“เหอะ! แกคิดว่าฉันจะขายหมาของฉันให้แกง่ายๆ งั้นเหรอ? ไม่มีทาง! ฉันไม่ขายมันให้แกแน่นอน!”

หลิวเทียนอี้ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้เขาจะไม่ยอมฝั่งตรงข้ามแน่นอน วันนี้เขาจะพูดทับถมให้อีกฝั่งจมดินให้ได้เพื่อระบายความแค้น!

ในทางกลับกัน ใบหน้าเล็กๆ ของหลิวลู่กลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าติงติงดูมีความสุขมาก! ก่อนหน้านี้ฉันยังเห็นว่ามันซึมไม่ยอมกินอะไรอยู่เลย ถวนถวนบอกฉันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพอมันเห็นลูกหมาของเธอมันกลับมีอาการดีขึ้นแบบนี้?”

ความขัดแย้งระหว่างเด็กมักง่ายที่จะคืนดี หลิวลู่มองไปที่ ถวนถวนด้วยสีหน้าเบิกบานไม่มีวี่แววของความขุ่นเคืองจากเรื่องในอดีตเลย

ก่อนหน้านี้ ติงติงของหลิวลู่ก็ไม่ยอมกินอาหารมาหลายวันแล้วเหมือนกันและดูเซื่องซึมไม่ต่างอะไรกับเจ้าลูกกวาดแม้แต่น้อย ซึ่งทางหลิวลู่เองก็กำลังอ้อนวอนให้พ่อของเขาพาเจ้าหมาตัวนี้ไปโรงพยาบาล เขาไม่คิดเลยว่าจู่ๆ วันนี้อาการของมันจะดีขึ้นอย่างทันตาเห็น!

“ถวนถวน… ฉันขอโทษ… เมื่อวันนั้นฉันไม่ควรพูดกับเธอแบบนั้นเลย…”

เมื่อรู้สึกอารมณ์ดีและนึกถึงเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว หลิวลู่ก็รู้ว่าตัวเองผิดเขาจึงเริ่มขอโทษอย่างรวดเร็ว

“ไม่เป็นไร ถวนถวนไม่คิดอะไรแล้ว แค่ตอนนี้ถวนถวนเห็นเจ้าลูกกวาดมีความสุขก็เพียงพอแล้ว”

ถวนถวนไม่สนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่แล้ว เพราะพ่อของเธอได้ระบายความโกรธของเธอแล้ว ขณะนี้เธอจดจ่ออยู่กับแค่ลูกหมาสองตัวที่กำลังเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานเท่านั้น

ในทางกลับกันเมื่อเห็นภาพนี้ หลิวเทียนอี้กลับพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด เขารีบเดินเข้าไปดึงลูกชายของเขาให้ลุกขึ้นทันที

“หลิวลู่ กลับเข้าไปข้างใน อย่าไปคุยกับคนชั้นต่ำที่ไม่ได้รับการอบรม! เดี๋ยวจะติดเชื้อเอา!”

ฉากนี้ทำให้ถวนถวนตกใจเป็นอย่างมากจนเธอเริ่มเบะปากกำลังจะร้องไห้ และในเวลาเดียวกันสายตาของอวี้ฮ่าวหรานก็กลายเป็นเดือดดาลทันทีกับภาพตรงหน้า

ทำไมคนบางคนมันถึงเจ็บแล้วไม่รู้จักจำ! หรือว่าทางแก้เดียวคือต้องฆ่าคนประเภทนี้ให้ตายเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทนรำคาญใจอีก?

คนแบบนี้ต้องถูกหวดถึงจะสำนึก?

แต่แล้วในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็มีรถ BMW สีน้ำเงินเข้มเข้ามาจอดที่หน้าบ้านของหลิวเทียนอี้

ชายหนุ่มที่เดินลงมาจากรถดูมีราศีเป็นอย่างมาก และในเวลาเดียวกัน หลิวเทียนอี้ก็ได้เดินผ่านอวี้ฮ่าวหรานออกไปดูข้างนอกว่าใครมา

“เอ๊? พี่หวังเองงั้นเหรอ? พี่มีอะไรงั้นเหรอทำไมถึงมาหาฉันวันนี้?”

หลิวเทียนอี้เอ่ยทักผู้ที่เพิ่งมาเยือนบ้านของเขาด้วยท่าทางเคารพสุดฤทธิ์

เขารู้จักชายหนุ่มคนนี้ เพราะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของโชว์รูมเขาที่เพิ่งสั่งรถหรูไปเกือบ 10 คันติดต่อกัน และยังได้ยินมาว่าฝั่งตรงข้ามมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตามวันนี้สถานการณ์กลับแปลกออกไป เพราะชายหนุ่มกลับไม่ทักเขาก่อนแต่กลับหันไปทักอวี้ฮ่าวหรานที่เดินตามออกมาแทน

“เอ๊? ท่านประธานอวี้? ไม่คิดเลยว่าจะพบท่านที่นี่ ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้?”

“หืม?”

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ผู้จัดการหวังของเขาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

ใช่แล้ว ผู้มาใหม่คือผู้จัดการหวังของเครือฮ่าวหราน ซึ่งอวี้ฮ๋าวหรานนับว่าชายคนนี้คือลูกน้องที่เขาไว้ใจที่สุดคนหนึ่ง

แน่นอนว่าบทสนทนาแบบนี้ทำให้หลิวเทียนอี้สับสน!

อะไร? ประธานอะไร? หมายความว่ายังไง?

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

เขาไม่คิดเลยว่าคนที่ดูสูงส่งอย่างผู้จัดการหวังจะโค้งให้กับชายหนุ่มที่เป็นศัตรูของเขาแบบนี้!

“อ….เอ่อ…พี่หวัง พี่รู้จักคนๆ นี้งั้นเหรอ?”

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตรงหน้ามันจะชัดเจน แต่หลิวเทียนอี้ก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจอีกรอบ

“อ้าว นี่คุณไม่รู้จักท่านประธานของผมงั้นเหรอ ผมฉันคิดว่าคุณรู้จักแล้วซะอีก? นี่คือประธานอวี้ เป็นประธานบริษัทของผมเอง”

“หะ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลิวเทียนอี้แสดงสีหน้าโง่งมในทันที!

ในสายตาของเขา ผู้จัดการหวังคนนี้คือตัวตนที่สูงส่ง เป็นคนที่เขาเชิดชูเอาเป็นแบบอย่าง แต่ตอนนี้คนที่เขารังเกียจอย่างอวี้ฮ่าวหรานกลับกลายเป็นเจ้านายของผู้จัดการหวังไปซะนี่!

แม่งเอ๊ย เมื่อกี้ฉันด่าเจ้านายของผู้จัดการหวังไปเพียบเลย!

ฉันทำเรื่องโง่ๆ ลงไปอีกแล้ว!!

การล่วงเกินตัวตนระดับนี้ หากอีกฝ่ายอารมณ์เสียจริงๆ แค่เพียงประโยคเดียวเขาคงโดนถีบออกจากงานและไม่กล้ามีบริษัทไหนเข้ารับทำงานอีกตลอดชีวิตแน่นอน!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เหงื่อเม็ดโตๆ ก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของหลิวเทียนอี้ เขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำที่โง่เขลาของตัวเองก่อนหน้านี้

“ป…ป…ประธานอวี้! ผมไม่รู้จักท่านมาก่อน ดังนั้นโปรดอย่าโกรธเคืองผมเลย….โปรดให้อภัยผมด้วย!!!”

หลิวเทียนอี้รีบเดินไปคุกเข่าเกาะแข้งเกาะขาอวี้ฮ่าวหรานทันทีด้วยความตื่นตระหนก เขาขอโทษเป็นพัลวันจนเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานทำแค่เพียงสลัดให้หลิวเทียนอี้ ออกไปห่างๆ ด้วยสีหน้ารังเกียจ เขาไม่อยากคุยอะไรกับคนที่น่ารังเกียจแบบนี้แม้แต่ครึ่งคำ

“ท….ท่านประธานอวี้ ม…เมื่อครู่ท่านอยากจะซื้อสุนัขของผมใช่ไหม ไม่มีปัญหา! ท่านสามารถนำมันไปได้เลย ผมจะให้ท่านฟรีๆ เลย!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ให้อภัยเขา และเมื่อนึกถึงอนาคตที่อาจจะตกงาน หลิวเทียนอี้ก็รีบนึกวิธีต่างๆ นานามาสร้างความพึงพอใจให้อวี้ฮ่าวหราน

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกดูถูกหลิวเทียนอี้มากกว่าเดิมจนเขาไม่ต้องการจะคุยด้วยเลย

“ผู้จัดการหวัง นี่คุณกำลังตามหาผมอยู่รึเปล่า?”

“อ้อไม่มีอะไรครับท่านประธาน ผมแค่เห็นว่ารถของท่านประธานจอดอยู่ที่นี่ ผมก็เลยลงมาดู”

ผู้จัดการหวังเหลือบมองหลิวเทียนอี้และเข้าใจอย่างคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น

ไอ้อ้วนคนนี้นี่มันมีตาแต่ไร้แววจริงๆ โง่เง่าเต่าตุ่นสิ้นดีที่มาล่วงเกินประธานอวี้ของเขา!

“ช่างบังเอิญดีจริงๆ”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่อีกฝ่ายก็ช่วยให้เขาไม่ต้องเปลืองตัวเองลงไปจัดการกับหลิวเทียนอี้อีกต่อไป

และยิ่งไปกว่านั้น การที่หลิวเทียนอี้พยายามประจบประแจงเขาแบบนี้ มันก็ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องซื้อสุนัขตัวนี้กลับไปเลี้ยงที่ห้องด้วยตัวเอง

ต้องรู้ว่าแค่เลี้ยงสุนัขตัวเดียวก็วุ่นวายมากพอแล้ว ถ้าเลี้ยงพร้อมกัน 2 ตัวเขากับหลี่หรงคงปวดหัวตายแน่ๆ

“เจ้าลูกกวาด แกชอบหมาตัวเมียตัวนี้ใช่ไหม ไม่ต้องกังวล… ต่อไปนี้ฉันจะพาแกมาเยี่ยมมันบ่อยๆ”

ลูกกวาดดูเหมือนจะเข้าใจประโยคของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้ร่างกายของมันที่ขัดขืนอวี้ฮ่าวหรานเล็กน้อยตอนอุ้มมันขึ้นมาผ่อนคลายลงในทันที ก่อนที่มันจะเลียแขนของอวี้ฮ่าวหรานด้วยท่าทีพึงพอใจ

อวี้ฮ่าวหรานไม่แปลกใจที่เห็นการกระทำนี้ของเจ้าลูกกวาด หลังจากที่เขาเพิ่มสติปัญญาให้มัน มันควรจะเข้าใจคำพูดของเขาทุกอย่างอยู่แล้ว

หลังจากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงไม่สนใจหลิวเทียนอี้เหมือนเดิม เขาหันไปถามผู้จัดการหวังเกี่ยวกับบริษัท

“สองวันที่ผ่านมาฉันยังไม่ได้ถามข่าวคราวที่เกิดขึ้นในบริษัทเลย ช่วงนี้มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นบ้างไหม แล้วเจิ้งเหวยกัวยังสร้างปัญหาอยู่รึเปล่า?”

อวี้ฮ่าวหรานจำได้ว่าฝั่งตรงข้ามออกจากห้องประชุมไปด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น ดังนั้นเขาจึงไม่อยากไว้วางใจฝั่งตรงข้ามง่ายๆ

“เรียนท่านประธาน ช่วงนี้ทุกอย่างภายในบริษัทปกติดี ส่วนเจิ้งเหวยกัว ตั้งแต่เขาออกจากห้องประชุมครั้งล่าสุด เขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย”