“จะโทษหมอหลวงเหยาได้อย่างไรกันเล่า” เยี่ยนอ๋องขยับริมฝีปาก ก่อนทอประกายตาของวัยรุ่นที่หยิ่งผยองอย่างเยือกเย็น
“ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษคนโฉดที่วางยาพี่สามอย่างโหดเ**้ยม กับเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบก็ยังลงมือได้ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะหมอหลวงผ่านมาเห็น ฝังเข็มกรอกยา ช่วยชีวิตได้ทันท่วงที พี่สามยังจะรอดมาจนบัดนี้หรือ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เยี่ยนอ๋องก็ใส่ไม่ยั้ง โยงไปถึงเรื่องในวังที่ไม่ควรพูด หมอหลวงเหยาจึงส่งสายตาดุๆ มาปรามไม่ให้เขาพูดมาก เยี่ยนอ๋องจึงเงียบเสียงลง
และในตอนนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา ในมือถือห่อยาที่น้าอวี๋ชั่งและมัดให้เสร็จเรียบร้อยจำนวนหนึ่ง ส่วนน้าอวี๋ก็ถือถาดใส่น้ำชาที่ชงเสร็จตามมา
เหยากวงเหย้าบอกให้เยี่ยนอ๋องกับอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลง แล้วทั้งสามก็นั่งจิบน้ำชาด้วยกัน โดยไม่พูดถึงเรื่องเมื่อครู่อีก บรรยากาศกลับมาอบอุ่นในพริบตา
อวิ๋นหว่านชิ่นพูดถึงหนังสือเกี่ยวกับการรักษาควบคู่ไปกับการใช้ยาสมุนไพรที่นางพลิกดูเมื่อครู่ พร้อมกับขอคำชี้แนะในจุดที่ไม่เข้าใจ เหยากวงเหย้าเห็นนางสนใจวิชาการแพทย์จริงจัง ก็ชอบใจ ไหนเลยจะหวงความรู้ ตอบคำถามทีละคำถามอย่างใจเย็น
ทั้งสองคุยกันถูกคอ ทิ้งให้เยี่ยนอ๋องนั่งกร่อยอยู่อีกด้าน
เยี่ยนอ๋องจึงกอดอกอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้าสองคน คนแก่หนึ่ง กับสาวรุ่นหนึ่ง พูดคุยกันจนหูดับตับไหม้ขนาดนี้ ไหว้ฟ้าดินเป็นศิษย์อาจารย์กันเลยดีกว่า” ว่าแล้วก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นกับเหยากวงเหย้าจึงหยุดพูด หันมามองเยี่ยนอ๋อง ก่อนพูดขึ้นพร้อมกัน
“ดีเลย”
ทำเอาเยี่ยนอ๋องเกือบสำลักน้ำชา พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหยากวงเหย้าตอบรับ ก็ไม่รอช้า ถกกระโปรงขึ้น คุกเข่าลง ประสานมือ แล้วใช้นำชาต่างสุรา คารวะเหยากวงเหย้า
เหยากวงเหย้าไม่ใช่คนขี้อาย ชอบใครเกลียดใครก็แสดงออกมาตรงๆ จึงยิ้มแก้มแดงจนยิ่งดูคล้ายพระสังกัจจายน์เข้าไปอีก
หมอหลวงรับลูกศิษย์เป็นเรื่องปกติ ยิ่งหมอหลวงที่เกษียณแล้วยิ่งชอบนักศึกษา ประการแรก ได้ค่าเล่าเรียนมาจุนเจือชีวิตในบั้นปลายให้ดียิ่งๆ ขึ้น ประการที่สอง สามารถเผยแพร่ทักษะการแพทย์ของตนต่อ
ยิ่งตัวเขาเอง ชีวิตนี้ไม่เคยรับศิษย์อย่างเป็นทางการมาก่อน อย่างมากก็ได้แต่สอนหมอและผู้ช่วยหมออยู่ในสำนักหมอหลวง พูดไปแล้วก็แปลก เมื่อครู่เยี่ยนอ๋องแค่พูดประชดไปเช่นนั้นเอง แต่กลับทำให้เขานึกขึ้นได้ จึงไม่รอช้า คิดว่าตนกับเด็กสาวน่าจะมีวาสนาต่อกัน
หลังจากยิ้มอยู่สักพัก เหยากวงเหย้าค่อยทำหน้าเคร่งขรึม
“เสียดายเจ้าเป็นคุณหนูบ้านขุนนาง ไม่มีสิทธิเข้าวัง สมัครเป็นหมอหลวงหญิง ข้าจึงได้แต่สอนวิชา
บางอย่างให้เป็นการส่วนตัวแล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้า ที่ต้องคิดและทำความเข้าใจด้วย
ตัวเอง อีกทั้งเราสองคนก็ไม่สามารถเรียกศิษย์อาจารย์กันต่อหน้าผู้อื่น ซึ่งไม่ค่อยเป็นธรรมกับเจ้าสักเท่าไหร่”
เช่นนี้ ไม่ขอเป็นศิษย์ ย่อมไม่ได้แล้ว
ออกจากบ้านมาคราวนี้ เมื่อเก็บทองที่ตกอยู่บนพื้นได้ อวิ๋นหว่านชิ่นใยต้องใส่ใจอีกว่าทองมีจำนวนมากน้อยเท่าไร จึงแย้มยิ้ม
“ไม่มีปัญหา กลัวก็แต่ว่าเมื่อถึงเวลา อาจารย์จะบ่นชิ่นเอ๋อร์ที่โง่เขลาเบาปัญญามากกว่า”
เหยากวงเหย้าถูกปากหวานๆ ของนางเยินยอเสียจนปลื้มปิติ จึงลุกเดินไปที่ตู้หนังสือ
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกว่าเขาจะให้หนังสือเกี่ยวกับการแพทย์กับตน ไม่คิดว่าเหยากวงเหย้าจะหยิบกระดาษที่ใหม่และเรียบซึ่งอยู่บนตู้ออกมาแผ่นหนึ่ง ม้วนแล้วส่งให้อวิ๋นหว่านชิ่น
“ข้าเห็นว่าเจ้ามีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเรียนรู้ถึงขั้นไหนแล้ว กระดาษแผ่นนี้เป็นบททดสอบก่อนเข้าเรียน เจ้าเอากลับบ้านไปทำให้เสร็จโดยห้ามเปิดดูหนังสือ แล้วส่งมาให้ข้า ข้าค่อยดูอีกที”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หมอหลวงสอนลูกศิษย์ไม่เหมือนใครจริงๆ จึงพยักหน้าตอบรับ แล้วส่งให้เมี่ยวเอ๋อร์เก็บไว้ให้ดี ขณะกำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก น้าอวี๋ยืนอยู่หน้าประตู แม้สีหน้านางเปลี่ยนไปไม่มาก แต่มิได้ยิ้มอบอุ่นเหมือนตอนอยู่ด้านนอกอีก นางโบกมือไหวๆ ก่อนตะโกนเบาๆ
“หมอเหยา”
เหยากวงเหย้าเห็นสีหน้าน้าอวี๋ ก็เก็บรอยยิ้มคืนกลับ แล้วก้าวออกไป
น้าอวี๋กระซิบข้างหูเขาไม่กี่คำ สีหน้าของเหยากวงเหย้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน หันมามองเยี่ยนอ๋อง
เยี่ยนอ๋องรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงเลิกคิ้วสวย แล้วยกชุดยาวลุกขึ้นยืน ขอตัวกับอวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนเดินตามเหยากวงเหย้าออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าอาจมีคนไข้มา จึงไม่สนใจ เพียงยกน้ำชาขึ้นจิบรอ
พอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นว่าในห้องไม่มีใครอยู่ กลับทำท่าลับๆ ล่อๆ ก่อนเอ่ยปาก
“คุณหนูใหญ่ คนในหมู่บ้านนี้ คล้ายไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป”
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่า เมี่ยวเอ๋อร์กำลังจะบอกตนว่าชาวบ้านล้วนป่วยเป็นโรคระบาดมาก่อน จึงแปลกใจว่าเมื่อครู่เมี่ยวเอ๋อร์ไม่อยู่ เหตุใดจึงรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับได้ยินนางพูดเสียงเบาว่า
“…เมื่อครู่ตอนบ่าวชงชาอยู่กับน้าอวี๋ ได้ชวนนางคุยเล่นไปพลางๆ ก็รู้สึกว่านางดูสูงสง่า พูดจาไม่มีสำเนียงคนบ้านนอกเลย ไม่เหมือนชาวบ้านที่โตมาในชนบท และพอลองสังเกตดูดีๆ ก็เห็นโดยไม่ตั้งใจว่า ตรงหน้าอกนางมีป้ายหยกห้อยอยู่ ซึ่งป้ายหยกนั้นก็ใช่ว่าชาวบ้านร้านตลาดจะเป็นเจ้าของกันได้ กระทั่งคนในบ้านเราก็ไม่เห็นว่าใครมี…บ่าวแกล้งถามไปไม่กี่คำ น้าอวี๋ก็บอกแต่เพียงว่า นางเคยเป็นบ่าวอยู่ในจวนจิ่งหยางอ๋องเท่านั้น แต่ดูจากท่าทางนาง บ่าวกลับไม่ค่อยเชื่อว่านางเคยเป็นแค่บ่าว จะว่าไป คุณหนูใหญ่เจ้าคะ รู้สึกไหมว่า หมู่บ้านนี้ดูแปลกๆ พิกล ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ดูพิลึกกึกกือ…”
เยี่ยนอ๋องเพิ่งเล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านสิบแปดครัวเรือนในหมู่บ้านล้วนติดโรคระบาดมา โดยมาจากทั่วทุก
สารทิศในเมืองหลวง จึงที่มีสถานะและอาชีพที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคติดต่อในตอนนั้น นอกจากชาวบ้าน
ทั่วไป ก็มีทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นสูงคละเคล้าอยู่ด้วยกัน
ช่วงที่โรคกำลังระบาดนั้น โรคไม่เลือกว่าท่านเป็นชนชั้นสูงหรือขอทาน เวลาเจ้าหน้าที่ทางการตรวจและคัดกรองคน ก็ไม่สนใจว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ล้วนรีบดึงท่านออกมาแล้วลากตัวไป
ถ้าบอกว่าน้าอวี๋เป็นลูกผู้ดีมาก่อน พอติดโรคจึงถูกคนที่บ้านทอดทิ้ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หมู่บ้านนี้ ไม่แน่ว่า ยังมีคนที่สถานะสูงส่งกว่านางอีก
เพียงแต่ พอเมี่ยวเอ๋อร์พูดขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยรู้สึกเอะใจ ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่ว่า เหตุใดฉินอ๋องถึงคิด
ช่วยชีวิตคนเหล่านี้ไว้ เป็นคนธรรมะธรรมโม เห็นคนเดือดร้อนก็ช่วยหรือ พอเหอะ นางไม่เชื่อว่าเขาจะทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน
เช่นนี้ ดูไปแล้ว จุดประสงค์ที่เขาช่วยชีวิตคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ อาจเป็นเพราะภูมิหลังของคนเหล่านี้จำนวนหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่บ้าง ตั้งแต่เรื่องสถานะสูงส่งของเขา จนถึงคดีเหมืองแร่ที่เขาชิงเหอ ตอนนี้ยังมีหมู่บ้านไร้ชื่อนี้อีก นางไม่รู้จริงๆ ว่าที่ฉินอ๋องป่วยออดๆ แอดๆ ภายนอกดูอ่อนน้อม ไม่สนใจแย่งชิงอำนาจนั้น จริงๆ แล้วคิดก่อการอะไรอยู่
ซึ่งตอนนี้ ถ้าใครบอกนางว่า ฉินอ๋องไม่สนใจบัลลังก์มังกรตัวนั้นแม้แต่น้อย นางจะเชื่อหรือ
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามโดยไม่รู้ตัว เยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้าก็ยังไม่กลับมา อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าสายมากแล้ว จึงไม่คิดรออีก ลากเมี่ยวเอ๋อร์เดินออกไป