บทที่ 157 ลงชื่อในหนังสือสมรส

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ด

ลงชื่อในหนังสือสมรส

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อาจบอกความกังวลแก่เสวี่ยเจียเยว่ได้ จึงต้องใช้คำอื่นมาเกลี้ยกล่อมเด็กสาว

“หากเจ้าลงชื่อในหนังสือสมรสกับข้าแล้ว ต่อไปเจ้าก็จะกลายเป็นสตรีที่มีสามี ย่อมปลอดภัยกว่าสตรีที่ยังไม่ออกเรือน อีกอย่าง… ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องแต่งงานกับข้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งพยายามเอ่ยเกลี้ยกล่อม ทำทุกอย่างเพื่อทำลายความกังวลใจของเสวี่ยเจียเยว่

“ส่วนเรื่องอื่น ตอนนี้เจ้ายังเด็ก ข้าจะยังไม่บังคับเจ้า รอให้ข้าสอบผ่านระดับเมืองหลวง ต่อหน้าพระที่นั่ง จนได้รับตำแหน่งขุนนางแล้ว และเจ้าถึงวัยปักปิ่นค่อยว่ากัน”

เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่เข้าใจว่า ตนกลัวว่าการแต่งงานกับเขาอาจเร็วเกินไป แต่ความเป็นจริงแล้วเธอเพียงกังวลเรื่องนั้นของสามีภรรยา เพราะตอนที่ได้สัมผัสส่วนนั้นของเขา ขนาดมันใหญ่นัก ทำให้เธอตกใจมิใช่น้อย จึงอยากยืดเวลาออกไป แต่ตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งรับปากแล้ว และเธอเองก็คิดเช่นนั้น ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วต้องออกเรือน การลงชื่อในหนังสือสมรสกับชายหนุ่มก่อนเพื่อให้เขาวางใจย่อมเป็นเรื่องที่ดี ต่อไปในภายภาคหน้าพวกเขาทั้งสองคนก็จะบาดหมางกันน้อยลง

ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างมีความสุข “ได้สิเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งคิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเจียเยว่จะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นชายหนุ่มจึงมิกล้าเชื่อ กลับเป็นเด็กสาวที่เร่งเร้าเขา

“เช่นนั้นท่านก็ไปเขียนหนังสือสมรสมาให้ข้าลงชื่อ”

เสวี่ยหยวนจิ้งลุกจากเก้าอี้หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องหนังสือ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา แล้วจับมือเสวี่ยเจียเยว่ เพราะต้องการพาอีกฝ่ายเข้าไปในห้องหนังสือกับเขาด้วย

แม้ว่าห้องหนังสือจะอยู่ทางทิศตะวันออกของเรือน เพียงเขาเงยหน้าขึ้นมาก็สามารถมองเห็นเสวี่ยเจียเยว่ที่อยู่ในห้องโถงได้ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เด็กสาวหนีออกจากเรือนเมื่อครู่ เขายังรู้สึกหวาดผวา จึงอยากให้อีกฝ่ายอยู่ห้องเดียวกันกับเขาตลอดเวลาถึงจะวางใจได้

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้คัดค้านอะไร เธอเดินตามเขาไปที่ห้องหนังสือฝั่งตะวันออกอย่างว่าง่าย

เมื่อมาถึงห้องหนังสือ เสวี่ยหยวนจิ้งจุดตะเกียงแล้วให้เสวี่ยเจียเยว่นั่งลงบนเตียงไม้ริมหน้าต่าง ส่วนตนก็วางกระดาษลงบนโต๊ะแล้วฝนหมึก จากนั้นจึงยกพู่กันขึ้นแล้วเริ่มเขียนหนังสือสมรสของพวกเขา

เดิมทีความสามารถด้านการเขียนเรียงความของเขานั้นดีมาก และเสวี่ยหยวนจิ้งก็คิดเรื่องหนังสือสมรสกับเสวี่ยเจียเยว่ไว้นานแล้ว ทุกถ้อยคำถูกประทับลงในสมอง ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ต้องคิดสิ่งใดให้มากความ แค่ยกพู่กันขึ้นก็สามารถเขียนได้อย่างลื่นไหล

เขาลงชื่อของตนในหนังสือสมรสสองใบ จากนั้นก็ลุกขึ้นเรียกเสวี่ยเจียเยว่เข้ามา แล้วส่งหนังสือสมรสทั้งสองใบให้อีกฝ่าย

เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือไปรับ ก่อนจะก้มหน้าลงอ่าน เสวี่ยหยวนจิ้งถือพู่กันยืนอยู่ข้างกายเด็กสาว มองใบหน้าด้านข้างอันงดงามของอีกฝ่าย ในใจเกิดความคาดหวังและตื่นเต้นไม่น้อย

เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่อ่านตัวอักษรในหนังสือสมรสเสร็จแล้ว เขาก็รีบยื่นพู่กันในมือของตนให้

เสวี่ยเจียเยว่รับพู่กันมา แล้วนำปลายพู่กันจุ่มลงในหมึก จากนั้นก้มหน้าลงเขียนชื่อของตนลงบนหนังสือสมรสทั้งสองใบ

ในช่วงที่ผ่านมา เสวี่ยหยวนจิ้งมักไม่พอใจกับตัวอักษรที่เสวี่ยเจียเยว่เขียน หรือไม่ก็คิดว่าท่าทางการจับพู่กันของอีกฝ่ายไม่ถูกต้อง อีกทั้งแรงที่ใช้ยังไม่เพียงพอ ทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายเขียนตัวอักษร ก็มักจะคอยแนะนำอยู่ข้างๆ เสมอ บางครั้งชายหนุ่มจะจับมือเสวี่ยเจียเยว่ พร้อมสอนว่าควรจะเขียนอย่างไร

แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวอักษรที่เสวี่ยเจียเยว่เขียนนั้นงดงามไร้ที่ติ เมื่อเด็กสาวเขียนเสร็จแล้ว ขณะที่ยื่นหนังสือสมรสให้เขา เสวี่ยหยวนจิ้งก็หรี่ตามองชื่อแซ่ที่อีกฝ่ายเขียนลงบนกระดาษ และรู้สึกว่าตัวอักษรที่คนอื่นๆ เขียนออกมานั้นไม่ดีเท่ากับตัวอักษรสามตัวของเสวี่ยเจียเยว่

เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอยากจะลงชื่อในหนังสือสมรสกับเธอมาโดยตลอด เมื่อเธอลงชื่อในหนังสือสมรสกับเขาในที่สุด เขาควรจะดีใจแล้วกอดเธอเอาไว้แน่นๆ กระทั่งจูบเธออย่างบ้าคลั่ง แม้แต่การรับมือกับจูบอันดุเดือดของเขาเธอก็คิดไว้เสร็จสรรพ

ทว่าตอนนี้เมื่อเธอยื่นหนังสือสมรสที่เขียนชื่อของตนทั้งสองใบให้แล้ว กลับเห็นสีหน้าว่างเปล่าของเสวี่ยหยวนจิ้ง ทั้งยังดูเหม่อลอย เขาไม่เพียงไม่จูบ ไม่กอด ไม่อุ้มเธอ ยังเอาแต่มองหนังสือสมรสทั้งสองใบในมือของตน ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเธอ

เสวี่ยเจียเยว่แปลกใจแต่ไม่ได้ถามอะไรออกมา

เธอถึงกับสงสัยว่าความรักที่แท้จริงของเขาอยู่ในหนังสือสมรสสองใบนั้น… ไม่ใช่เธอ

หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง เธอก็ลองเรียกเขา “ท่านพี่?”

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนจะไม่ได้ยินที่เธอเรียก เขายังคงเอาแต่จ้องมองหนังสือสมรสในมือเช่นนั้น

เสวี่ยเจียเยว่เรียกอีกครั้ง และคำตอบที่เธอได้รับก็คือ…

“เงียบก่อนสักครู่”

เสวี่ยเจียเยว่ปิดปากเงียบตามคำสั่งของเขาทันที

ช่างเถอะ เธอไปทำอาหารดีกว่า วันที่วุ่นวายเช่นนี้เธอหิวจะแย่

คิดได้ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงหมุนตัวและกำลังจะเดินจากไป แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้ามองเธออย่างตื่นตัวแล้วถามออกมา

“เจ้าจะไปไหน”

เขายังคงกังวลว่าเสวี่ยเจียเยว่จะหนีไป

เสวี่ยเจียเยว่หยุดฝีเท้า ก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “วางใจเถอะ ข้าไม่หนีไปที่ใดหรอก ข้าหิว ข้าจะไปทำอาหาร”

เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยอย่างใจเย็น “อือ ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ”

ท่าทางของเขาดูงุนงง ไม่มีท่าทีนิ่งสงบเหมือนที่เคยเป็นมา

เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจว่าชายหนุ่มคงดีใจจนแทบบ้าไปแล้ว ถึงได้มีท่าทีที่ผิดปกติเช่นนี้ เธอจึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความ

เธอเดินออกไปนอกประตู และเดินเข้าไปในห้องครัว

ห้องครัวนี้อยู่ในเรือนด้านหน้า เมื่อมาถึงด้านในแล้ว เสวี่ยเจียเยว่กวาดตามองว่ามีผักอะไรบ้าง จากนั้นเธอพับแขนเสื้อขึ้น ผูกผ้าสำหรับกันเปื้อน ก่อนจะตักข้าวขึ้นมา ระหว่างรอข้าวสุกก็ล้างหน่อไม้ให้สะอาดแล้วนำมาหั่น

แต่หั่นหน่อไม้ไปได้เพียงครึ่ง ก็มองผ่านหน้าต่างและเห็นว่าแสงตะเกียงในห้องหนังสือพลันมืดลง

ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งคงอ่านตัวอักษรบนหนังสือสมรสอันล้ำค่าในมือเขาเสร็จแล้ว และได้สติกลับมาเสียที

เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเขา ยังคงหั่นหน่อไม้บนเขียงไม่หยุด จากนั้นเธอจะใส่เนื้อหมักเกลือลงไปตุ๋นพร้อมกับหน่อไม้

ทว่ายังหั่นหน่อไม้ไม่เสร็จ เสวี่ยเจียเยว่ก็สังเกตเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งก้าวเท้าเข้ามาในครัว แล้วยื่นแขนมากอดเธอจากด้านหลัง เขาเกยคางบนไหล่เธอ พร้อมเอ่ยเสียงเบาอย่างเนิบนาบ

“เย็นนี้ทำอาหารอะไรบ้าง”

ขณะที่เขากล่าวออกมานั้น ลมหายใจที่ร้อนผ่าวก็พ่นกระทบใบหูเสวี่ยเจียเยว่ ทำให้เธอคันยุบยิบ

มือที่ถือมีดหั่นหน่อไม้อยู่นั้นสั่นเทา จนเกือบจะตัดนิ้วของตนเสียแล้ว

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งถามจบ เขาก็อ้าปากงับใบหูของเสวี่ยเจียเยว่ ทั้งยังดูดอย่างช้าๆ ราวกับเป็นอาหารอันโอชะที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ก็ไม่ปาน

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นระรัว ใบหน้าขาวดั่งหยกของเธอแดงก่ำขึ้นมาในทันที

เธอเอ่ยตำหนิเขา “ปล่อยเจ้าค่ะ”

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ยอมปล่อย กลับเลียติ่งหูเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยเบาๆ “ข้าอยากจูบเจ้า”

เสวี่ยเจียเยว่พูดไม่ออกอีกแล้ว…

เธอกำด้ามมีดในมือแน่นแล้วกัดฟันพูดออกมา “ไม่ได้ ข้าจะทำอาหาร”

เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้กำลังปรึกษาเสวี่ยเจียเยว่ เพียงบอกความปรารถนาของตนในตอนนี้เท่านั้น ครู่ต่อมาเขาก็ยื่นมือไปหยิบมีดในมือเด็กสาววางลงบนเขียง ก่อนจะจับคนร่างเล็กหมุนตัว แล้วก้มหน้าลงจูบริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของอีกฝ่าย

ขณะนี้เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเธอกำลังอยู่บนสวรรค์ เธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งโอบไว้ในอ้อมกอด และก้มหน้าลงจูบริมฝีปากนุ่ม

ตอนแรกเสวี่ยเจียเยว่ยังปฏิเสธเพราะเขินอาย แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ดิ้นอีกต่อไป ทั้งยังยื่นแขนไปกอดเอวบางของอีกฝ่าย และเริ่มตอบสนองจูบของเขาอย่างช้าๆ

เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมสัมผัสได้ ชั่วขณะนั้นการกระทำของพวกเขาทั้งสองฝ่ายยิ่งแนบแน่นมากขึ้น ราวกับเสวี่ยเจียเยว่คือของล้ำค่าที่สุดสำหรับชายหนุ่ม หากเขาใช้พละกำลังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เด็กสาวก็อาจจะบุบสลายได้

ทั้งสองคนจูบกันจนลืมทุกอย่าง รู้เพียงว่าจูบครานี้ดีกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา ภายในใจจึงเกิดความสนิทสนมเพราะหัวใจของทั้งสองฝ่ายเชื่อมต่อกัน และไม่มีอุปสรรคใดมาขวางกั้นระหว่างพวกเขาได้

ในที่สุดก็เป็นเสวี่ยเจียเยว่ที่ได้กลิ่นไหม้ของบางอย่าง เธอได้สติกลับมาในทันที และผลักเสวี่ยหยวนจิ้งออกไป จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปเปิดฝาหม้อออก

เป็นไปตามที่คาดเอาไว้… ข้าวที่อยู่ก้นหม้อนั้นไหม้เกรียมแล้ว

เธอไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเสวี่ยหยวนจิ้งดังมาจากด้านหลัง

เสวี่ยเจียเยว่โมโหจึงหันกลับไปถลึงตามองเขาอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดท่านต้องหัวเราะ เป็นเพราะท่านไม่ใช่หรือ ถ้าท่านไม่จูบข้า ข้าวหม้อนี้คงไม่ไหม้เช่นนี้ อีกประเดี๋ยวข้าจะเอาข้าวไหม้ให้ท่านกิน”

เธอพูดจบก็หมุนตัวกลับมาดูหม้อข้าวด้วยความโมโห

เสวี่ยหยวนจิ้งปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่บ่นไปเช่นนั้น ไม่คิดจะโต้แย้งแม้แต่คำเดียว และกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง พลางกระซิบข้างหูเด็กสาวเบาๆ

“เยว่เอ๋อร์ เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”