยซ้ำ

แต่เฉินเฉียงกับอธิบายเรื่องทุกอย่างออกมาให้ผู้คนรับฟังซะขนาดนี้ แล้วเขาจะปฏิเสธเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

นั่นก็เพราะหากเขานั้นดื้อดึง ดีไม่ดีเฉินเฉียงจะถอนตัวขึ้นมาจริงๆ และนี่จะทำให้สำนักเต่าดำตกไปอยู่ที่โหล่อีกครั้ง

เฉินเฉียงได้มองไปที่เฉียนฝู่และส่ายหัวออกมา “เป็นไปไม่ได้ที่จะแบ่งครึ่ง ข้านั้นไม่ไร้ยางอายขนาดนั้น”

“หากเป็นไปได้ ข้าต้องการคะแนนเพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าให้เจาะจงก็คือข้าขอรับคะแนนเพียงสามส่วนจากสิบส่วนของแต้มคะแนนหลินฟานก็พอ”

ความจริงแล้วเขาเองก็อยากจะยกแต้มคะแนนทั้งหมดให้กับเจิ้งยี่ไปจริงๆ

แต่เมื่อได้เห็นท่าทีของเฉียนฝู่แล้ว เขารู้ได้ในทันทีว่าหากเขาทำอย่างนั้น เขาคงจะต้องแตกหักกับสำนักของตนอย่างสมบูรณ์

นี่คือสิ่งที่เขานั้นไม่อยากจะเห็นมากที่สุด

ยังไงซะที่นั่น เข้ายังมีทั้งอาจารย์และศิษย์พี่ ชายหญิงที่รักใคร่เขาอยู่อีกหลายคน

หากว่าเขาทำแบบนี้ พวกเขาคงทำตัวห่างเหินจากเขาไปชั่วชีวิต

แถมนั่นจะทำให้อีกสามสำนักดูถูกเขาอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ยังไงซะเฉียนฝู่และสำนักเต่าดำคือรากฐานของเขา

คนเรานั้นไม่ควรลืมรากฐานของตน หากไม่ใช่เพราะเขาได้เข้าสำนักเต่าดำก็คงจะไม่มีเขาในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะห่างไกลขนาดไหน เขาเองก็ยังเป็นศิษย์ที่จบจากศิษย์สำนักเต่าดำ

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเขาเลือกที่จะรับแต้มคะแนนเพียงหนึ่งในสาม นี่จะทำให้สำนักเต่าดำนั้น แม้จะไม่ได้ที่หนึ่งแต่ยังคงได้ที่สองอยู่ดี

ถึงแม้เฉียนฝู่จะไม่อยากจะเห็นด้วย แต่เรื่องเกินกว่าที่เขาจะคุมได้แล้วจึงทำได้เพียงยอมรับผลนี้

หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ทุกคนจึงได้ยอมรับข้อเสนอของเฉินเฉียง

“เฉินเฉียง ข้านั้นไม่ว่ายังไงก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้าอยู่ดี”

“เจ้าคงไม่ได้ลืมไปนะว่าที่หนึ่งในการประลองสี่สำนักนี้คือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่มีเพียงระดับราชาเท่านั้นที่ฝึกมันได้”

“นี่เจ้าคิดจะถอดใจเรื่องนั้นไปจริงๆเหรอ”

“ท่านเว่ย ข้านั้นไม่ได้ถอดใจแต่ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก อีกอย่าง ข้ารู้ตัวดีว่าในตอนนี้ความสามารถของข้านั้นมีแค่ไหน ต่อให้ข้าได้ที่หนึ่งก็ไม่มีใครเห็นด้วยอยู่ดี”

“ว่าแต่ ข้าขอถามอะไรสักหน่อยเถอะ ข้านั้นต้องยอมคืนของที่ได้จากการประลองอย่างแก่นคริสตัลหรือสมุนไพรพวกนั้นรึเปล่าครับ”

“แน่นอนว่าไม่ สินสงครามที่ได้จากการประลองย่อมตกเป็นของผู้ที่ได้มันไป”

เฉินเฉียงตาลุกวาวในทันที เขาได้มองไปยังหลัวเฟิงที่เป็นผอ.สำนักเสือขาวแล้วถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นของที่เหลือของหลินฟานเองข้าก็ควรจะได้มันมาใช่รึเปล่า”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เด็กนี่ ข้านึกไว้แล้วว่าเจ้าต้องคิดเรื่องนี้อยู่” เว่ยหยวนตี้ได้ยิ้มและนำแหวนของหลินฟานออกมาวางไว้บนมือ “เฉินเฉียง ข้านั้นสามารถให้ของทุกอย่างที่อยู่ในนี้ได้ เว้นแต่ของสิ่งนี้เท่านั้น”

หลังจากพูดจบ เว่ยหยวนตี้ได้หยิบแผ่นพลังงานของหลินฟานออกไป

“โอ้ ท่านเว่ย ไอ้นั่นเอาไปได้เลย ข้าไม่ต้องการมัน” เฉินเฉียงได้ลอบถอนลมหายใจอย่างหนักก่อนที่จะรับแหวนมาในทันที

แน่นอนว่ากระบี่ทองคำและแผ่นพลังงานที่เหลือยังคงอยู่ข้างใน

นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในแหวนของหลินฟาน

แต่เดิม หลัวเฟิงเองนั้นความจริงแล้วต้องการจะจิ๊กกระบี่ทองคำเอาไว้ แต่ก็โดนเว่ยหยวนตี้ปฏิเสธอย่างหัวชนฝา

นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้เฉินเฉียงได้พูดออกมามากมายหลายครั้งแล้วว่าการทำตัวของสำนักเสือขาวนั้นมันมากเกินกว่าที่สมควรจะยอมรับได้ไปมากโข หากว่าเขานั้นยังคิดจะนำกระบี่ทองคำนี้ไปอีก เว่ยหยวนตี้บอกได้เลยว่าเฉินเฉียงจะต้องไปสร้างเรื่องให้สำนักเสือขาวอย่างไม่หยุดหย่อนอย่างแน่นอน

หลังจากพูดคุยกันเสร็จสิ้นแล้ว เว่ยหยวนตี้และผอ.สี่สำนักก็ได้เดินออกจากเต็นท์และกลับไปที่ปรัมพิธี

“ศิษย์สี่สำนัก การประลองในครั้งนี้จบลงแล้ว และผลคะแนนได้ออกมาแล้วเช่นกัน”

“ด้วยการที่หลินฟานและศิษย์สำนักคนอื่นที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปแล้วได้สร้างปัญหาในการประลองในครั้งนี้ ด้วยความร่วมมือระหว่างเฉินเฉียงแห่งสำนักเต่าดำและเจิ้งยี่แห่งสำนักมังกรอาชูร่า ทำให้พวกมันถูกกำจัดได้จนหมด”

“และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าเพื่อที่จะเป็นรางวัลให้กับทั้งสองคน พวกเราจึงเห็นพ้องกันว่าจะมอบคะแนนของหลินฟานจำนวนสองในสามให้กับเจิ้งยี่ ส่วนอีกหนึ่งสามนั้นให้กับเฉินเฉียง”

“และนี่คือคะแนนสุดท้าย”

“อันดับหนึ่ง เจิ้งยี่ สำนักมังกรอาชูร่า 81,270 คะแนน”

“อันดับสอง เฉินเฉียง สำนักเต่าดำ 59,062 คะแนน”

“อันดับสาม เว่ยฉิงเชิน สำนักวิหคอสนีบาต 39,840 คะแนน”

“อันดับสี่ เฉียวกัง สำนักเสือขาว 39,840 คะแนน”

“อันดับห้า หลูฟาง สำนักเต่าดำ 34,400 คะแนน”

…..

เจิ้งยี่เมื่อได้ยินก็ยืนขึ้นในทันที เป็นตอนนี้ที่เขาได้ยินเสียงของเฉินเฉียง

“เจิ้งยี่ นี่คือความคิดของข้า ไม่ต้องค้านอะไรหรอก”

“ยังไงซะเจ้าเองก็ต้องออกจากสำนักมังกรอาชูร่าอยู่แล้ว เจ้าไม่คิดจะสร้างความรู้สึกดีๆให้สำนักเลยรึไงกัน”

หลังจากทำท่ายึกยักอยู่ครู่หนึ่ง เจิ้งยี่จึงทำได้เพียงยอมรับความหวังดีของเฉินเฉียงไว้เท่านั้น และนี่ทำให้เขามองเฉินเฉียงต่างไปจากเดิม

เขาคิดขึ้นมาว่า การติดตามเฉินเฉียงนี้คงจะทำให้เขาสร้างโลกที่คิดฝันไว้ได้เป็นแน่