“พอลูกโตก็เลิกสนใจแม่สินะ เอาล่ะ ข้าไม่รบกวนเวลาของพวกเจ้าแล้ว จิ่นเยว่ พวกเรากลับกันเถิด อย่าไปวุ่นวายกับหย๋าเอ๋อร์ให้เสียเรื่องเลย”
ลูกชายและลูกสะใภ้รักกันปานจะกลืนกิน นางที่เป็นแม่สามีเห็นแล้วอดที่จะดีใจไม่ได้
ดังนั้น พระสนมเต๋อเฟยจึงพาจิ่นเยว่ออกจากเรือนของหลินเมิ้งหยาไป
“ท่านอ๋องมีความเห็นเช่นไรเพคะ? ”
คำพูดไม่กี่ประโยคของพระสนมเต๋อเฟยทำให้หลงเทียนอวี้แสดงสีหน้าอึดอัด
หลินเมิ้งหยารีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดของทั้งคู่
“ไม่มี”
เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ราวกับสมองของนางมักมีความคิดแปลกประหลาดอยู่เสมอ
แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าครู่ต่อไปนางจะทำอะไร
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง กลิ่นไอของความลึกลับมักวนเวียนอยู่รอบตัวเสมอ
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดของท่านอ๋องหรือเพคะ? ”
นางก้มหน้าลง หลงเทียนอวี้จึงมองใบหน้าของนางได้ไม่ชัดเจน
ใบหน้าคมคายพยักหน้าลงด้วยความลังเล
วันเกิดอย่างนั้นหรือ?
นับตั้งแต่วันที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เขาไม่เคยจัดงานวันเกิดเลย
“อืม”
หลินเมิ้งหยาวางแผนบางอย่างในใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลงเทียนอวี้ยังคงเป็นคนให้ข้าวให้น้ำนางอยู่
เช่นนั้นนางควรจะหาเวลาตีสนิทให้มากกว่านี้
“เช่นนั้น ในวันเกิดของท่านอ๋อง ท่านอ๋องสามารถปลีกตัวออกมาได้หรือไม่เพคะ? ”
ช่วงนี้หลงเทียนอวี้ยุ่งมาก แม้หมิงเยว่จะไปแล้ว อีกทั้งยังมิมีใครกวนเขาอีก แต่โอกาสที่ทั้งสองจะได้เจอกันก็น้อยมาก
ทุกครั้งที่ได้เจอกัน พวกเขาสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคแล้วก็แยกจากไป
แม้จะไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาต้องการจะทำอะไร แต่เขาก็ครุ่นคิดอย่างจริงจัง วันนั้นเหมือนจะไม่มีงานสำคัญ
“น่าจะไม่มีเรื่องอะไรต้องทำ แต่ถ้าหากมี ข้าจะบอกเจ้าก่อน”
หลินเมิ้งหยารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นางหยักยิ้มกว้าง
“เช่นนั้พวกเราสัญญากันแล้วนะเพคะ มาเถิด เกี่ยวก้อยกัน”
ใช้นิ้วก้อยของตนเองเกี่ยวกับนิ้วก้อยของหลงเทียนอวี้
ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือประทับกัน แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่หลินเมิ้งหยาทำคืออะไร แต่หลงเทียนอวี้สัมผัสได้ว่าจะต้องเป็นการทำสัญญาอย่างแน่นอน
“อืม”
หัวใจเปี่ยมไปด้วยความหวัง นางคิดจะทำอะไรให้เขาประหลาดใจกันนะ?
การตระเตรียมงานเลี้ยงสำเร็จไปได้ด้วยดี หลินเมิ้งหยาตกแต่งสถานที่งานเลี้ยงของฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงไม่เหมือนกัน
ทางฝั่งของฝ่ายชาย หลินเมิ้งหยาจัดฉากเป็นทางน้ำคดเคี้ยวที่ตำหนักฉินหวู่ของหลงเทียนอวี้
โรยหินกรวดแม่น้ำเสมือนงูเลื้อย แม้จะไม่ยาวมาก แต่ถึงกระนั้นนางได้เตรียมเรือบรรทุกดอกไม้เอาไว้หลายลำ
เมื่อถึงเวลา คนใช้ที่ถูกเตรียมเอาไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะจะอยู่ที่อีกฝั่งและวางคำใบ้ปริศนาลงบนเรือ
ทางฝั่งของฝ่ายหญิง นางใช้โคมไฟในการทายปริศนา
ทั้งไฟที่มืดและสว่าง ส่งความรู้สึกเสมือนขี่ม้าชมดอกไม้ สวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง
แขกเหรื่อจะได้ชมดอกไม้ในช่วงเวลากลางวัน เมื่อตกกลางคืน ทุกคนจะสวมหน้ากาก เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเข้าไปเล่นเกมในสวนของแต่ละฝั่ง
ตอนกลางคืน โคมไฟถูกประดับประดาอย่างสวยงามเหมือนอยู่บนสวรรค์ในตำหนักหลิวซิน
แม้แต่สาวใช้ทั้งสี่ยังอดนึกสนุกไม่ได้
หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาออกคำสั่งเอาไว้ ป่านนี้พวกนางคงเข้าไปเล่นเกมทายปริศนาด้วยแล้ว
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเด็กน้อย ข้าเองก็อยากไปเล่นด้วย”
ชิงหูไม่เคยไปร่วมงานเลี้ยงที่ดูน่าสนุกสนานเช่นนี้มาก่อน เขารบเร้าหลินเมิ้งหยาแต่เช้า
“เจ้า? ได้สิ แต่เจ้าจะไปตำหนักไหนเล่า? ”
กัดชงโหยวปิ่งเอาไว้ในปาก หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงเรียบ แอบเช็ดถูมือที่เปื้อนน้ำมันลงบนชุดสีขาวของชิงหู
“พวกผู้ชายมีอะไรน่ามองกัน อีกอย่าง เวลาชมดอกเก๊กฮวยก็ต้องมีคนอธิบายมิใช่หรือ? ”
ชิงหูจ้องมองรอยเปื้อนน้ำมันบนเสื้อผ้าของตนเองด้วยความปวดใจ นี่เป็นชุดที่เขาซื้อมาใหม่นะ!
ใครจะรู้เล่าว่าแม้แต่อาป๋ายกับอาเสว่ที่เพิ่งกินอาหารเสร็จก็วิ่งเข้ามาแทะชุดของเขา
แต่หลินเมิ้งหยาเอ็นดูเจ้าสองตัวนี้เหลือเกิน
พยายามควบคุมขาตนเองไม่ให้เตะสัตว์ตัวน้อยทั้งสองออก แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นรอยเปื้อน
“เฮ้อ ข้าว่าเจ้าอย่าแต่งตัวเป็นหญิงสาวเลยจะดีกว่า หรือเจ้าจะแต่งตัวเป็นฮูหยินดี? ”
เพียงพูดถึงชิงหูที่แต่งกายเป็นหญิงสาว หลินเมิ้งหยาชะงักไปในทันที
ท่าทางกรีดกรายเย้ายวน มิต่างอะไรกับโสเภณีในซ่องเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าเป็นประเภทหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าไม่มีทางรู้จักความงามของใบหน้าที่โดดเด่นยิ่งกว่าพระจันทร์บนฟ้าของข้าหรอก จริงสิ เสี่ยวอวี้ เจ้าเองก็จะอยู่ที่ตำหนักหลิวซินใช่หรือไม่? ให้ข้าเตรียมชุดเผื่อเจ้าดีหรือไม่? ผิวพรรณเจ้าขาวเนียนนุ่ม ถ้าได้ใส่ชุดของหญิงสาวเจ้าจะต้องงดงามอย่างแน่นอน”
หลินจงอวี้ส่งสายตารังเกียจไปทางชิงหูทันที คนที่ตกใจที่สุดเห็นจะเป็นป๋ายซู
เพียงได้ยินคำพูดของชิงหู ป๋ายซูชักดาบของตนเองออกมา ก่อนจะพุ่งตัวออกไปด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
“หยุดเอ่ยวาจาไร้มารยาทกับนายน้อยเดี๋ยวนี้”
ชิงหูถูกป๋ายซูไล่จนวิ่งไปรอบสวน หลินเมิ้งหยาหัวเราะคิกคัก ก่อนจะจูงมือเสี่ยวอวี้ไปที่อีกฝั่ง
“พี่สาวอยากให้ข้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือ? ”
หลินจงอวี้เหลือบมองหลินเมิ้งหยา
มือเรียวหยิกแก้มของหนุ่มน้อย ยังคงนุ่มนิ่มเหมือนเดิม แต่ว่า นับวันเด็กคนนี้ก็ยิ่งเติบโตขึ้นจนแทบกลายเป็นคนที่นางไม่รู้จัก
“ข้าอย่างไรก็ได้ แล้วแต่เจ้าจะชอบ จริงสิ เสี่ยวอวี้ เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว พวกเราต้องมีคนคอยคุ้มกันตำหนักด้วย”
ดวงตาของเด็กหนุ่มเปล่งประกาย ช่วงนี้มีคนห้อมล้อมพี่สาวมากมาย
เขาไม่มีแม้แต่โอกาสแสดงตัว ในเมื่อวันนี้พี่สาวเอ่ยขอ เขาจึงตอบตกลงโดยไม่คิด
“ขอรับ ข้าจะสั่งให้องครักษ์ลับคอยคุ้มกันตำหนักของพี่สาว จะไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายเด็ดขาด”
หลินเมิ้งหยาลูบไล้ศีรษะของหลินจงอวี้ นัยน์ตาเผยให้เห็นถึงความกังวล
นางมิเคยปล่อยให้ใครเข้ามายังตำหนักหลิวซิน
ทว่า จะต้องมีคนมากมายนับไม่ถ้วนมายังที่นี่ ถึงอย่างไรนางก็มิอาจวางใจ
“ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว แม่เด็กคนนี้ฝีมือการต่อสู้ไม่เท่าไร แต่วิชาตัวเบาล้ำเลิศอย่าบอกใครเชียว”
อันที่จริงการต่อสู้เมื่อครู่ ชิงหูทำเพราะต้องการเหย้าแหย่ป๋ายซูเท่านั้น
อันที่จริง คนที่สามารถเอาชนะชิงหูได้มีไม่มาก
“อืม ป๋ายซูสู้ ๆ อีกหน่อยฝีมือในการต่อสู้พัฒนาขึ้น จงฆ่าเจ้าจิ้งจอกไร้ยางอายคนนี้ซะ”
คนในตำหนักล้วนถูกชิงหูกลั่นแกล้งหัวเราะคิกคัก ราวกับว่าตำหนักแห่งนี้ไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ สุดท้ายวันชมดอกเก๊กฮวยก็มาถึง
หลังจากผ่านช่วงเวลาอาหารกลางวัน แขกเหรื่อก็เริ่มทยอยมา
แม้หลงเทียนอวี้กับไท่จื่อจะไม่แตกคอกัน แต่เพราะเขายังหนุ่ม อีกทั้งยังมีกำลังทางการทหารที่แข็งแกร่ง
ยิ่งไปกว่านั้น หลงเทียนอวี้ยังแต่งงานกับคุณหนูสกุลหลิน ดังนั้นในสายตาของพวกขุนนาง เขาจึงเป็นคนที่มีความสำคัญค่อนข้างมาก
บ้านสกุลที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเหล่านั้นล้วนมาถึงอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในนั้นคือสกุลเยว่
“เยว่ฉีขอถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย ถวายคำนับพระชายา”
หลังจากไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง รูปร่างของเยว่ฉีผอมลงมาก
ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ซูบตอบลง เห็นโครงหน้าอย่างชัดเจน ทว่า อุปนิสัยของนางกลับไม่ร่าเริงสดใสเหมือนแต่ก่อน
“อืม มาแล้วสินะ เปิ่นกงรู้ว่าเจ้ากับเมิ้งหยามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไปเถิด ไม่ต้องมีพิธีตรีตรองมากมาย”
“เพคะ ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ”
พระสนมเต๋อเฟยยังคงรู้สึกติดค้างเยว่ฉีอยู่เล็กน้อย
ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่ต้องรับผิดชอบในการกระทำเหล่านั้นคือฮูหยินเยว่
ส่วนเยว่ฉี นางรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นคนจิตใจดีน่าคบหา ถึงอย่างไร ลูกสาวสกุลเยว่ก็ล้วนรู้ความ อีกทั้งยังมิเคยทำเรื่องไร้มารยาท
“ฉีเอ๋อร์ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีหรือไม่? ”
เหตุเพราะเป็นนายหญิงของจวน ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงทำหน้าที่ต้อนรับแขก
แต่นางกลับดึงตัวเยว่ฉีเอาไว้ข้างกาย อย่างแรกก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมกับสกุลเยว่ อย่างที่สองก็เพื่อจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่านางคือผู้คุ้มครองดูแลคุณหนูรองสกุลเยว่ผู้นี้
ฉะนั้น แม้จะเกิดเรื่องเช่นนั้นกับเยว่ถิง แต่กลับไม่มีใครกล้าดูถูกสกุลเยว่
“สบายดีเจ้าค่ะ พี่หลิน ท่านพ่อบอกว่าท่านมีเรื่องต้องการคุยกับข้า? เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ? ”
หลังจากเยว่ถิงตายจากไป เยว่ฉีต้องเผชิญหน้ากับวันเวลาที่ยากลำบาก
ท่านพ่อกับท่านแม่เลิกรากัน ท่านพ่อขอให้นางย้ายออกจากเรือนของท่านแม่
เมื่อก่อนทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่เคารพซึ่งกันและกัน ทว่า ตอนนี้มิต่างอะไรกับน้ำและไฟ
อีกทั้ง ตอนนี้ลูก ๆ ที่เกิดจากอนุภรรยากำลังพยายามอาศัยโอกาสนี้ในการแทรกแซงเข้าหาท่านพ่อ
ตอนนี้สกุลเยว่มิได้รุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
“เรื่องนั้นค่อยคุยกันคืนนี้ เจ้าต้องรับปากกับข้าว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว”
เยว่ฉีพยักหน้าลง หลังจากพี่สาวตายจากไป มีเพียงพี่หลินคนเดียวที่กลายเป็นที่พึ่งของนาง
ดวงตากลมโตมองดูเด็กสาวที่ถูกบังคับให้เติบโต หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย
คนที่มาชมดอกไม้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนาง
ส่วนพวกแม่ทัพชื่นชอบงานเลี้ยงยามค่ำคืนมากกว่า
หลินเมิ้งหยาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนจะพาเยว่ฉีและสาวใช้กลับไปยังตำหนักหลิวซิน
เพียงเดินเข้าไป นางได้เห็นคนนั่งอยู่ในศาลาเล็ก อีกทั้งคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านบนกลอนเอ่ยต่อตอบซึ่งกันและกัน
หลงเทียนอวี้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ทว่า สายตาของเขากลับพุ่งตรงมาที่หลินเมิ้งหยา
“โอ้ว นี่พี่สะใภ้สามมิใช่หรือ ความงามของท่านมิเคยเป็นรองผู้ใดเลย”
ท่ามกลางคนเหล่านั้น มีเพียงหลงชิงหานที่กล้าพูดจาล้อเล่นเช่นนี้กับหลินเมิ้งหยา
นางหยักยิ้ม หลินเมิ้งหยาเอ่ยอย่างมีมารยาท
“ท่านอ๋อง ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว เชิญทุกท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหน้ากากเถิด”
ทุกคนแม้จะรู้กฎกติกาเป็นอย่างดี แต่ไม่รู้เลยว่าชายาอวี้ผู้นี้กำลังจะทำอะไรกันแน่
“อืม เชิญทุกท่านเถิด”
คนที่รออย่างมีความหวังยังมีหลงเทียนอวี้อีกคน
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงมากมายนับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้
เมื่อเหล่าขุนนางพากันเดินตามเสี่ยวซีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักฉินหวู่
อยู่ ๆ ร่างของป๋ายซูพลันปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหลินเมิ้งหยา
“นายหญิง เป็นไปตามที่ท่านคาด มีคนต้องการเข้าไปในห้องของท่าน ตอนนี้ข้าไล่พวกเขากลับไปแล้ว”