บทที่ 158 ชีวิตหลังแต่งงาน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยห้าสิบแปด

ชีวิตหลังแต่งงาน

การทำให้เสวี่ยเจียเยว่เป็นภรรยาของเขาคือสิ่งที่เสวี่ยหยวนจิ้งปรารถนามากที่สุด และในที่สุดเรื่องนี้ก็เป็นจริงเสียที ทว่าเมื่อมีหนังสือสมรสสองใบอยู่ในมือแล้ว เขากลับรู้สึกว่าสมองของตนว่างเปล่า แข็งทื่อไปทั้งร่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในใจของตนนั้นรู้สึกเช่นไร

ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้สติกลับมาจากความงุนงง ทันใดนั้นความสุขพลันพุ่งเข้ามาหาเขาราวกับพายุฝน ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมองหาเสวี่ยเจียเยว่ ทว่าเด็กสาวมิได้อยู่ในห้องหนังสือแล้ว

ในใจเขากระวนกระวายยิ่งนัก ทว่าจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้เหมือนเสวี่ยเจียเยว่จะพูดบางอย่างกับเขา แต่ตอนนั้นราวกับเขากำลังท่องอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน จึงได้ตอบอีกฝ่ายไปเช่นนั้น…

ชายหนุ่มเก็บหนังสือสมรสอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินไปยังห้องครัว

เมื่อมาถึงประตูห้องครัว เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เข้าไปในทันที กลับยืนพิงกรอบประตูมองเสวี่ยเจียเยว่อยู่ตรงนั้น

เพื่อสะดวกต่อการทำงานในห้องครัว ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงพับแขนเสื้อขึ้น และผูกผ้าสำหรับใช้กันเปื้อน มวยผมยังคงยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย เครื่องประดับบนตัวมีเพียงกำไลเงินที่เขามอบให้อีกฝ่ายตอนอยู่ที่เมืองผิงหยาง และตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เสวี่ยเจียเยว่ยังคงสวมติดกาย…

หัวใจชายหนุ่มพลันอ่อนยวบ ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน แล้วยื่นแขนเรียวยาวไปโอบกอดแม่นางน้อยจากด้านหลัง

ส่วนเรื่องหลังจากนั้นไหลลื่นเป็นธรรมชาติ เขาจูบอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ เสวี่ยเจียเยว่คือภรรยาของเขา เสวี่ยหยวนจิ้งอยากกอดเด็กสาวไว้เช่นนี้มิยอมปล่อย ต่อให้รู้ว่าข้าวในหม้อนั้นไหม้เกรียมแล้ว หรือเสวี่ยเจียเยว่จะตำหนิเขาเรื่องนี้ กระทั่งต้องกินข้าวที่ไหม้เกรียมทั้งหมดเขาก็เต็มใจ… เต็มใจยิ่งนัก

เขาเอื้อมมือไปกอดเสวี่ยเจียเยว่จากด้านหลังอีกครั้ง และก้มลงจูบลำคอขาวเนียนของอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เยว่เอ๋อร์ เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”

หลังจากกล่าวประโยคนี้ออกมา หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งเต็มไปด้วยความสุขและความสงบ ทำให้เขาอยากจะหัวเราะ อยากจะร้องขึ้นด้วยความดีใจ และอยากจะจูบภรรยาที่แสนน่ารักของเขาเช่นนี้ตลอดไป

ขณะเดียวกันใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงเรื่อ

ความจริงแล้วตอนที่ลงชื่อในหนังสือสมรสเธอยังไม่รู้สึกอะไร อีกทั้งหลังจากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งยังมีท่าทางงุนงง ดังนั้นเธอก็ยิ่งไม่อยากจะใส่ใจ เพราะท้องของเธอกำลังหิวมาก ทำอาหารกินถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

แต่เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกอดเธอเอาไว้เช่นนี้ และจูบไม่ยอมหยุด ทั้งยังเปล่งวาจาเช่นนั้นข้างหูเธอ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา พร้อมกับรู้สึกมีความสุขมากด้วย

ทว่าอย่างไรเสียความสุขก็ส่วนความสุข ถ้าเขายังยุ่งวุ่นวายไม่ยอมหยุดเช่นนี้ ก็อย่าได้คิดจะกินข้าวมื้อเย็นเลย

คิดได้ดังนั้นใบหน้าเล็กจึงบึ้งตึง ก่อนที่เสวี่ยเจียเยว่จะกล่าวออกมา “ข้ารู้ แต่สามีภรรยากันก็ต้องกินข้าว ท่านรีบปล่อยข้าก่อน ข้าจะทำอาหารต่อแล้ว”

แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะพยายามทำให้ตนดูมีพลังมากเท่าไร แต่ใบหน้าที่แดงเรื่อนั้นกลับทรยศเธอเสียได้ กระนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่อยากหักหน้าคนที่นับเป็นภรรยาแล้ว เขาจึงได้แต่ยิ้มและจูบพวงแก้มแดงเรื่อหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ไม่คิดจะรบกวนเสวี่ยเจียเยว่อีก แต่นั่งลงหน้าแท่นเตาพลางช่วยยัดฟืนเข้าไป

อาหารมื้อเย็นวันนี้ เสวี่ยเจียเยว่ทำหน่อไม้ตุ๋นเนื้อเค็ม กุนเชียงนึ่งหนึ่งจาน และผัดผักอีกอย่าง

แม้เมื่อครู่นี้เธอจะพูดไปเพราะความโกรธว่าจะเอาข้าวที่ไหม้เกรียมให้เสวี่ยหยวนจิ้งกิน แต่สุดท้ายแล้วก็ทำเช่นนั้นไม่ลง ข้าวส่วนที่ไหม้เกรียมถูกเธอโยนทิ้งไปหมดแล้ว โชคดีที่ข้าวด้านบนยังพอกินได้ กระนั้นก็ยังได้กลิ่นไหม้เล็กน้อย

ตอนนี้หัวใจของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความหวานชื่น ต่อให้ได้กลิ่นไหม้ในชามข้าว พวกเขาก็เต็มใจกิน

เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งนำถ้วยชามออกไปล้างทำความสะอาด ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ไปตักน้ำล้างหน้าบ้วนปาก

เพราะตอนกลางวันเธอร้องไห้อย่างหนัก ตอนนี้จึงรู้สึกเจ็บตาไม่น้อย เสวี่ยเจียเยว่คิดจะรีบล้างหน้าบ้วนปากให้เสร็จแล้วเข้าไปนอนพักผ่อน

หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว ขณะที่เธอกำลังล้างเท้าเพื่อเตรียมเข้านอนอยู่นั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินเข้ามาในห้องของเธอ

เขาล้างถ้วยชามเสร็จก็รีบร้อนจะเข้าไปหาเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อเห็นว่าเทียนในห้องของเด็กสาวสว่างขึ้น ประตูห้องก็ไม่ได้ปิด ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไป และเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังนั่งล้างเท้าอยู่บนเก้าอี้

เท้าขาวราวหิมะคู่นั้น นิ้วเท้าเล็กราวกับดอกมะลิที่ยังไม่ผลิบานก็ไม่ปาน เมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียนสีส้มที่ส่องประกายระยิบระยับเช่นนี้ ช่างดูเหมือนกับหยกงามล้ำค่า

ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งจ้องมองเท้าของเสวี่ยเจียเยว่ หัวใจของเขาสั่นสะท้านขึ้นมา จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้าตัวเองได้ จนเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กสาว

เดิมทีหลังจากเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้ามา สายตาของเสวี่ยเจียเยว่ก็จ้องไปที่เท้าทั้งสองข้างของตน ส่วนใบหน้านั้นแดงเรื่อไปก่อนแล้ว ขณะที่กำลังจะอ้าปากบอกเขา แต่เมื่อคิดอีกที ตอนนี้พวกเขาทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อไปจะต้องสนิทสนมกันมากกว่านี้อย่างแน่นอน ตอนนี้แค่ให้เขาเห็นเท้าจะเป็นอะไรไป ดังนั้นเธอจึงไม่ได้กล่าวอันใด เพียงก้มหน้าลงและปล่อยให้เขามองอยู่เช่นนั้น

เสวี่ยเจียเยว่ลืมไปว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นพวกชอบปฏิบัติ เพียงแค่มองจะไปพอได้อย่างไร เขาเดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ แล้วยื่นมือมาจับเท้าทั้งสองข้างของเธอในอ่างไม้

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นรัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ด้านใน อยากจะดิ้นให้เท้าหลุดออกมาจากฝ่ามือของเขา ขณะเดียวกันเธอก็กล่าวขึ้น

“ท่านพี่ ท่านจะทำอันใด รีบปล่อยข้าเร็วเข้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ยอมปล่อย ทั้งยังเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาว “อย่าขยับ ข้าจะล้างเท้าให้เจ้า”

เขาคิดว่าเธอล้างเท้าเองไม่ได้หรืออย่างไร ถึงต้องมาล้างให้ อีกอย่าง… การที่เขาลูบไล้หลังเท้าของเธอเบาๆ เช่นนี้ มันคือการล้างเท้าจริงหรือ

เสวี่ยเจียเยว่เขินอายจนพูดอะไรไม่ออก เมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียนเช่นนี้ ใบหน้าที่แดงก่ำของเธอก็ยิ่งเหมือนแสงแดดยามเช้าตรู่

อยากจะถีบหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งสักครั้งเสียให้ได้… เธอกัดฟันด้วยความโกรธอยู่ในใจ แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็ต้องปล่อยผ่านไปในที่สุด

ใครใช้ให้เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้เป็นสามีของเธอกันเล่า

อีกอย่าง… สามีจะใกล้ชิดกับภรรยาแล้วจะเป็นเรื่องไม่เหมาะตรงไหน หรือต้องก่นด่าว่าเขาเป็นคนมักมากในกาม

เมื่อคิดได้เช่นนั้น มุมปากของเสวี่ยเจียเยว่ก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อครู่นี้เขาเพิ่งรอดพ้นจากการถูกถีบหน้า เขาเพียงกลั้นหายใจใช้ฝ่ามือลูบเท้าอันขาวเนียนราวหยกของเด็กสาว

ช่างลื่นราวกับผ้าไหม เนียนนุ่มราวกับเต้าหู้ จนเขาไม่อยากปล่อยมือไปจากเท้าคู่นี้

กระทั่งชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าน้ำในอ่างไม้เย็นลง ด้วยความกังวลว่าเสวี่ยเจียเยว่จะหนาว เขาจึงยื่นมือไปหยิบผ้าสะอาดที่วางอยู่ด้านข้างมาเช็ดเท้าให้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

เขาเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่ซึ่งกำลังมองมาด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ หน้าบึ้งตึงก็ไม่เชิง

“ท่านพี่ ท่านล้างเท้าข้านานเหลือเกินเจ้าค่ะ”

พอถูกเย้าแหย่เช่นนี้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ไม่ได้สวมรองเท้าให้เสวี่ยเจียเยว่ แต่ลุกขึ้นแล้วอุ้มเด็กสาวก่อนจะพาไปที่เตียงนอน และวางคนร่างบอบบางให้นั่งลงเบาๆ นำผ้าห่มมาคลุมขาเรียวอย่างระมัดระวัง ราวกับว่าเอ็นดูอีกฝ่ายเหมือนเด็กคนหนึ่ง

เมื่อจัดผ้าห่มให้เรียบร้อยดีแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงนั่งลงบนขอบเตียง และจับมือเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยถาม “เจ้าชอบกินขนมร้านกุ้ยเซียงโหลวมากอย่างนั้นหรือ”

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นรัว ดูเหมือนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะได้ยินตอนที่เธอสนทนากับตันหงอี้ และยังรู้สึกไม่สบายใจ ตอนนี้จึงคิดจะมาเอาผิดกับเธอ

แต่เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้เสียสติไปเพราะความโกรธเหมือนก่อนหน้านี้ ที่จะเอาแต่อยากอวดดีกับเขา ตอนนี้เธอรู้วิธีจัดการกับเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว

เธอขยับไปกอดแขนชายหนุ่มพร้อมกับเผยรอยยิ้มสดใส เอ่ยด้วยวาจาอ่อนหวาน

“ข้าไม่ได้ชอบกินขนมร้านกุ้ยเซียงโหลวมากขนาดนั้น ที่เมื่อก่อนข้าชอบไปซื้อขนมที่ร้านนั้นบ่อยๆ ก็เพราะป้าหยางชอบกิน ข้าเลยต้องซื้อไปฝากนาง”

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ยังวนเวียนอยู่ในใจของเขาตลอดเวลา

“พวกเราขายเรือนหลังนี้ แล้วซื้อเรือนหลังใหม่ดีหรือไม่”

หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นแรงยิ่งขึ้น สิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดเกิดขึ้นแล้ว…

“ไม่ได้” เสวี่ยเจียเยว่ปฏิเสธทันที เมื่อเห็นสีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ค่อยดีเท่าไร เธอก็รีบเอ่ยเสียงอ่อน “ท่านพี่ ท่านลืมคำพูดในวันแรกที่พวกเราเข้ามาในเรือนหลังนี้ไปแล้วหรือ ท่านบอกว่าที่นี่คือเรือนของพวกเรา ในเมื่อมันคือเรือนแล้ว บอกว่าจะขายก็ขายทิ้งไปเลยได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ อีกอย่าง… ไม่ง่ายเลยที่จะจัดวางของในเรือนให้เป็นเช่นนี้ ท่านจะยอมละทิ้งความพยายามของตนเองจริงๆ หรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พูดอะไร เขาทำใจไม่ได้จริงๆ เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนขาดความรัก แล้วไม่ใช่เขาหรือที่เป็นความรักของอีกฝ่าย ของมากมายในเรือนหลังนี้ล้วนเป็นเขากับเสวี่ยเจียเยว่ซื้อมาจัดวาง เขาไม่อยากจากที่นี่ไป แต่คนที่อยู่ในเรือนตรงข้ามคือตันหงอี้…

เสวี่ยเจียเยว่รู้ถึงเรื่องที่ชายหนุ่มกังวลใจ จึงเป็นฝ่ายโอบกอดเอวเขาพร้อมกับเอนศีรษะพิงอกแกร่ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ระหว่างข้ากับตันหงอี้ไม่มีอะไรจริงๆ อีกอย่าง… พวกเราสองคนก็เพิ่งลงชื่อในหนังสือสมรสไม่ใช่หรือเจ้าคะ ตอนนี้พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ ท่านยังกังวลสิ่งใดอีก”

หรือชายหนุ่มกลัวว่าเธอจะนอกใจเขา

เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงไม่กล่าวคำใด แต่เขากลัวจริงๆ ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะมีใจให้บุรุษอื่น

เขารู้ว่าบางครั้งตนก็บังคับแม่นางผู้นี้มากเกินไป แต่อีกฝ่ายคือชีวิตของเขา… เป็นทุกอย่าง

เขารักเสวี่ยเจียเยว่จนถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้ และเมื่อไรก็ตามที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไปรักบุรุษอื่น เขาก็แทบจะเสียสติ

ตันหงอี้เป็นคนโดดเด่น ทั้งยังมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเสวี่ยเจียเยว่ หากพวกเขาได้พบหน้ากันเช่นนี้ทุกวัน แล้วถ้าเสวี่ยเจียเยว่ปันใจให้คุณชายผู้นั้น…

ดวงตาดำขลับของเสวี่ยหยวนจิ้งเต็มไปด้วยไอทะมึนและเหี้ยมเกรียม

แต่เมื่อนึกได้ว่ามีร่างที่งดงามราวกับหยกนุ่มๆ อันหอมหวานเข้ามากอด ทั้งยังยืนยันว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว เขารู้ว่าหากตนยังคงไม่มั่นใจในตัวอีกฝ่ายเช่นนี้ เกรงว่าเสวี่ยเจียเยว่จะต้องเดือดดาลขึ้นมาแน่ๆ

อย่าคิดว่าภรรยาของเขาจะเชื่อฟังเหมือนกระต่ายน้อยทุกครั้ง หากเสวี่ยเจียเยว่โกรธขึ้นมาจริงๆ อาจจะกระโดดกัดคนก็เป็นได้

เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็หลับตาทั้งสองข้างลง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งไอเหี้ยมเกรียมก็หายไปแล้ว กลายเป็นแววตาอ่อนโยนเหมือนที่ผ่านมา

เขากอดเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้เช่นกัน ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบผมอันนุ่มลื่นของอีกฝ่ายพลางเอ่ยเสียงเบา “อือ ข้าเชื่อฟังทุกอย่างที่เจ้าพูด”

ขณะที่เขาสัมผัสมวยผมของเสวี่ยเจียเยว่ ก็นึกถึงคำพูดที่ตันหงอี้กล่าวมาก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยขึ้นมาอีก “นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป หลังจากเราเอาหนังสือสมรสไปยื่นในที่ว่าการแล้ว เจ้าต้องทำมวยผมฟู่เหริน”

เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าการทำมวยผมฟู่เหริน คือการบอกให้คนอื่นรู้ว่าเธอแต่งงานแล้ว

แต่เธอเกล้าผมแบบนั้นไม่เป็นสักนิด และมวยผมที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เป็นป้าเฝิงที่สอนให้ทำเมื่อคราอยู่ในเมืองผิงหยาง เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ของเสวี่ยหยวนจิ้งซึ่งไม่มีน้ำเสียงขอคำปรึกษาเลย หากเธอพูดอะไรไปตอนนี้ เกรงว่าในใจของเขาคงคิดว่าเธอปฏิเสธ ไม่อยากบอกคนอื่นว่าพวกเขาสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้ว

หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เธอก็พยักหน้าตอบ “เจ้าค่ะ”

ใครใช้ให้เธอรักคนที่มีนิสัยขี้ระแวงและสงสัยเล่า เพราะไม่อยากทะเลาะกับเสวี่ยหยวนจิ้ง บางเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญ เธอจึงได้แต่ทำตามใจเขาเท่านั้น

นอกจากนี้เสวี่ยเจียเยว่ยังคิดว่า อย่างไรเสียก็เป็นเพียงมวยผมเท่านั้น ถ้าเธอเกล้าผมไม่เป็น แม้แต่สตรีที่แต่งงานแล้วก็ยังเป็นไม่ได้ เธอคงต้องขอคำแนะนำจากป้าหยาง

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลง ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย

จากนั้นทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสักพัก เพราะความห่างเหินระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว จึงสนิทสนมกันเหมือนที่เคยเป็นมา อีกทั้งยังลงชื่อในหนังสือสมรสแล้ว ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองแน่นแฟ้นมากขึ้น

ทุกครั้งที่เห็นเสวี่ยเจียเยว่พูดด้วยรอยยิ้ม เสวี่ยหยวนจิ้งก็อดไม่ได้จนต้องจูบอีกฝ่าย แต่เป็นเพียงแค่จูบ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น

กลับเป็นเสวี่ยเจียเยว่ที่ถูกเขาจูบจนหายใจถี่กระชั้นทุกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายระยิบระยับ ปลายนิ้วเกี่ยวชายเสื้อของเขาเอาไว้ ราวกับว่าไม่อยากปล่อยไปก็ไม่ปาน

เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งคิดจะจากไป แต่เมื่อลุกขึ้นแล้วก็นั่งลงบนขอบเตียงอีกครั้ง และคว้าคนร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอดอย่างรักใคร่

สุดท้ายชายหนุ่มก็บอกให้เสวี่ยเจียเยว่นอนหลับฝันดี ส่วนเขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปยังห้องของตน

ในเมื่อเขาได้สัญญากับเสวี่ยเจียเยว่แล้วว่าจะไม่ทำเช่นนั้นกับเด็กสาวเป็นการชั่วคราว เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมรักษาสัญญา

แม้ว่าทั้งสองจะลงชื่อในหนังสือสมรสกันแล้ว แต่เขาก็อยากจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กับเสวี่ยเจียเยว่ อยากแต่งงานกับแม่นางผู้นี้เพียงคนเดียว อยากให้ทุกคนรู้ว่าเด็กสาวแต่งงานกับเขาแล้ว และนับแต่นี้ไปอีกฝ่ายคือภรรยาของเขา

ทว่ายามนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมตัวสอบระดับเมืองหลวงและการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง

เขาจะต้องเป็นขุนนางในราชสำนักให้จงได้ มีอำนาจอยู่ในมือ เช่นนี้เขาจะสามารถปกป้องภรรยาที่บอบบางของตนได้เป็นอย่างดี และปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่ทำในสิ่งที่เจ้าตัวคิดอยากจะทำ