บทที่ 164: การปกป้องของโชคชะตา

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 164: การปกป้องของโชคชะตา

ภายในเรือธงของกองเรือทองคำ เสียงอันคมชัดของกระสุนปืนที่ถูกยิงออกไป ดังก้องหลายต่อหลายครั้งติดต่อกัน อัญมณีที่แตกสลายกลายเป็นแสงสีทอง กระจัดกระจายห่อหุ้มไปทั่วร่างของโรเอล

การยิงกระสุนเวทอัญมณีอย่างต่อเนื่องของชาร์ล็อตทำให้พื้นที่รอบ ๆ ไข่ของผู้สร้างธารน้ำแข็ง กลายเป็นทะเลเพลิง การโจมตีด้วยความร้อนนี้ช่วยบรรเทาอาการเยือกแข็งของโรเอล ทำให้สติของเขาคืนกลับมา แต่เพียงไม่กี่วินาที ทะเลเพลิงอันรุนแรงก็ดับลงด้วยสภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นนี้

เปลวเพลิงกลายเป็นเพียงแสงเทียนอันริบหรี่ในคืนที่เต็มไปด้วยลมกรรโชก ใกล้จะดับอยู่รอมร่อ แต่ชาร์ล็อตก็ไม่ได้สนใจ แม้ความร้อนจากอัญมณีเหล่านี้จะให้ความอบอุ่นแก่โรเอลได้ชั่วครู่ แต่โชคดีที่เธอยังมีไพ่ตายเหลืออยู่

“จงคำรามด้วยความดุร้าย”

นัยน์ตาสีมรกตของชาร์ล็อตเปล่งประกายเจิดจ้า เมื่อพลังสายเลือดของเธอเริ่มปะทุขึ้น เด็กสาวปลดปล่อยพลังเวทอันทรงพลังราวกับจักรพรรดินีที่คอยควบคุมกองทัพทหารนับพันนาย ภายใต้คำสั่งของเธอของเหลวสีทองที่อยู่รอบ ๆ ไข่ก็เริ่มเคลื่อนไหว

วึบ!

เสียงอันรุนแรงดังสะท้อนออกมาจากแกนกลางของเรือ ของเหลวสีทองไหลผ่านท่อของเรือพุ่งเข้าหาใจกลางเศษน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่มันราวกับอัศวินขี่ม้าที่ได้รับคำสั่ง ทำให้ลูกเรือต่างมองหน้ากันอย่างสับสน งุนงงว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

ขณะเดียวกัน อิซาเบลลาก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน

“เข้าใจแล้ว นี่คือความสามารถของตระกูลแอสคาร์ดงั้นสิ? ช่างลึกลับจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสมัชชานักปราชญ์แห่งพลบค่ำถึงส่งพวกเจ้ามาที่นี่ ในฐานะพี่สาว ข้าจะช่วยสนับสนุนเจ้าเอง”

เมื่อมองไปยังเด็ก ๆ ทั้งคู่ที่กำลังต่อสู้กับไข่ใต้ท้องเรือ ความสงสัยค้างคาใจสุดท้ายของอิซาเบลลาก็หายไปในที่สุด ริมฝีปากของหญิงสาวมีรอยยิ้มอันสดชื่น กลุ่มดาวสีทองของเทพเจ้าโบราณก็ก่อตัวขึ้นข้างหลังเธอแบบเดียวกับที่ชาร์ล็อตเคยเรียกขึ้นมาตอนพบกับโรเอลเป็นครั้งแรก แต่ร่างจำแลงที่อิซาเบลลาเรียกมานั้นมีความชัดเจนมากกว่า

“อนุญาโตตุลาการแห่งโชคชะตา!”

หญิงสาวผู้งดงามออกคำสั่งด้วยเสียงอันชัดเจน จากนั้นกลุ่มดาวสีทองข้างหลังเธอก็ยกตราชั่งในมือขึ้นพร้อมกับอิซาเบลลาที่ยกมือขึ้น แสงสีทองเริ่มรวมตัวกันอยู่ในมือของเธอก่อนจะกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย 10 ชิ้น

“ชาร์ล็อต ดูให้ดี นี่เป็นวิธีการที่แท้จริงในการใช้พลังทางสายเลือดของเรา พวกเราไม่ใช่คนรับใช้ แต่เป็นผู้สร้างโชคชะตา!”

“นี่คือเศษเสี้ยวที่เกิดจากชะตากรรมในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา สง่าราศีหรือความละอาย ความเจริญรุ่งเรืองหรือการทำลายล้าง ทุกอย่างนั้นรวมอยู่ในเศษเสี้ยวทั้ง 10 นี้ ด้วยสิ่งเหล่านี้เป็นเดิมพัน ข้าจะควบคุมการไหลเวียนของโชคชะตา!”

อิซาเบลลามองดูทั้งคู่จากด้านบนของบันได ขณะที่เธอพูดดวงดาวก็เริ่มแผ่ขยายพลังเวทจนเต็มพื้นที่ส่วนบนของเรือ ทันใดนั้นร่างจำแลงที่เกิดจากกลุ่มดาวสีทองของเทพธิดาแห่งโชคชะตายื่นมือออกไป ปรากฏขึ้นเป็นภาพในแต่ละด้านของตราชั่งในมือของเธอ

ข้างหนึ่งเป็นเด็กชายผมดำนัยต์ตาสีทองเป็นประกาย

อีกด้านหนึ่งคือตัวอ่อนสัตว์ประหลาดที่เติบโตอยู่ในน้ำแข็ง

ความสมดุลแกว่งไปแกว่งมาอย่างไม่มั่นคงครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะเอียงไปทางด้านตัวอ่อนของสัตว์ประหลาดในที่สุด เมื่อเห็นสิ่งนี้ อิซาเบลลาก็เผยรอยยิ้มออกมา

“ถ้ามันแค่นี้ล่ะก็ แค่เหรียญเดียวก็เพียงพอแล้ว ขอเดิมพันด้วยเศษเสี้ยวแห่งชะตากรรม!”

“ได้รับแล้ว”

อิซาเบลลาสะบัดนิ้วของเธอเบา ๆ ส่งเศษทองคำชิ้นหนึ่งบินไปเป็นแนวโค้ง ก่อนจะตกลงไปที่ด้านข้างของโรเอล เสียงของระบบกลไกแปลก ๆ ดังก้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สมดุลของตราชั่งจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันกลุ่มดาวสีทองก็ได้เปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมาด้วย

ทันใดนั้นตัวอ่อนสัตว์ประหลาดภายในน้ำแข็งก็เริ่มอ่อนแรงลง ราวกับว่ามันได้รับความทุกข์ทรมานจากคำสาปบางอย่าง เพียงไม่กี่วินาทีกระแสน้ำเย็นที่หมุนรอบตัวมันก็หยุดนิ่งลง ทำให้มันแทบจะไม่สามารถป้องกันตนเองได้อีก

ระหว่างนี้โรเอลก็สัมผัสได้ถึงพลังอันลึกลับที่ถาโถมเข้ามาทำให้เขาหายใจไม่ออก ราวกับว่ามีใครกำลังผลักเขาอย่างเงียบ ๆ ในที่สุดเด็กชายก็เข้าใจเหตุผลแล้วว่า ทำไมระบบถึงบอกว่าเขามีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในการดูดซึมครั้งนี้

【10, 9, 8…】

ด้วยโชคชะตาที่อยู่เคียงข้างโรเอลและการสนับสนุนจากคู่หมั้น ในที่สุดโรเอลก็สามารถดูดซับพลังเวทน้ำแข็งทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงมาได้ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว การแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นทันที

【กริ๊ง!】

【ผู้ใช้ได้ทำการดูดซับพลังเวทบางส่วนจากศิลาแห่งมงกุฎที่กลายพันธุ์จนสำเร็จแล้ว】

【ผู้ใช้ได้รับความสามารถ: สัมผัสแห่งธารน้ำแข็ง】

อา ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ

ภายใต้การจู่โจมของพลังจากทุนนิยมและคาถาเวทที่คล้ายลัทธิวูดู สัตว์ประหลาดโบราณได้ถูกบังคับให้ต้องยอมจำนนก้มศีรษะลง เมื่อเสร็จสิ้นตามที่หวังแล้วโรเอลก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ดูเหมือนว่า 300,000 เหรียญทองที่ใช้ไปจะไม่ได้สูญเปล่า!

โรเอลยิ้มเฝื่อน ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่วิสัยทัศน์ของเขาจะดับวูบลง

เวลาเที่ยงคืน ภายใต้แสงสีเงินของดวงจันทร์ กองเรืออีกกองได้มาถึงบริเวณที่กองเรือทองคำได้ต่อสู้กับเผ่าเกล็ดก่อนหน้านี้ จากนั้นพวกเขาก็ทอดสมอจอดอยู่ที่จุดนั้น มีเรือลำเล็ก ๆ สองสามลำที่ห่อหุ้มด้วยของเหลวสีทองพายเรือวนอยู่รอบ ๆ บริเวณเพื่อเก็บตัวอย่าง

ที่หัวเรือของเรือธง มีสาวกชุดขาวกลุ่มหนึ่งได้มารวมตัวกันรอบ ๆ ผู้นำของพวกเขาสวดอ้อนวอนอย่างเงียบ ๆ ใต้แสงจันทร์ ภาพดังกล่าวสามารถมองเห็นได้ที่ข้างบนหัวเรือทุกลำในกองเรือ ทำให้กลายเป็นภาพอันน่าขนลุก

เหล่าสาวกยังคงพึมพำชื่อของมารดาแห่งเทพธิดาเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนที่พิธีกรรมจะสิ้นสุดลง ลูกเรือคนอื่น ๆ ได้ดำเนินการรายงานการค้นพบของพวกเขา จากนั้นหน่วยบัญชาการก็หวนกลับมาอภิปรายกันต่อถึงเรื่องดังกล่าว

“อะไรกัน? พวกเขายังไม่สูญเสียเรือสักลำเลยงั้นเหรอ? มันเป็นไปได้อย่างไร? หากไม่รวมเรือลำอื่น ๆ อย่างน้อย ๆ เอสเอส เซนต์พอล ก็น่าจะถึงวาระแล้วนี่นา!”

กอร์ดอนอุทานด้วยความตกตะลึง หลังจากที่ได้ยินรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

ผมสีเงินของเขาปลิวไสวไปตามสายลมยามค่ำคืน มอบบรรยากาศแห่งความอ้างว้างพร้อมความเคร่งขรึมตามปกติของเขา

กอร์ดอนมีชีวิตอยู่มานานกว่า 200 ปีแล้ว ทำให้เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาในยุคที่สอง เขามีประสบการณ์มากมาย ย้อนไปถึงยุคของจักรวรรดิออสทีนโบราณ ทำให้สัญชาตญาณของเขาเฉียบคมมาก ในเรื่องการทำสงครามทางทะเล เขามีสัญชาตญาณมากพอที่จะสามารถทำนายบทสรุปของการสู้รบในทะเลได้ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้นเสียอีก

เอสเอส เซนต์พอล เป็นเรือรบขนาดใหญ่ที่เป็นรองเพียงแค่ เอสเอส เซนต์แมรี่ ที่เป็นเรือธงเท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์แล้ว กอร์ดอนจึงวางแผนที่จะดึงมันออกจากสงครามไปก่อน ด้วยการสร้างความขัดแย้งขึ้นภายในเรือ มีเพียงรองกัปตันลอรีเท่านั้นที่จะสามารถล่วงรู้ถึงแผนการของเขา และทำลายมันลงได้

อย่างไรก็ตาม พรรคพวกของกอร์ดอนได้ทำลายกลไกในห้องควบคุมส่วนใหญ่ออกไป ซึ่งน่าจะเป็นช่องโหว่ให้พวกมนุษย์เกล็ดสามารถเข้ามาปิดฉากมันลงได้ แต่แล้วทำไม…

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้กอร์ดอนกังวลใจเป็นอย่างมาก เขาเป็นคนประเภทที่เกลียดความไม่แน่นอนและตัวแปรต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการตัดสินใจอันเจ็บปวดที่เขาต้องเจอมาตลอดชีวิต

กอร์ดอนเคยได้เห็นจุดสูงสุดของจักรวรรดิออสทีนโบราณ และก็เคยได้ข้ามผ่านความยากลำบากและความสิ้นหวังของการอพยพมายังทิศตะวันตก การเป็นคนในรุ่นของเขานั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยจริง ๆ มีทั้งอุปสรรคและความท้าทายปรากฏขึ้นในทุก ๆ จังหวะ ปราศจากซึ่งจุดจบ ทำให้สหายหลายต่อหลายคนของเขาได้ยอมจำนนต่อความเครียดและจบชีวิตตัวเองลงในที่สุด แม้แต่ผู้ที่ข้ามฝ่าพายุมาก็ไม่อาจสามารถหลุดพ้นจากอดีตได้เสมอไป พวกเขาบางคนติดอยู่ในห้วงความฝันของความรุ่งเรืองและสง่าราศีที่ตนเองเคยเพลิดเพลินในอดีต

กอร์ดอนก็มีส่วนเหมือนกับคนกลุ่มนี้ในระดับหนึ่ง แต่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่มักจะหวนระลึกถึงจักรวรรดิออสทีนโบราณ สิ่งที่เขาใฝ่ฝันสืบย้อนไปไกลกว่านั้น มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก เขากำลังไล่ตามต้นกำเนิดทางสายเลือดของตัวเอง ความรุ่งโรจน์ของไฮเอลฟ์

มารดาแห่งเทพธิดาเป็นความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาและสหาย แต่ก็เป็นความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างฝ่ายของพวกเขา กับฝ่ายของอิซาเบลลาด้วยเช่นกัน

มีช่วงหนึ่งที่กอร์ดอนเคยเป็นสมาชิกของมวลชนอันโง่เขลาที่เชื่อในอำนาจสูงสุดของมนุษยชาติ แต่เมื่อเขาได้รู้ว่าเหตุการณ์ หายนะเสียงเพรียกแห่งวิญญาณ นั้นเกิดขึ้นจากหนึ่งในตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่สุด และได้เห็นสภาพของจักรวรรดิออสทีนโบราณ ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่าแข็งแกร่งและไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำได้ล่มสลายลง เขาถูกบังคับให้เปลี่ยนใจ

เหล่าทวยเทพมีพลังมหาศาลที่มนุษย์ไม่อาจขัดขืน ต่อหน้าตัวตนอันสูงส่งเหล่านั้น มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่หายไปได้ดั่งฝุ่นทรายปราศจากความสำคัญ การต่อต้านนั้นไร้ประโยชน์ ทางเลือกเดียวที่มนุษยชาติทำได้คือเชื่อฟังพวกเขา

ประสบการณ์ในอดีตของกอร์ดอนที่ได้รับแรงสนับหนุนจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความภักดีของเขา ได้สร้างศรัทธาอันแน่วแน่ในมารดาแห่งเทพธิดา ดังนั้นเขาจึงคิดว่าความทะเยอทะยานของอิซาเบลลาเป็นเพียงความโง่เขลา มองดูความพยายามของเธออย่างดูถูก

การเลือกมนุษย์เหนือเทพเจ้า และพยายามต่อต้านการล่มสลายของอารยธรรมที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเย่อหยิ่งมืดบอด อารยธรรมนับไม่ถ้วนก่อนหน้าพวกเขาต่างก็ต้องยอมจำนนต่อเหล่าทวยเทพ การอพยพครั้งใหญ่ของมวลมนุษยชาติไปยังทิศตะวันตกไม่มีอะไรมากไปกว่าความพยายามชะลอสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

“การทำลายล้างเป็นจุดสิ้นสุดการเดินทางของพวกเรา จงละทิ้งความเป็นมนุษย์ ยึดมั่นในสายเลือดไฮเอลฟ์ รับใช้มารดาแห่งเทพธิดา ด้วยหนทางนั้นพวกเราจะสามารถหวนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตได้”

นี่เป็นความเชื่อที่ผลักดันกอร์ดอนและกลุ่มอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรงของเขา

แน่นอนว่าพวกเขาทั้งประหลาดใจและปลาบปลื้ม เมื่อได้รับการติดต่อจากองค์กรอื่นที่ศรัทธาในมารดาแห่งเทพธิดาเช่นเดียวกันอย่างกลุ่มภาคีแห่งนักบุญ

ภาคีแห่งนักบุญเป็นองค์กรลึกลับที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือในเขตแดนของมนุษยชาติ เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือการสนับสนุนทูตของเทพเจ้าทั้งหกในการฟื้นคืนชีพของมารดาแห่งเทพธิดา พวกเขามุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงราคาที่ต้องจ่าย จนถึงตอนนี้ จากข้อมูลข่าวสารที่รวบรวมมา องค์กรนี้ดูเหมือนจะเป็นศัตรูกับองค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่อิซาเบลลาเป็นสมาชิกอยู่

ด้วยที่มีศัตรูและเป้าหมายร่วมกัน เส้นทางของกลุ่มอนุรักษ์นิยมของกอร์ดอน และภาคีแห่งนักบุญจึงได้มาบรรจบกัน อันที่จริง ภาคีแห่งนักบุญมีส่วนอย่างมากต่อการกบฏของกลุ่มอนุรักษ์นิยมต่อต้านอิซาเบลลา

“ราชาแห่งแดนใต้ ดูเหมือนท่านจะมีข้อสงสัยอยู่ในใจสินะ?”

ชายหนุ่มชุดขาวที่มีชื่อว่า ดอยล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารของภาคีแห่งนักบุญ เดินไปหากอร์ดอน กอร์ดอนหันไปมองดอยล์พลางตาหรี่ลงเล็กน้อย

“ข้าไม่ใช่ราชาแห่งแดนใต้ ข้าเป็นเพียงแค่ชายชราที่รู้จักหน้าที่ของตนเอง”

“ประสบการณ์มากมายนำมาซึ่งปัญญา มีเพียงผู้ที่อยู่มานานอย่างท่านเท่านั้นที่จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของเหล่าทวยเทพ อิซาเบลลาอาจมีพรสวรรค์ แต่อายุเพียง 20 ปีของเธอได้จำกัดวิสัยทัศน์อันลึกซึ้งของเธอไว้ เทียบกับชายที่ใช้ชีวิตมาหลายศตวรรษเช่นท่าน เธอก็ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กน้อย”

มีผมสีดำสองสามเส้นโผล่ออกมาจากหมวกของดอยล์ เขามีผิวสีซีดที่ทำให้ดูอ่อนโยนและเป็นมิตร สามารถเรียกความปรารถนาดีของผู้อื่นออกมาได้อย่างง่ายดายด้วยคำพูด แต่ความสามารถพิเศษของเขาดูเหมือนจะไม่ได้มีผลอะไรกับกอร์ดอนเลย

“อะไรคือแรงจูงใจของเจ้า? ทำไมเจ้าถึงเลือกที่จะช่วยพวกเรา?”

กอร์ดอนแสดงความสงสัยของตัวเองด้วยใบหน้าอันเฉยเมย

“เป้าหมายของข้าคือการนำพรรคพวกของเรากลับสู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง เอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นไปพร้อมกับมารดาแห่งเทพธิดา อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับบุคคลภายนอกเช่นพวกเจ้าเลย ข้าต้องการจะทราบเป้าหมายของพวกเจ้า หรือจะพูดให้ถูกก็คือ จุดมุ่งหมายของภาคีแห่งนักบุญ”

กอร์ดอนกล่าวเสริม

“ท่านพูดถูก พวกเราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับตระกูลโซเฟีย แต่​หากเราพูดถึงจุดมุ่งหมายล่ะก็ พวกเรามีจุดมุ่งหมายตรงกัน มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่มารดาแห่งเทพธิดาจะฟื้นคืนกลับมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหน้าที่ของพวกเราในฐานะผู้ศรัทธาก็คือการขจัดอุปสรรคทั้งหมดที่มาขวางทางเธอเอาไว้ ก่อนที่เธอจะกลับมา”

“กำจัดอุปสรรคทั้งหมด? กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจ้ากำลังอ้างว่าการฟื้นคืนชีพของมารดาแห่งเทพธิดานั้นเกี่ยวข้องกับทูตของพระเจ้าทั้งหกงั้นเหรอ?”

เมื่อรู้สึกได้ถึงเบาะแสสำคัญในคำพูดของดอยล์ กอร์ดอนจึงพยายามถามให้ลึกลงไปอีกเล็กน้อย ทว่าเขากลับได้รับคำตอบเป็นเพียงเสียงหัวเราะเงียบ ๆ

“ท่านดูกังวล มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”

ดอยล์ถาม

“… คลื่นแห่งโชคชะตาเพิ่งเปลี่ยนแปลงไป มีผู้ครอบครองสายเลือดอันทรงพลังอีกคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งหมายความว่ามีคนคอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ อิซาเบลลาอีกคน พร้อมที่จะเปิดใช้งานผนึกถาวรทำให้กลายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเราที่จะชิงมันมา”

รอยย่นบนใบหน้าของกอร์ดอนลึกขึ้นขณะเขาพูดคำเหล่านั้น

ผนึกถาวร เป็นมาตรการสุดท้ายของตระกูลโซเฟีย มันสามารถเปิดใช้งานได้โดยผู้ที่มีสายเลือดของไฮเอลฟ์ที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้น ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เมื่อมันถูกเปิดใช้งาน​ ไข่ก็จะถูกฝังลงไปในส่วนลึกที่มืดที่สุดของทะเลอันไร้ขอบเขตอย่างถาวร

ตามหลักแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือฆ่าอิซาเบลลาเพื่อหยุดไม่ให้มันเกิดขึ้น ทว่าการปรากฏตัวของผู้ครอบครองพลังสายเลือดอันทรงพลังอีกคนหนึ่งในกองเรือทองคำก็ได้ทำให้ตัวแปรเพิ่มขึ้นมา

“เข้าใจแล้ว”

เมื่อได้ยินความกังวลของกอร์ดอน ชายหนุ่มชุดขาวก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนบนริมฝีปาก

“วางใจให้การลอบสังหารผู้ครอบครองสายเลือดอีกคนเป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”