เล่มที่ 6 บทที่ 159 เริ่มงานเลี้ยง

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“พอลูกโตก็เลิกสนใจแม่สินะ เอาล่ะ ข้าไม่รบกวนเวลาของพวกเจ้าแล้ว จิ่นเยว่ พวกเรากลับกันเถิด อย่าไปวุ่นวายกับหย๋าเอ๋อร์ให้เสียเรื่องเลย”

  ลูกชายและลูกสะใภ้รักกันปานจะกลืนกิน นางที่เป็นแม่สามีเห็นแล้วอดที่จะดีใจไม่ได้

  ดังนั้น พระสนมเต๋อเฟยจึงพาจิ่นเยว่ออกจากเรือนของหลินเมิ้งหยาไป

  “ท่านอ๋องมีความเห็นเช่นไรเพคะ? ”

  คำพูดไม่กี่ประโยคของพระสนมเต๋อเฟยทำให้หลงเทียนอวี้แสดงสีหน้าอึดอัด

  หลินเมิ้งหยารีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดของทั้งคู่

  “ไม่มี”

  เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

  ราวกับสมองของนางมักมีความคิดแปลกประหลาดอยู่เสมอ

  แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าครู่ต่อไปนางจะทำอะไร

  เมื่ออยู่ต่อหน้านาง กลิ่นไอของความลึกลับมักวนเวียนอยู่รอบตัวเสมอ

  “หม่อมฉันได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดของท่านอ๋องหรือเพคะ? ”

  นางก้มหน้าลง หลงเทียนอวี้จึงมองใบหน้าของนางได้ไม่ชัดเจน

  ใบหน้าคมคายพยักหน้าลงด้วยความลังเล

  วันเกิดอย่างนั้นหรือ?

  นับตั้งแต่วันที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เขาไม่เคยจัดงานวันเกิดเลย

  “อืม”

  หลินเมิ้งหยาวางแผนบางอย่างในใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลงเทียนอวี้ยังคงเป็นคนให้ข้าวให้น้ำนางอยู่

  เช่นนั้นนางควรจะหาเวลาตีสนิทให้มากกว่านี้

  “เช่นนั้น ในวันเกิดของท่านอ๋อง ท่านอ๋องสามารถปลีกตัวออกมาได้หรือไม่เพคะ? ”

  ช่วงนี้หลงเทียนอวี้ยุ่งมาก แม้หมิงเยว่จะไปแล้ว อีกทั้งยังมิมีใครกวนเขาอีก แต่โอกาสที่ทั้งสองจะได้เจอกันก็น้อยมาก

  ทุกครั้งที่ได้เจอกัน พวกเขาสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคแล้วก็แยกจากไป

  แม้จะไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาต้องการจะทำอะไร แต่เขาก็ครุ่นคิดอย่างจริงจัง วันนั้นเหมือนจะไม่มีงานสำคัญ

  “น่าจะไม่มีเรื่องอะไรต้องทำ แต่ถ้าหากมี ข้าจะบอกเจ้าก่อน”

  หลินเมิ้งหยารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นางหยักยิ้มกว้าง

  “เช่นนั้พวกเราสัญญากันแล้วนะเพคะ มาเถิด เกี่ยวก้อยกัน”

  ใช้นิ้วก้อยของตนเองเกี่ยวกับนิ้วก้อยของหลงเทียนอวี้

  ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือประทับกัน แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่หลินเมิ้งหยาทำคืออะไร แต่หลงเทียนอวี้สัมผัสได้ว่าจะต้องเป็นการทำสัญญาอย่างแน่นอน

  “อืม”

  หัวใจเปี่ยมไปด้วยความหวัง นางคิดจะทำอะไรให้เขาประหลาดใจกันนะ?

  การตระเตรียมงานเลี้ยงสำเร็จไปได้ด้วยดี หลินเมิ้งหยาตกแต่งสถานที่งานเลี้ยงของฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงไม่เหมือนกัน

  ทางฝั่งของฝ่ายชาย หลินเมิ้งหยาจัดฉากเป็นทางน้ำคดเคี้ยวที่ตำหนักฉินหวู่ของหลงเทียนอวี้

  โรยหินกรวดแม่น้ำเสมือนงูเลื้อย แม้จะไม่ยาวมาก แต่ถึงกระนั้นนางได้เตรียมเรือบรรทุกดอกไม้เอาไว้หลายลำ

  เมื่อถึงเวลา คนใช้ที่ถูกเตรียมเอาไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะจะอยู่ที่อีกฝั่งและวางคำใบ้ปริศนาลงบนเรือ

  ทางฝั่งของฝ่ายหญิง นางใช้โคมไฟในการทายปริศนา

  ทั้งไฟที่มืดและสว่าง ส่งความรู้สึกเสมือนขี่ม้าชมดอกไม้ สวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง

  แขกเหรื่อจะได้ชมดอกไม้ในช่วงเวลากลางวัน เมื่อตกกลางคืน ทุกคนจะสวมหน้ากาก เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเข้าไปเล่นเกมในสวนของแต่ละฝั่ง

  ตอนกลางคืน โคมไฟถูกประดับประดาอย่างสวยงามเหมือนอยู่บนสวรรค์ในตำหนักหลิวซิน

  แม้แต่สาวใช้ทั้งสี่ยังอดนึกสนุกไม่ได้

  หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาออกคำสั่งเอาไว้ ป่านนี้พวกนางคงเข้าไปเล่นเกมทายปริศนาด้วยแล้ว

  “เจ้าเด็กน้อย เจ้าเด็กน้อย ข้าเองก็อยากไปเล่นด้วย”

  ชิงหูไม่เคยไปร่วมงานเลี้ยงที่ดูน่าสนุกสนานเช่นนี้มาก่อน เขารบเร้าหลินเมิ้งหยาแต่เช้า

  “เจ้า? ได้สิ แต่เจ้าจะไปตำหนักไหนเล่า? ”

  กัดชงโหยวปิ่งเอาไว้ในปาก หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงเรียบ แอบเช็ดถูมือที่เปื้อนน้ำมันลงบนชุดสีขาวของชิงหู

  “พวกผู้ชายมีอะไรน่ามองกัน อีกอย่าง เวลาชมดอกเก๊กฮวยก็ต้องมีคนอธิบายมิใช่หรือ? ”

  ชิงหูจ้องมองรอยเปื้อนน้ำมันบนเสื้อผ้าของตนเองด้วยความปวดใจ นี่เป็นชุดที่เขาซื้อมาใหม่นะ!

  ใครจะรู้เล่าว่าแม้แต่อาป๋ายกับอาเสว่ที่เพิ่งกินอาหารเสร็จก็วิ่งเข้ามาแทะชุดของเขา

  แต่หลินเมิ้งหยาเอ็นดูเจ้าสองตัวนี้เหลือเกิน

  พยายามควบคุมขาตนเองไม่ให้เตะสัตว์ตัวน้อยทั้งสองออก แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นรอยเปื้อน

  “เฮ้อ ข้าว่าเจ้าอย่าแต่งตัวเป็นหญิงสาวเลยจะดีกว่า หรือเจ้าจะแต่งตัวเป็นฮูหยินดี? ”

  เพียงพูดถึงชิงหูที่แต่งกายเป็นหญิงสาว หลินเมิ้งหยาชะงักไปในทันที

  ท่าทางกรีดกรายเย้ายวน มิต่างอะไรกับโสเภณีในซ่องเลยแม้แต่น้อย

  “เฮ้อ ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าเป็นประเภทหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าไม่มีทางรู้จักความงามของใบหน้าที่โดดเด่นยิ่งกว่าพระจันทร์บนฟ้าของข้าหรอก จริงสิ เสี่ยวอวี้ เจ้าเองก็จะอยู่ที่ตำหนักหลิวซินใช่หรือไม่? ให้ข้าเตรียมชุดเผื่อเจ้าดีหรือไม่? ผิวพรรณเจ้าขาวเนียนนุ่ม ถ้าได้ใส่ชุดของหญิงสาวเจ้าจะต้องงดงามอย่างแน่นอน”

  หลินจงอวี้ส่งสายตารังเกียจไปทางชิงหูทันที คนที่ตกใจที่สุดเห็นจะเป็นป๋ายซู

  เพียงได้ยินคำพูดของชิงหู ป๋ายซูชักดาบของตนเองออกมา ก่อนจะพุ่งตัวออกไปด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

  “หยุดเอ่ยวาจาไร้มารยาทกับนายน้อยเดี๋ยวนี้”

  ชิงหูถูกป๋ายซูไล่จนวิ่งไปรอบสวน หลินเมิ้งหยาหัวเราะคิกคัก ก่อนจะจูงมือเสี่ยวอวี้ไปที่อีกฝั่ง

  “พี่สาวอยากให้ข้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือ? ”

  หลินจงอวี้เหลือบมองหลินเมิ้งหยา

  มือเรียวหยิกแก้มของหนุ่มน้อย ยังคงนุ่มนิ่มเหมือนเดิม แต่ว่า นับวันเด็กคนนี้ก็ยิ่งเติบโตขึ้นจนแทบกลายเป็นคนที่นางไม่รู้จัก

  “ข้าอย่างไรก็ได้ แล้วแต่เจ้าจะชอบ จริงสิ เสี่ยวอวี้ เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว พวกเราต้องมีคนคอยคุ้มกันตำหนักด้วย”

  ดวงตาของเด็กหนุ่มเปล่งประกาย ช่วงนี้มีคนห้อมล้อมพี่สาวมากมาย

  เขาไม่มีแม้แต่โอกาสแสดงตัว ในเมื่อวันนี้พี่สาวเอ่ยขอ เขาจึงตอบตกลงโดยไม่คิด

  “ขอรับ ข้าจะสั่งให้องครักษ์ลับคอยคุ้มกันตำหนักของพี่สาว จะไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายเด็ดขาด”

  หลินเมิ้งหยาลูบไล้ศีรษะของหลินจงอวี้ นัยน์ตาเผยให้เห็นถึงความกังวล

  นางมิเคยปล่อยให้ใครเข้ามายังตำหนักหลิวซิน

  ทว่า จะต้องมีคนมากมายนับไม่ถ้วนมายังที่นี่ ถึงอย่างไรนางก็มิอาจวางใจ

  “ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว แม่เด็กคนนี้ฝีมือการต่อสู้ไม่เท่าไร แต่วิชาตัวเบาล้ำเลิศอย่าบอกใครเชียว”

  อันที่จริงการต่อสู้เมื่อครู่ ชิงหูทำเพราะต้องการเหย้าแหย่ป๋ายซูเท่านั้น

  อันที่จริง คนที่สามารถเอาชนะชิงหูได้มีไม่มาก

  “อืม ป๋ายซูสู้ ๆ อีกหน่อยฝีมือในการต่อสู้พัฒนาขึ้น จงฆ่าเจ้าจิ้งจอกไร้ยางอายคนนี้ซะ”

  คนในตำหนักล้วนถูกชิงหูกลั่นแกล้งหัวเราะคิกคัก ราวกับว่าตำหนักแห่งนี้ไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อย

  ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ สุดท้ายวันชมดอกเก๊กฮวยก็มาถึง

  หลังจากผ่านช่วงเวลาอาหารกลางวัน แขกเหรื่อก็เริ่มทยอยมา

  แม้หลงเทียนอวี้กับไท่จื่อจะไม่แตกคอกัน แต่เพราะเขายังหนุ่ม อีกทั้งยังมีกำลังทางการทหารที่แข็งแกร่ง

  ยิ่งไปกว่านั้น หลงเทียนอวี้ยังแต่งงานกับคุณหนูสกุลหลิน ดังนั้นในสายตาของพวกขุนนาง เขาจึงเป็นคนที่มีความสำคัญค่อนข้างมาก

  บ้านสกุลที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเหล่านั้นล้วนมาถึงอย่างรวดเร็ว

  หนึ่งในนั้นคือสกุลเยว่

  “เยว่ฉีขอถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย ถวายคำนับพระชายา”

  หลังจากไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง รูปร่างของเยว่ฉีผอมลงมาก

  ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ซูบตอบลง เห็นโครงหน้าอย่างชัดเจน ทว่า อุปนิสัยของนางกลับไม่ร่าเริงสดใสเหมือนแต่ก่อน

  “อืม มาแล้วสินะ เปิ่นกงรู้ว่าเจ้ากับเมิ้งหยามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไปเถิด ไม่ต้องมีพิธีตรีตรองมากมาย”

  “เพคะ ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ”

  พระสนมเต๋อเฟยยังคงรู้สึกติดค้างเยว่ฉีอยู่เล็กน้อย

  ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่ต้องรับผิดชอบในการกระทำเหล่านั้นคือฮูหยินเยว่

  ส่วนเยว่ฉี นางรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นคนจิตใจดีน่าคบหา ถึงอย่างไร ลูกสาวสกุลเยว่ก็ล้วนรู้ความ อีกทั้งยังมิเคยทำเรื่องไร้มารยาท

  “ฉีเอ๋อร์ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีหรือไม่? ”

  เหตุเพราะเป็นนายหญิงของจวน ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงทำหน้าที่ต้อนรับแขก

  แต่นางกลับดึงตัวเยว่ฉีเอาไว้ข้างกาย อย่างแรกก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมกับสกุลเยว่ อย่างที่สองก็เพื่อจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่านางคือผู้คุ้มครองดูแลคุณหนูรองสกุลเยว่ผู้นี้

  ฉะนั้น แม้จะเกิดเรื่องเช่นนั้นกับเยว่ถิง แต่กลับไม่มีใครกล้าดูถูกสกุลเยว่

  “สบายดีเจ้าค่ะ พี่หลิน ท่านพ่อบอกว่าท่านมีเรื่องต้องการคุยกับข้า? เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ? ”

  หลังจากเยว่ถิงตายจากไป เยว่ฉีต้องเผชิญหน้ากับวันเวลาที่ยากลำบาก

  ท่านพ่อกับท่านแม่เลิกรากัน ท่านพ่อขอให้นางย้ายออกจากเรือนของท่านแม่

  เมื่อก่อนทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่เคารพซึ่งกันและกัน ทว่า ตอนนี้มิต่างอะไรกับน้ำและไฟ

  อีกทั้ง ตอนนี้ลูก ๆ ที่เกิดจากอนุภรรยากำลังพยายามอาศัยโอกาสนี้ในการแทรกแซงเข้าหาท่านพ่อ

  ตอนนี้สกุลเยว่มิได้รุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว

  “เรื่องนั้นค่อยคุยกันคืนนี้ เจ้าต้องรับปากกับข้าว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว”

  เยว่ฉีพยักหน้าลง หลังจากพี่สาวตายจากไป มีเพียงพี่หลินคนเดียวที่กลายเป็นที่พึ่งของนาง

  ดวงตากลมโตมองดูเด็กสาวที่ถูกบังคับให้เติบโต หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย

  คนที่มาชมดอกไม้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนาง

  ส่วนพวกแม่ทัพชื่นชอบงานเลี้ยงยามค่ำคืนมากกว่า

  หลินเมิ้งหยาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนจะพาเยว่ฉีและสาวใช้กลับไปยังตำหนักหลิวซิน

  เพียงเดินเข้าไป นางได้เห็นคนนั่งอยู่ในศาลาเล็ก อีกทั้งคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านบนกลอนเอ่ยต่อตอบซึ่งกันและกัน

  หลงเทียนอวี้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ทว่า สายตาของเขากลับพุ่งตรงมาที่หลินเมิ้งหยา

  “โอ้ว นี่พี่สะใภ้สามมิใช่หรือ ความงามของท่านมิเคยเป็นรองผู้ใดเลย”

  ท่ามกลางคนเหล่านั้น มีเพียงหลงชิงหานที่กล้าพูดจาล้อเล่นเช่นนี้กับหลินเมิ้งหยา

  นางหยักยิ้ม หลินเมิ้งหยาเอ่ยอย่างมีมารยาท

  “ท่านอ๋อง ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว เชิญทุกท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหน้ากากเถิด”

  ทุกคนแม้จะรู้กฎกติกาเป็นอย่างดี แต่ไม่รู้เลยว่าชายาอวี้ผู้นี้กำลังจะทำอะไรกันแน่

  “อืม เชิญทุกท่านเถิด”

  คนที่รออย่างมีความหวังยังมีหลงเทียนอวี้อีกคน

  ตั้งแต่เด็กจนโต เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงมากมายนับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้

  เมื่อเหล่าขุนนางพากันเดินตามเสี่ยวซีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักฉินหวู่

  อยู่ ๆ ร่างของป๋ายซูพลันปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหลินเมิ้งหยา

  “นายหญิง เป็นไปตามที่ท่านคาด มีคนต้องการเข้าไปในห้องของท่าน ตอนนี้ข้าไล่พวกเขากลับไปแล้ว”