บทที่ 183 การปราบปราม

ไหปีศาจ

บทที่ 183
การปราบปราม

หยางกู่หลงนั้นตัดสินใจมาคนเดียว แม้แต่คนรับใช้และผู้คุ้มกันเขาก็ไม่ได้เอามาด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดและรู้สึกรังเกียจ
ซึ่งมันก็ดูปกติแล้วสำหรับการมาร้านเล็ก ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นที่รู้จักและกำลังมีโปรโมชันลดราคาสินค้า

ถ้าไม่มีคนรับใช้หรือคนคุ้มกันมันจะดูจริงใจกว่ามาก
แต่คนในสำนักโล่พิทักษ์กลับไม่คิดเช่นนั้น

หยางกู่หลงกล้าที่จะมาคนเดียว เขากำลังดูถูกสำนักโล่พิทักษ์ เขาไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขามั่นใจในเบื้องบนซึ่งคอยปกป้องเขาอยู่
ทุกคนในทีมคุ้มกันคมมีดจ้องมองไปที่หยางกู่หลงอย่างไม่กล้าที่จะละสายตาไป
หยางกู่หลงได้แต่ตัวสั่นไปทั่วร่างกาย ในใจของเขายังคงบ่นว่า คนในสำนักโล่พิทักษ์นี่บ้าแบบนี้กันหมดรึไง?
เขายังคงเป็นผู้ต้องสงสัย
เมื่อไม่ชอบใครทุกสิ่งที่เขาทำก็ถือว่าผิด
หยางกู่หลงพยายามเพิ่มรอยยิ้ม “อย่าโหดร้ายกับข้านักเลย ข้าแค่อยากพบเจ้าของร้านของพวกท่าน”
เหล่าผู้คนที่มุงดูต่างก็ผิดหวัง
ทางเจ้าของร้านหยางนั้นน่าจะไม่ได้มีเป้าหมายในการกำจัดสำนักโล่พิทักษ์เสียแล้ว?
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเอิกเกริกให้ชมซะแล้ว
“ข้าเนี่ยแหละ ข้าคือเจ้าของร้าน จะให้ข้าช่วยอะไรรึเปล่าล่ะ?” เสียงแหบพร่าราวกับล้อเลียนดังขึ้น
เขาเป็นชายหนุ่มในชุดขาว มีรูปร่างหล่อเหลาและรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ พัดลมกระดาษในมือของเขาสั่นและคลี่ออกเผยถึงความสวยงามที่สลักบนพัด ราวกับถูกวาดไว้โดยศิลปิน

“หรือว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็น”
“นายน้อยของตระกูล ฉู !”
“หนึ่งในสองวีรบุรุษของทางใต้ที่มีชื่อเสียงคนนั้น”
ทุกคนต่างประหลาดใจ ใครจะไปคิดว่าเจ้าของร้านของสำนักโล่พิทักษ์คือนายน้อยตระกูลฉู
ตระกูลฉูนั้นทำธุรกิจร้านอาหารไม่ใช่เหรอ?

ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือนิสัยใจคอของฉูจงฉวนนั้นเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและรักอิสระคนอย่างเขาเนี่ยนะจะมานั่งประจำร้านบริหารธุรกิจแบบนี้

คนจำนวนมากในที่นี้เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปในตัวของฉูจงฉวน
เหมือนกับคนในตระกูลฉูส่วนใหญ่ เขาเองก็ได้รับการยกระดับมิติวิญญาณเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงแล้วเรียบร้อย
เขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง ตั้งแต่อายุแค่ 20 อย่างนั้นเหรอ!
ความสามารถดังกล่าวไม่น้อยไปกว่า เหล่าผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของจักรวรรดิเลย

ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างก็เข้ามาแสดงความยินดีกับ ฉูจงฉวนทีละคน เขาได้รับการยกระดับมิติวิญญาณเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองแล้วนี่เอง ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมจู่ๆเขาก็ออกจากห้องฝึกฝนมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่

ฉูจงฉวนนั้นปรากฏตัวขึ้นโดยที่ไม่มีใครในสำนักโล่พิทักษ์รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
เขาที่ได้รับการยกระดับมิติวิญญาณเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงนั้น มีดวงตาที่สดใสและแหลมคม ทำให้ผู้คนที่เขามาซื้อสินค้าต่างก็ต้องเหลียวมองไปตาม ๆ กัน

“ท่านฉู” หยางกู่หลงรู้สึกประหลาดใจและกล่าวว่า “สำนักโล่พิทักษ์นี้เปิดโดยตระกูลฉูอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าคนเดียวต่างหากที่เป็นคนทำ” ฉูจงฉวนกล่าว
หยางกู่หลงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

ล้อกันเล่นใช่ไหม? หากจะต้องการเปิดร้านแบบนี้การลงทุนขั้นพื้นฐานที่สุดในช่วงแรกคือหินวิญญาณหลาย 10 ล้านก้อน แม้แต่ตระกูลฉูยังต้องพิจารณางบประมาณขนาดนั้นอย่างจริงจังเลยด้วยซ้ำ

ถึงจะมีศักดิ์เป็นนายน้อยของตระกูลแต่เขาก็ไม่น่าจะมีเงินเพียงพอที่จะเปิดร้านได้
ฝูงชนรอบข้างต่างไม่เชื่อในคำพูดของเขา
อย่างไรก็ตามในใจของทุกคน ก็คิดอยู่ลึก ๆ ว่าสำนักโล่พิทักษ์ที่ได้รับการสนับสนุนขึ้นมาที่นี่ อย่างน้อยก็น่าจะมีทุนมาจากตระกูลฉูอยู่เบื้องหลังพวกเขาด้วยบางส่วน

เห็นได้ชัดว่าร้านนี้ไม่ใช่เพียงแค่ร้านของชนชั้นรากหญ้า

“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับท่านเจ้าของร้าน ฉูจงฉวนคนนี้หน่อยเหรอ?” ฉูจงฉวนถาม
หยางกู่หลง ตกตะลึงไปชั่วขณะ
เขาต้องหาเจ้าของร้านสำนักโล่พิทักษ์ให้ได้จริง ๆ
แต่ไม่ใช่ฉูจงฉวนสิ!

“ถ้าท่านไม่มีปัญหาอะไรแล้ว โปรดกลับมาหาเราในวันหลัง พวกเรายังมีธุระที่ต้องทำอีก แน่นอนว่าถ้าท่านมีความต้องการจะร่วมมือทางธุรกิจกับพวกเรา เราจะพูดถึงเรื่องนี้กันในภายหลัง” ฉูจงฉวนกล่าว
หยางกู่หลงขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกปวดหัว
ดูเหมือนว่าลั่วอู๋จะไม่ยอมออกมาจริง ๆ

อย่างไรก็ตามหัวหน้าตระกูลลั่วได้ขอให้เขาเชิญลั่วอู๋กลับไปที่ตระกูล แต่เขาไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ มันเลยเป็นอะไรที่ลำบากมากจริง ๆ

แน่นอนว่าแม้จะมาด้วยประสงค์ดี แต่ในสายตาของสำนักโล่พิทักษ์พวกเขากลับเห็นภาพที่แตกต่างกันออกไป
พวกเขารู้สึกถึงเห็นความไม่พอใจและความโกรธของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
คนในสำนักโล่พิทักษ์รู้สึกประหม่า คนงานบางคนที่ยังไม่เคยได้เห็นฉากมีเรื่องกันมาก่อนต่างเหงื่อท่วมตัวด้วยความกังวล

“ฮ่าฮ่า คุยธุระงั้นเหรอ? สำนักโล่พิทักษ์เล็ก ๆ นี่เนี่ยนะมีค่าคู่ควรที่จะคุยธุรกิจกับศาลาไป่หยู่ ? แต่ถ้าใช้ชื่อของตระกูลฉู ก็คงจะพอมีน้ำหนักในธุรกิจร้านอาหารอยู่บ้างละนะ” เสียงประชดประชันดังขึ้นจากด้านหน้าประตูของสำนักโล่พิทักษ์

ชายคนนั้นมีใบหน้าที่เย็นชาและเต็มไปด้วยลมปราณที่เย็นเฉียบดั่งเหล็ก
เขาคือหนึ่งในสามพี่น้องตระกูลมู่ – มู่เฉิง

“มู่เฉิงออกมาแล้ว”
“นี่สินะโชคชะตาของคู่ปรับระหว่างตระกูลมู่และตระกูลฉูที่ต่อสู้กันมาหลายร้อยปี”
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงทั้งสองคนของแดนใต้ในเวลาเดียวกัน ช่างเป็นการเปิดร้านที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ”
เมื่อเขาเดินเขามาฝูงชนต่างก็ให้ความสนใจและสนทนากัน
“มู่เฉิง?” หยางกู่หลงดูประหลาดใจเล็กน้อย

มู่เฉิงพยักหน้า “เจ้าของร้านหยาง ไม่ต้องกังวลไปตระกูลของเราและศาลาไป่หยู่ มักมีการติดต่อทางธุรกิจกันตลอด พวกเราจะยืนอยู่เคียงข้างท่านอย่างแน่นอน”

หยางกู่หลงพยายามที่จะไม่ปล่อยให้การแสดงออกที่ขมขื่นของเขาหลุดออกมา
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเริ่มการโต้เถียง
หากท่านต้องการจะเล่นงานตระกูลฉู ก็อย่ายืมชื่อของข้าไปสิ

“ ทำไมเจ้ามู่เฉิงที่น่ารังเกียจถึงได้มาที่นี่” ดวงตาของ ฉูจงฉวนเบิกโพลงและลมปราณของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองก็ระเบิดออกมาในทันที
ส่วนมู่เฉิงก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เขาเพียงแต่ยังปล่อยลมปราณของตัวเองออกมาสกัดไว้
“ตระกูลฉูอยากมีอำนาจมาก จนคิดจะผูกขาดธุรกิจยาและสัตว์วิญญาณทั้งหมดด้วยเลยรึไง ?”

การเผชิญหน้าของทั้งสองลมปราณ สามารถต้านทานกันได้
ปรากฏว่าอีกฝ่ายเองก็ได้รับการยกระดับมิติวิญญาณเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงเช่นเดียวกัน
ฝูงชนต่างตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสมัยเมื่อพวกเขาเป็นเพียงแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงินพวกเขาได้ต่อสู้กันตลอดเวลาจนเป็นเรื่องปกติ

แต่ตอนนี้ทั้งสองได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงแล้ว การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนต้องน่าสนใจมากยิ่งขึ้นแน่ ๆ

ฉูจงฉวนตะคอกอย่างเย็นชา “อย่ามาป้ายสีใส่ความสุ่มสี่สุ่มห้าน่า ข้าทำธุรกิจได้ดีเสมอ ข้าไม่เคยคิดจะทำให้ใครขุ่นเคืองใจเลยด้วยซ้ำ”
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่มีความผิดงั้นสิ?” “ศาลาไป่หยู่มีสถานะสูงกว่าในวงการนี้ ถ้าเจ้าไม่ได้เข้าไปทักทายเขาก่อนจะมาเปิดร้านที่ฝั่งตรงข้ามโต้ง ๆ แบบนี้ มันก็ไม่ได้ต่างไปจากการยั่วยุหรอกนะ”

โดยหลักการแล้ว หากต้องการเปิดร้านในสถานที่แบบนี้ เขาต้องไปทักทายทำความเคารพ รุ่นพี่ผู้ที่มาทำธุรกิจในพื้นที่รอบข้างเสียก่อน
ถือได้ว่าเป็นจารีตประเพณีที่ซ่อนอยู่ในวงการธุรกิจ

แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นจริง ๆ หรอก เขาก็แค่ยกมาเป็นข้ออ้าง
การมาครั้งนี้ของมู่เฉิงด้วยการอ้างชื่อศาลาไป่หยู่ เขาไม่เพียงแต่ได้ปราบปรามตระกูลฉูเท่านั้น แต่ยังได้ผูกมิตรกับศาลาไป่หยู่อีกด้วย มันช่างเป็นทางเลือกที่ดีจริงๆ

ฉูจงฉวนขมวดคิ้ว
สำนักโล่พิทักษ์ไม่เคยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ

“ใช่แล้ว นอกจากเรื่องนั้นก็ยังมีการปฏิบัติตัวของสำนักโล่พิทักษ์ที่ผิดต่อหลักการค้าอยู่อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเหล่านี้เป็นราคาต่ำมาและเป็นอันตรายเสี่ยงต่อการทำลายราคาตลาด”
มีคนเดินออกมาอีกแล้ว

คราวนี้ปรากฏว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้บริหารคฤหาสน์ชวนเทียนในเมืองหนานจุนที่ชื่อว่า ตู้
สิ่งนี้ทำให้หลายคนประหลาดใจ พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนจากคฤหาสน์ชวนเทียนโผล่มาด้วย

“มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีเอาซะเลยนะ” ผู้บริหารตู้กล่าวด้วยถ้อยคำที่ชอบธรรมและปลอบโยน หยางกู่หลง “เจ้าของร้านหยาง ข้าเองก็แน่ใจว่าข้าจะอยู่ข้างท่าน”
เขารู้ดีว่าในบรรดาร้านค้าที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมนี้และอิทธิพลของตระกูลลั่วนั้นมีอยู่ไม่น้อย
ผู้บริหารตู้จึงรู้สึกว่าเขาควรจะใช้โอกาสนี้ในการทำความรู้จักและสานสัมพันธ์กับศาลาไป่หยู่

สีหน้าของทุกคนในสำนักโล่พิทักษ์เคร่งเครียด พวกเขาขบฟันและมองไปที่ตัวต้นเหตุด้วยความเกลียดชังในใจ
หยางกู่หลงตามที่พวกเขาคาดไว้ เขาเตรียมการมาพร้อมมากด้วยจุดประสงค์ร้าย
เขามาเพื่อปราบปรามสำนักโล่พิทักษ์ของเรา โดยทั้ง มู่เฉิงและผู้บริหารของคฤหาสน์ชวนเทียนต่างก็ถูกรับเชิญให้มาที่นี่ มันเป็นการกระทำที่โหดร้ายมาก

มีเพียงหยางกู่หลงเท่านั้นที่กำลังใจสลายอยู่ในใจ
ข้าไม่ได้ทำนะ
ข้าไม่ได้เชิญพวกเขามา พวกเขามาด้วยตัวเอง
ข้าแค่มาทักทายจริง ๆ