บทที่ 198 เสือดาวออกจากกรง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ยามนี้เสี่ยวฉีส่งหลินชิงเวยไปยังสวนไป่โซ่ว หลินชิงเวยสะพายล่วมยาลงจากรถม้าหน้าประตูใหญ่ เสี่ยวฉีพูดขึ้นอย่างไม่วางใจนักว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงอยู่ที่นี่เพียงลำพังไม่เป็นปัญหาหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังต้องย้อนกลับไป อีกประเดี๋ยวท่านอ๋องเสร็จงานแล้วจึงจะเสด็จมาที่นี่ จำเป็นต้องใช้รถม้าคันนี้พ่ะย่ะค่ะ”

หลินชิงเวยพูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เมื่อก่อนไม่เห็นเจ้าจะเอาใจใส่ข้าถึงเพียงนี้ ระยะนี้กลับเอาใจใส่อย่างยิ่ง”

เสี่ยวฉีเม้มปากด้วยท่าทางละอายแก่ใจอยู่บ้าง “เมื่อก่อนกระหม่อมมีตาหามีแววไม่ หากเสียมารยาทขอเจาอี๋เหนียงเหนียงโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องที่หลินชิงเวยออกนอกวังไปเพื่อคลี่คลายคดี ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อหลินชิงเวยอย่างใหญ่หลวง ผนวกกับ…

หลินชิงเวยหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง “มีตาหามีแววไม่ ข้ากลับดูไม่ออกว่าเจ้ามีตาหามีแววไม่ นี่เจ้ารักบ้านจึงรักนกกาที่อยู่ด้วย[1] หากข้ายังดูไม่ออกย่อมต้องเป็นข้าเสียเองที่มีตาหามีแววไม่แล้ว”

ทันทีเสี่ยวฉีได้ยินเช่นนั้นสีหน้าท่าทางบนใบหน้าของเขาไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก ราวกับถูกหลินชิงเวยพูดแทงใจดำก็มิปาน จึงกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย

หลินชิงเวยหันหน้าเดินเข้าไปยังสนามหญ้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปหากเจ้ายังไม่มีปฏิภาณไหวพริบสักหน่อยแล้วละก็…อย่าว่าแต่นกกา แม้กระทั่งกระเบื้องหลังคาเรือนก็ไม่มี กระจ่างแจ้งแล้วหรือไม่ กลับไปเถิด อีกประเดี๋ยวให้เซียวเยี่ยนมาที่นี่เป็นพอ”

เสี่ยวฉี “อ้อ”

เขามองเงาร่างด้านหลังของหลินชิงเวยที่ลับหายไปในสวน จึงหันรถม้าย้อนกลับไป แม้จะมีฐานะเป็นองครักษ์คนสนิทของเซ่อเจิ้งอ๋อง เขาพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายของตนและหลินเจาอี๋ออกจะใกล้ชิดเกินไปสักหน่อย เขาไม่รู้เช่นกันว่าหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ แต่นี่เป็นเรื่องของเจ้านายเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยเล่า เขาเพียงแต่ฟังคำสั่งของเจ้านายก็พอแล้ว อีกทั้งผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเจ้านายของตนเป็นคนรู้หนักเบาอย่างที่สุด

หลังจากหลินชิงเวยเข้าไปสวนไป่โซ่ว ระหว่างทางได้พบกับฝูงลิง บรรดาลิงคุ้นเคยกับนางอยู่บ้างเช่นกัน พวกมันเห็นล่วมยาที่นางสะพายอยู่บนไหล่จึงคิดว่าสิ่งของที่บรรจุอยู่ข้างในล้วนเป็นของกิน จึงพุ่งเข้ามาคิดจะแย่งชิงล่วมยา ปรากฏว่ายังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกหลินชิงเวยตวาดใส่ครั้งหนึ่ง ฝูงลิงจึงตกใจแยกย้ายกันไป

นางไปถึงบ้านนก ฝูงพิราบกำลังบินกลับมาจากแดนไกล นางผิวปากครั้งหนึ่ง ฝูงพิราบเหล่านั้นจึงร่อนลงมาข้างกายหลินชิงเวยอย่างประจบประแจง หลินชิงเวยลูบหัวเล็กๆ ของพวกมัน พวกมันดูเหมือนชมชอบยิ่งนัก จึงไม่หยุดที่จะซุกหัวเล็กๆ ของพวกมันเข้าไปในอุ้งมือของหลินชิงเวย

นกพิราบรู้จักประหลาดใจเช่นกัน พวกมันเข้าใกล้ล่วมยาของหลินชิงเวยแล้วจิกลงไปบนล่วมยา ราวกับต้องการเปิดออกดูเพื่อให้รู้ว่าสิ่งของที่อยู่ข้างในคืออะไร

หลินชิงเวยมองพวกมันด้วยจิตใจที่ยุ่งเหยิงว้าวุ่นในชั่วพริบตา

หากฉีดสิ่งของบางอย่างเข้าไปในร่างกายของฝูงนกพิราบที่น่ารักเหล่านี้ ผู้ที่ทำเรื่องเหล่านี้ออกมาได้ย่อมต้องเป็นสัตว์ร้าย และนางก็เป็นสัตว์ร้ายตัวนั้น

โดยที่ไม่รู้ตัว ขณะที่หลินชิงเวยหยอกล้อกับฝูงนกพิราบเหล่านี้ ด้านนอกสวนไป่โซ่วหลังจากเสี่ยวฉีออกไปจากที่นี่ ล่วงเข้าสู่เวลาพลบค่ำมีคนผู้หนึ่งเข้ามาใกล้บริเวณนี้ด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ

ในยามปกติสถานที่แห่งนี้ไม่มีคนมา แต่เขายังคงเดินไปพร้อมกับระมัดระวังอย่างที่สุด ราวกับด้วยเหตุที่สถานที่แห่งนี้ลึกเปลี่ยวเกินไป เขาเดินไปๆ ในใจยังรู้สึกหวาดกลัว

นั่นเป็นขันทีท่าทางหวาดกลัวผู้หนึ่ง ดูลักษณะแล้วเขาเดินเท้ามาที่นี่ จากตำหนักในเดินเท้ามาถึงสถานที่เปลี่ยววิเวกของตำหนักในแห่งนี้ นั่งรถม้ายังเสียเวลานานถึงเพียงนั้น เขาเดินเท้ามาย่อมต้องใช้เวลาตลอดทั้งช่วงเช้า นี่เป็นเพราะเขาต้องหลบเลี่ยงสายตาผู้คน หาไม่แล้วหากจุดประสงค์ชัดเจนเกินไปย่อมต้องถูกเซ่อเจิ้งอ๋องพบเข้าอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดก็มาถึงสวนไป่โซ่ว ขันทีผู้นั้นยิ่งมิกล้าชะล่าใจ เขาค่อยๆ คลำทางเข้าไปทีละก้าวๆ เดินไปครู่หนึ่งเขาหันกลับมามองไปรอบๆ กาย จึงเดินเข้าไปในทางเส้นตรงกลาง

เขาเดินลึกเข้าไป ประตูวังข้างในถูกปิดหนาแน่น ในมือเขาถึงกับมีกุญแจพวงหนึ่งที่เปิดประตูเหล่านั้นทีละบานๆ หลังจากเดินไปอีกครู่หนึ่งข้างในมีเพียงความวังเวง ขันทียังคิดว่าเขาเดินผิดทิศทางแล้วเสียอีก

กระทั่งเมื่อเขามาถึงประตูบานสุดท้าย ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามที่ดังมาจากข้างใน เป็นเสียงร้องคำรามสะท้านต่ำ ราวกับบรรยากาศรอบกายก็สั่นสะเทือนไปด้วย ขันทีตื่นตระหนกจนร่างกายสั่นเทิ้ม กุญแจทั้งพวงจึงร่วงลงสู่พื้น

ได้ยินเสี่ยวฉีพูดว่าข้างในนี้ล้วนเป็นสัตว์ดุร้ายและสัตว์ใหญ่ สัตว์ดุร้ายย่อมต้องกินคน หลังจากที่ผู้ฝึกสัตว์ทั้งหลายเริ่มกลายเป็นอาหารกลางวันของสัตว์ดุร้ายเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่มีคนกล้าเข้ามาให้อาหารที่นี่อีก เดิมทีคิดจะให้สัตว์ดุร้ายเหล่านี้มีชีวิตและตายไปเองตามธรรมชาติ แต่ไหนเลยจะคิดว่าการดำเนินชีวิตของสัตว์ดุร้ายเหล่านี้จะเหนือมนุษย์ธรรมดา ไม่เพียงเท่านี้เมื่อพวกมันรู้สึกหิวโหยก็จะทำลายกรงขังและต่อสู้กันเอง ผู้แพ้ย่อมต้องเป็นอาหารในจานของผู้ชนะ กรงเหล็กที่ไม่ได้ซ่อมแซมมาเป็นระยะเวลาหลายปีนี้ ไหนเลยจะทานทนเรี่ยวแรงพวกมันได้ พวกมันเพียงวิ่งชนไม่กี่ครั้งก็ทลายประตูได้แล้ว

เคราะห์ดีที่กุญแจที่กักขังประตูตำหนักของพวกมันนั้นหนาและหนักพอ แต่ไม่รู้ได้ว่าข้างในยังเหลือสัตว์ดุร้ายอีกเป็นจำนวนเท่าใด

เมื่อขันทีผู้นั้นได้ยินเสียงเขาแทบจะชาไปทั้งหนังศีรษะ ชัดเจนเหลือเกินว่าข้างในยังมีสัตว์ดุร้ายที่มีชีวิตอยู่

ขันทีโน้มกายลงไปเก็บกุญแจบนพื้นและเปิดแม่กุญแจขึ้นสนิมเขรอะดอกสุดท้ายออกอย่างเบามือเบาไม้ จากนั้นหันหลังวิ่งออกจากที่นี่ด้วยความเร็วที่สุด ด้วยหวั่นใจลึกๆ ว่าหากตนเองวิ่งช้าไปสักก้าวก็จะไม่มีชีวิตรอด

เขาวิ่งพรวดเดียวออกมาไกลมาก ด้านหลังวังเวงจนน่าหวาดผวา เขาได้ยินเพียงเสียงเต้นของหัวใจและเสียงหอบหายใจของตนเอง นอกจากนี้แล้วไม่มีสิ่งอื่น และไม่มีสิ่งของอันใดออกมาจากด้านใน

ขันทีผู้นั้นคิดในใจว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อสักครู่ เขาหวาดกลัวเกินเหตุจึงทำให้เกิดจินตนาการเพ้อไปเอง ที่จริงแล้วข้างในไม่มีสัตว์ดุร้ายด้วยพวกมันล้วนล้มตายหมดตั้งนานแล้ว

จากนั้นเมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ประตูตำหนักอันหนักอึ้งบานสุดท้ายนั้นค่อยๆ ถูกเปิดออก เห็นเพียงเงาร่างพาดผ่าน เสือดาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งปรากฏตัวอยู่หน้าประตู ทำให้ขันทีตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง

ขันทีผู้นั้นหันหลังวิ่งหนีไม่คิดชีวิตตามสัญชาตญาณ

ดูเหมือนว่าเสือดาวตัวนี้เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น มันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามยิ่งยวด บัดนี้มันล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว ด้วยมักจะหิวโหยเสมอ ทำให้หัวของมันก้มต่ำอย่างไม่แจ่มใสนัก แต่ดีชั่วอย่างไรมันก็เป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสัตว์ใหญ่ดุร้ายทั้งหมด เห็นได้ว่าความดุร้ายน่ายำเกรงเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นนั้นมิใช่เพียงคำเล่าลือ

เสือดาวตัวใหญ่ได้พบแสงสว่างอีกครั้งมันเงยหน้าขึ้นส่งเสียงร้องคำรามครั้งหนึ่ง ในที่สุดมันก็ได้กลิ่นอายของมนุษย์เสียแล้ว มันอ้าปากแยกเขี้ยว น้ำลายไหลย้อยลงมาบนพื้น ชัดเจนยิ่งนักว่ากลิ่นอายของมนุษย์ทำให้มันละโมบยิ่งนัก เนิ่นนานเพียงใดแล้วที่มันไม่ได้กินเนื้อมนุษย์ เสือดาวตัวนั้นยังไม่ถึงกับแก่จนสายตาพร่ามัว ทันทีที่มันเงยหน้าก็เห็นเงาร่างของมนุษย์ที่วิ่งล้มลุกคลุกคลานอย่างเอาเป็นเอาตาย มันกางกรงเล็บและโผนทะยานกายวิ่งไปทิศทางนั้น มันกระโจนออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

วิ่งด้วยขาสองข้างไหนเลยจะวิ่งเร็วได้เท่าขาสี่ข้างเล่า ขันทีผู้นั้นที่วิ่งหน้าเชิดในตอนแรกหันกลับไปมองข้างหลัง เขาเสียใจและชิงชังที่ตนไม่อาจหนีกลับเข้าไปในครรภ์มารดาได้ เขาหมดสิ้นหนทางอื่น นอกจากวิ่งไปข้างหน้าสุดชีวิต แต่เมื่อหันกลับไปมอง กลับพบว่าเสือดาวตัวนั้นอยู่ใกล้ตนเองมากขึ้นทุกทีๆ จึงส่งผลให้เขาตื่นตระหนกตกใจจนหน้าซีดขาว ปัสสาวะราด

ประตูใหญ่ของสวนไป่โซ่วอยู่ข้างหน้านี้เอง ทันทีที่เขาเงยหน้าก็มองเห็นประตูใหญ่แล้ว นั่นเป็นทางรอดของเขา เขาจำเป็นจะต้องวิ่งไปข้างหน้าด้วยพละกำลังที่เขามี

[1] หมายถึง รักใครก็ต้องรักสิ่งของหรือคนที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นด้วย