ดวงหน้างามพยักหน้าลง หลินเมิ้งหยายังคงรักษารอยยิ้มมีมารยาทที่มีอยู่บนใบหน้า
“ดี จับตามองต่อไป”
“เจ้าค่ะ”
ฝ่ายชายไปที่ตำหนักฉินหวู่แล้ว ที่นั้นมีสิ่งที่พวกผู้ชายชอบอยู่
เวลายามค่ำคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว หลินเมิ้งหยามิได้จัดงานเลี้ยงธรรมดาดาษดื่นทั่วไป แต่กลับจัดงานเลี้ยงแบบที่ต้องบริการตัวเอง
ไม่ว่าจะอาหารหรือเหล้า นางล้วนตระเตรียมเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หยิบสิ่งที่ต้องการด้วยตนเอง อาหารหลากหลายประเภท ดังนั้น บรรยากาศจึงเหมาะกับงานเลี้ยงสวมหน้ากากในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่ฟ้ามืด หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนจุดไฟ
ตอนกลางวัน เหล่าหญิงสาวล้วนเปลี่ยนชุดเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกนางล้วนเกาะกลุ่มกันชมดอกเก๊กฮวยภายในสวนหลิวซิน
“หย๋าเอ๋อร์ งานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวยในวันนี้แตกต่างออกไปจริงๆ ”
หลินเมิ้งหยาช่วยพระสนมเต๋อเฟยเปลี่ยนเป็นชุดสีม่วงอ่อน
หญิงสาวที่ยังมิออกเรือนล้วนสวมใส่ชุดสีเขียวสีชมพู
แต่ถ้าหากเป็นหญิงที่ออกเรือนแล้วจะได้สวมใส่ชุดสีม่วงอ่อนหรือสีฟ้าอ่อน
คนรับใช้เองก็สวมชุดแตกต่างกัน
แม้จะดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร แต่ถึงกระนั้นก็ไร้ซึ่งความวุ่นวาย
“ขอเพียงหมู่เฟยชอบ หม่อมฉันก็ดีใจแล้วเพคะ อีกเดี๋ยว หม่อมฉันจะให้น้าจิ่นเยว่พาหมู่เฟยไปเล่นเกมทายปริศนานะเพคะ หม่อมฉันเคยได้ยินท่านอ๋องเล่าให้ฟังว่าหมู่เฟยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดในเมืองหลวง”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้พระสนมเต๋อเฟยยิ้มกว้าง
แม้แต่เหล่าฮูหยินที่มาร่วมงานก็ล้วนเอ่ยชื่นชมลูกชายและลูกสะใภ้ของนางไม่หยุดปาก
ดังนั้น ความโศกเศร้าของพระสนมเต๋อเฟยจึงมลายหายไป
“พระชายา หนู่ปี้มารับใช้เหนียงเหนียงเพคะ”
จินเยว่เข้าไปพยุงพระสนมเต๋อเฟย ก่อนจะส่งสายตาให้หลินเมิ้งหยาวางใจ
ท่ามกลางงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ หลินเมิ้งหยาที่เป็นแม่งานจึงมีเรื่องให้ทำมากมาย
“อืม รบกวนท่านน้าด้วย”
หลินเมิ้งหยาออกไปเงียบ ๆ ปะปนกับกลุ่มคน ก่อนจะกลับไปยังห้องของตนเอง
“เหตุการณ์เป็นเช่นไร? ”
นับตั้งแต่งานเลี้ยงอาหารเย็นเริ่มต้นขึ้น ป๋ายซูเอ่ยว่ามีคนจำนวนมากต้องการเข้ามาในห้องนี้
“คนพวกนั้นมีทั้งเข้ามาจริงและไม่จริง พวกเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าใครต้องการมาสร้างความวุ่นวาย”
ชิงหูไม่ได้แต่งกายเป็นหญิง แต่กลับสวมใส่ชุดสีดำ เร้นกายในความมืด ก่อนจะผันตัวไปเป็นหัวหน้าองครักษ์ของตำหนักหลิวซิน
ใบหน้าหล่อเหลาเจือไว้ซึ่งความเย็นชา คนพวกนี้ทำให้เขารำคาญ
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง แม้แต่นางเองก็คิดไม่ถึง
ดูเหมือน การที่เจียงหรูฉินสนับสนุนให้พระสนมเต๋อเฟยจัดงานเลี้ยงจะต้องมีนัยะแอบแฝงอย่างแน่นอน
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการก่อความวุ่นวาย เช่นนั้นพวกเรามาช่วยกันจับเต่าใส่โกศกันเถิด”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่เหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ของนางทำให้คนอื่นขนลุกชัน
ทั้งตำหนักหลิวซินและฉินหวู่ล้วนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
สีของท้องฟ้าเข้มขึ้น ทุกคนละทิ้งตัวตนของตนเองในเวลานี้ แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยยังหวนกลับไปคิดถึงชีวิตอันสวยงามของตนเองครั้นสมัยยังสาว
หลินเมิ้งหยาซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน สาวใช้ทั้งสี่ถูกนางซ่อนตัวเอาไว้ในห้อง
หนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เข้าไปก่อความวุ่นวาย สองเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น
ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด หลินเมิ้งหยามองสำรวจกลุ่มคน
เจียงหรูฉินมิได้ติดตามอยู่ข้างกายพระสนมเต๋อเฟย
หลินเมิ้งหยาทำสัญลักษณ์พิเศษบนเสื้อผ้าและหน้ากาก ดังนั้นจึงมีเพียงนางคนเดียวที่รู้จักสัญลักษณ์เหล่านั้น
ทุกคนเดินกันวุ่นวาย
มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าใครเป็นใคร
ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างราบรื่น แต่มิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทันใดนั้นทางฝั่งตำหนักหลิวซินก็เกิดเสียงแผดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น
ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
หลินเมิ้งหยายืนอยู่ภายในเงามืดใต้ชายคาเรือน
“พี่สาว ต้องออกไปดูหรือไม่? ”
ร่างของหลินจงอวี้พลันปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหลินเมิ้งหยา
ทว่า นางกลับส่ายหน้า
หากออกไปตอนนี้ อาจมีใครอาศัยจังหวะนี้ในการก่อเรื่องวุ่นวาย
“พวกเรารอก่อนเถิด ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริง จะต้องมีคนรายงานอย่างแน่นอน”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลินเมิ้งหยา เสียงร้องตะโกนพลันดังขึ้นมา
“ช่วยด้วย เกิดเรื่องแล้ว ช่วยด้วย! ”
มองดูการแต่งกาย นางน่าจะเป็นสาวใช้
หลินเมิ้งหยารีบพุ่งตัวออกไป แหวกกลุ่มคนออก
ผลปรากฏว่า บนพื้นมีผู้หญิงผมเผ้ารุงรังเหมือนคนบ้านอนอยู่
อ้วกออกมาเป็นฟองสีขาว แขนขากระตุก
ความสงสัยและตื่นตระหนกเผยให้เห็นในดวงตาของหลินเมิ้งหยา ทว่าสีหน้ายังคงเหมือนเดิม ก่อนจะร้องตะโกน
“แย่แล้ว ต้องเป็นลมบ้าหมูอย่างแน่นอน เร็วเข้า พานางเข้าไปในห้อง”
ผ๋อจื่อร่างกายแข็งแรงรีบเข้ามาย้ายร่างผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้อง
สายตาเป็นกังวลหลายคู่จ้องมองไปยังทิศทางที่ผู้หญิงคนนั้นถูกเคลื่อนย้ายไป
“ทุกท่านอย่าได้กังวล เป็นเพียงอาการป่วยอย่างหนึ่งเท่านั้น ในงานเลี้ยงมีหมอหลวงคอยทำการรักษา”
เหตุเพราะเป็นแม่งาน ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงต้องเอ่ยออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง คนอื่นๆ จึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าจะไปดูหน่อย เชิญทุกท่านสนุกกันต่อเถิด”
หลินเมิ้งหยาเองก็ตามไปยังห้องเล็กห้องนั้น ทันทีที่เข้าไป นางชำเลืองมองผ๋อจื่อเหล่านั้น
ชิงหูกับหลินจงอวี้ตามเข้ามาด้วยเช่นกัน มองดูผู้หญิงบนเตียง แววตาประหลาดใจ
“เหมือนจะไม่ใช่ลมบ้าหมู? ”
ชิงหูเคยผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เมื่อได้เห็นท่าทางสงบนิ่งของผู้หญิงบนเตียง เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง สายตาเย็นชา
“เป็นปฏิกิริยาของคนแพ้ยา พวกเจ้าลองดูหน้าของนางสิ แดงมากเลยใช่หรือไม่”
ชิงหูยื่นมือเข้าไปถอดหน้ากาก ผลปรากฏว่า ใบหน้าของผู้หญิงที่กำลังปิดตาสนิทแดงเถือก
“เช่นนั้นนางจะตายหรือไม่? ”
หลินจงอวี้ห่วงเรื่องนี้ที่สุด หากผู้หญิงคนนี้ตายในจวนของหลินเมิ้งหยา เช่นนั้นข่าวลือเสียๆ หายๆ ก็จะถูกแพร่กระจายออกไป
โชคดีที่หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า อาการร้ายแรงที่สุดจากการแพ้ยาคือผู้แพ้จะสลบไป
ความสงสัยเกาะกุมหัวใจ ดูเหมือนคนผู้นี้จะกำลังถูกหลอกใช้
แต่ใครกันนะที่สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา?
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าจะตามคนมาดูแลนาง”
ทั้งสองสบตากัน พยักหน้า ก่อนที่จะหายไป
หลินเมิ้งหยาจ้อง ประตูถูกเปิดออก
“เข้ามา หาคนมาดูแลนางด้วย อีกเดี๋ยวหมอก็จะมาถึง”
เสียงตอบรับของผ๋อจื่นสามสี่คนดังขึ้น หลินเมิ้งหยามองดูผู้หญิงบนเตียง ครุ่นคิด
หวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น
เหตุเพราะเกิดเรื่องนี้กลางคัน ดังนั้นบรรยากาศในงานเลี้ยงจึงไม่ครึกครื้นเหมือนอย่างตอนแรก
หลินเมิ้งหยาที่เป็นแม่งานจึงจำเป็นต้องออกไปสร้างบรรยากาศด้วยตนเอง
“ทุกท่าน เรื่องเมื่อครู่คงทำให้พวกท่านหมดสนุก อย่างที่บอกไปแล้วว่าผู้ชนะในการแข่งขันทายปริศนาในครั้งนี้จะได้รับรางวัล เช่นนั้น ข้าจะขอนำรางวัลออกมาให้ชื่นชมก่อน”
สิ้นเสียงของหลินเมิ้งหยา มีคนนำกล่องผ้าหรูหราออกมา
นางหยิบกล่องผ้าไปเปิดออก ด้านในเผยให้เห็นแสงส่องประกาย
“นี่มัน…ไข่มุกเย่หมิงจูที่ซีฟานนำมามอบให้เป็นเครื่องราชบรรณาการมิใช่หรือ? พระชายากลับนำมาเป็นของรางวัล ใจป้ำเหลือเกิน”
เสียงสูดกลืนน้ำลายดังขึ้นที่ด้านล่าง
ไข่มุกเย่หมิงจูไม่เพียงเปล่งแสงได้ในเวลายามค่ำคืน หากใส่มันไว้ในปากตอนตาย จะทำให้ศพไม่เน่าเปื่อยไปอีกพันปี
ยิ่งหายากมากเท่าไร ราคาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“นี่คือของรางวัลที่พระสนมเต๋อเฟยต้องการมอบให้ทุกคน ทุกท่านล้วนมีโอกาส ข้าเห็นแล้วว่าคำปริศนาที่อยู่บนระเบียงยังมิมีใครเดาออก หากเดาได้แล้วจงถือเอาไว้ในมือ แต่ถ้าหากถือไว้แล้วแต่ทายไม่ออก เช่นนั้นจะต้องถูกหักคะแนน หวังว่าทุกคนจะได้รับรางวัลนี้”
นอกจากผู้คว้าชัยชนะแล้ว หลินเมิ้งหยายังตระเตรียมรางวัลอื่น ๆ ไว้อีกมาก
ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมสนุกในการแข่งขัน
ทุกคนตื่นตะลึงกับความใจกว้างของพระชายาเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังซาบซึ้งในความใจดีของพระสนมเต๋อเฟย
“หมู่เฟย ท่านคิดว่าทำเช่นนี้ดีหรือไม่? ”
พระสนมเต๋อเฟยพยักหน้าลง หลินเมิ้งหยาจัดการได้เป็นอย่างดี
สามารถทำให้แขกเหรื่อในงานทุกคนล้วนสนุกสนานและกระตือรือร้นขึ้นมา
นางที่ยืนมองอยู่ด้านข้างหัวเราะคิกคัก
เพียงแค่ไข่มุกเม็ดเดียวเท่านั้น เทียบไม่ได้กับความดีใจในค่ำคืนนี้
“เจ้านี่หนา นับวันยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่ข้ายังเอ่ยชมเจ้ากับท่านอาคนโตอยู่เลยว่าเจ้ามิใช่คนธรรมดา”
อาคนโต? อยู่ ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกถึงครอบครัวของพระสนมเต๋อเฟยขึ้นมาได้ เหมือนจะเป็นพ่อของเจียงหรูฉินใช่หรือไม่?
“ไอหยา หม่อมฉันสมควรตาย เหตุเพราะแบ่งแยกชายหญิง ดังนั้นจึงลืมจัดให้ครอบครัวของหมู่เฟยมาพบปะกัน ท่านน้าจิ่นเยว่รีบไปเชิญท่านอามาเถิด”
สกุลเจียงเป็นญาติฝ่ายหญิง ดังนั้นปกติแล้วจึงมิได้ไปมาหาสู่กันเท่าไรนัก
โดยเฉพาะเจียงเฟิงที่เป็นพ่อของเจียงหรูฉิน เหตุเพราะเป็นขุนนางประจำการในพื้นที่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานมากแล้ว
เหตุเพราะนี่เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ดังนั้นขุนนางที่ออกไปทำงานนอกเมืองหลวงจึงได้กลับบ้าน
“เจ้าจัดการทุกอย่างได้ดีแล้ว เพียงเท่านี้แขกและเจ้าของงานก็ได้รับความสนุกเพลิดเพลิน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอาของเจ้ามิใช่คนพูดเก่ง ปล่อยให้เขาสนุกอยู่ทางฝั่งนู้นเถิด”
พระสนมเต๋อเฟยพยายามยับยั้งความเห็นแก่ตัว ดังนั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงญาติสนิทมิตรสหายของตนเอง
แม้หลินเมิ้งหยาจะพยักหน้าลง ทว่ากลับมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในใจ อยากให้เจียงเฟิงได้พูดคุยกับพระสนมเต๋อเฟย
ยังไม่ทันที่นางจะคิดหาวิธีได้ เสียงร้องของขันทีพลันดังขึ้นที่ด้านนอก
“ฮองเฮาเสด็จ…ไท่จื่อเสด็จ…”
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เหตุใดสองแม่ลูกคู่นี้จึงตามรังควานไม่เลิก
ทุกคนล้วนรู้เรื่องความระหองระแหงระหว่างฮองเฮาและพระสนมเต๋อเฟยดี
ดังนั้นการมาของฮองเฮาในวันนี้จะต้องมีเรื่องอันใดแอบแฝงอย่างแน่นอน
อีกทั้ง ฮองเฮายังพาไท่จื่อมาด้วย เกรงว่าจะต้องต่อว่าก่อกวนอย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาเห็นความรังเกียจในแววตาของพระสนมเต๋อเฟย
แต่เพราะเป็นกฎ ดังนั้นนางจึงต้องออกไปต้อนรับด้วยตนเอง
“เซี่ยเฉินถวายคำนับฮองเฮา มิรู้ว่าฮองเฮาจะเสด็จมาที่นี่ ดังนั้นจึงมิได้ไปเชิญด้วยตนเอง ฮองเฮาได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วยเพคะ”