จิ๋งจิ่วยื่นมือเชิญสมณะแก่รูปนั้นนั่งลง
สมณะแก่อธิบายเสียงเบาๆ สองสามประโยค
ที่แท้วัดกั่วเฉิงได้ยินเรื่องนี้เข้า ใจเป็นกังวลว่าผู้บำเพ็ญพรตจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาวุธวิเศษจนบาดเจ็บล้มตาย จึงส่งพวกเขาสองคนมาเพื่อจะได้ช่วยเหลือ
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะวัดกั่วเฉิงทำแบบนี้มานานแล้ว
หากเพิ่งรู้จักกัน คงจะรู้สึกว่าสมณะแพทย์เหล่านี้ดื้อรั้น หวังในชื่อเสียง กระทั่งรู้สึกว่าชอบทำตัวเหนือคนธรรมดา
แต่วัดกั่วเฉิงทำตัวเหนือคนธรรมดามานานหลายพันปีแล้ว พวกเขาจึงได้รับความเคารพนับถือจากทั่วทั้งโลก รวมไปถึงดินแดนหมิงด้วย
“ประสกล่ะ?” สมณะแก่ถาม
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพียงแค่มาดูเท่านั้น ถ้ำนั้นมิใช่ของจริง เป็นแค่เรื่องล้อเล่น”
สมณะแก่เข้าใจ ในอดีตมักจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยครั้ง
ในอดีตมีผู้อาวุโสยอดฝีมือบางคน ก่อนที่จะบรรลุกลายเป็นเซียนหรือว่าหายไป มักจะชอบทำถ้ำปลอมขึ้นมาเพื่อล้อเล่นกับคนรุ่นหลัง
สมณะแก่กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “แต่ว่า…ท่านนักพรตจิ่งหยางมิได้มีนิสัยแบบนี้นี่นา”
แต่ว่า…นักพรตอีกคนหนึ่งชอบน่ะสิ
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด
ลมกระโชกขึ้นมา กองไฟภายในวัดถูกพัดจนโบกสะบัด
ผู้บำเพ็ญพรตสิบกว่าคนพากันลุกขึ้นแล้วพุ่งออกไปนอกวัด สายตามองไปยังที่ๆ หนึ่งบนภูเขา
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีลำแสงอาวุธวิเศษวูบไหลราวกับสายน้ำ มีลมพัดขึ้นมาจากที่ตรงนั้น
“ถ้ำจะเปิดแล้ว!”
“ข้าขอตัวก่อนล่ะ!”
ผู้บำเพ็ญพรตบางคนทนไม่ไหว รีบมุ่งหน้าไปยังถ้ำ เข้าไปในพื้นที่ยี่สิบลี้
ลำแสงกระบี่หลายสายส่องสว่างท้องฟ้ายาค่ำคืน ในป่ารอบๆ มีผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากปรากฏกาย
จิ๋งจิ่วลอยขึ้นไปบนยอดไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สายตาทอดมองไปยังอีกฟาก นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
ในอดีตตอนที่อยู่ตรงหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่าลี้นั้น คนผู้นั้นเคยกล่าวไว้เช่นนี้ว่า
“หากพวกโง่เขลาที่โลภมากเหล่านั้นพบว่าในถ้ำไม่มีของวิเศษ มีแค่เพียงกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง พวกเขาจะโมโหจนตายหรือไม่?”
ครั้นกล่าวจบ คนผู้นั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุขออกมา เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปทั่วยอดเขา
หลังผ่านไปนานหลายปี เสียงหัวเราะนั้นคล้ายยังดังสะท้อนอยู่ที่นี่
จู่ๆ สายตาจิ๋งจิ่วพลันแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้นมา คล้ายกระบี่ที่แท้จริงเล่มหนึ่ง
เขาลอยลงมาจากยอดไม้ ไร้ซึ่งซุ่มเสียง คล้ายดั่งใบไม้ร่วงใบหนึ่ง จากนั้นแฝงตัวเข้าไปในความมืด
ผ่านไปไม่นาน เขามาปรากฏตัวอยู่บนหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่าลี้แห่งนั้น
เขาเชื่อว่าตนเองมิได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา กระทั่งการกระเพื่อมของลมก็น้อยมาก หากเมื่อครู่มีคนอยู่ที่นี่ เขาน่าจะไม่รับรู้ถึงการมาของตัวเอง
ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะมีสภาวะสูงส่งไปกว่าตัวเอง
เขารู้สึกผิดหวัง
บนหน้าผาไม่มีใครอยู่
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร บริเวณหุบเขาด้านล่างหน้าผามีเสียงโต้เถียงดังขึ้นมา
ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนหลายสิบคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เสียงโต้เถียงยิ่งดังขึ้นทุกขณะ ถ้ำยังมิทันเปิดออกจนหมด ผู้บำเพ็ญพรตไร้อาจารย์และผู้บำเพ็ญพรตจากสำนักเล็กๆ เหล่านี้ก็อดรนทนไม่ไหว พวกเขาเริ่มตกลงกันว่าอีกประเดี๋ยวจะแบ่งของวิเศษกันอย่างไร แต่สุดท้ายกลับไม่ได้คำตอบที่ทุกคนพึงพอใจ
สมณะหนุ่มแห่งวัดกั่วเฉิงรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ในใจรู้สึกเป็นกังวล คิดอยากจะกล่าวเตือนเสียหน่อย แต่ก็มิอาจเอ่ยปากได้เนื่องจากปิดวาจาอยู่ จึงรู้สึกร้อนใจ สมณะแก่เคยเห็นภาพเหตุการณ์คล้ายกันนี้มามากมาย รู้ว่าไม่สามารถห้ามคนเหล่านี้ได้ จึงปิดตาเริ่มภาวนา
ประเดี๋ยวผู้บำเพ็ญพรตเหล่านี้จะต้องเริ่มฆ่าฟันกันขึ้นมา หากตายไปเลยกลับยังดีหน่อย เพราะหากต้องรักษาคนที่แขนขาด ท้องฉีกเหล่านั้น มันต้องเปลืองแรงมิใช่น้อยทีเดียว
สมณะแก่พลันลืมตาขึ้น สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขารับรู้ได้ถึงพลังที่คุ้นเคยสายนั้น จึงคิดชื่นชมอยู่ในใจ คืนนี้คงไม่เกิดเรื่องแล้ว
เสียงโต้เถียงกันในหุบเขาค่อยๆ เงียบลง ผู้บำเพ็ญพรตหลายคนทยอยรับรู้ได้ถึงพลังที่แผ่ลงมาจากบนท้องฟ้ายามค่ำคืนสายนั้น พวกเขาเงยหน้ามองขึ้นอย่างตกตะลึง
เมฆรุ้งสายหนึ่งลอยมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ บนนั้นมีแท่นดอกบัวขนาดใหญ่มหึมาปรากฏอยู่ลางๆ แผ่กระจายพลังฌานอันนิ่งสงบลงมา
“สมณะร่างทอง!”
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตพากันอุทานตกใจ พากันรีบจัดระเบียบเสื้อผา ทำการคารวะขึ้นไปบนท้องฟ้า
การคารวะเป็นแบบผู้น้อยคารวะผู้อาวุโส
ฌานจึแห่งวัดกั่วเฉิง หนึ่งในผู้ที่มีสภาวะสูงส่งที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในตอนนี้
จิ๋งจิ่วมองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าตนเองน่าจะคิดได้แต่แรกแล้วว่าสมณะน้อยน่าจะมาดู
บนโลกนี้ คนที่ยังรู้เรื่องนี้ก็มีเพียงสมณะน้อยรูปนี้เท่านั้น
เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากส่วนลึกของเมฆรุ้ง ลอยลงมาตามลม เข้าไปในหูของทุกคน
“ที่นี่เป็นเพียงการล้อเล่นของนักพรตไท่ผิงและนักพรตจิ่งหยาง มิได้มิของวิเศษอะไร ประสกทุกท่านกลับไปเสียเถิด”
เสียงของฉานจึทั้งใสกระจ่างและอ่อนโยน คล้ายกับน้ำค้างก็มิปาน ฟังไม่ออกว่าอายุเท่าไร มีความรู้สึกเหมือนมิใช่ความจริง
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่บนพื้นพากันรับคำ ก่อนจะสลายตัวเข้าไปในป่าที่อยู่รอบๆ
ที่ทุกคนเชื่อฟังเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะบารมีของฉานจึ
นักบวชของวัดกั่วเฉิงมิเคยพูดโกหก
ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างรู้ว่านักพรตจิ่งหยางไม่มีเพื่อน จะมีก็เพียงฉานจึที่เคยไปเยือนยังยอดเขาเสินม่อเป็นเวลาร้อยวันเท่านั้น เรียกได้ว่ามีความใกล้ชิดมากที่สุด คำพูดที่เขากล่าวมาย่อมต้องน่าเชื่อถือ
สมณะหนุ่มและแก่ลุกขึ้น คารวะไปทางเมฆรุ้งสายนั้น
เสียงฉานจึหายไปชั่วครู่ ก่อนจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ศิษย์หลาน อย่าไปทางเหนือ”
สมณะแก่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้ารับคำ
……
……
จิ๋งจิ่วมิได้มองไปยังเมฆรุ้งที่อยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน หากแต่มองไปยังที่ๆ หนึ่งใต้หน้าผา
ตรงนั้นมีชายชราชุดดำอยู่คนหนึ่ง ดูมิได้มีอะไรพิเศษ กำลังทำการคารวะแบบผู้น้อยกับผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่รอบกาย
ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ในใจทุกคนล้วนแต่มีผีอยู่
จิ๋งจิ่วคิดไม่ถึง คืนนี้มิได้เจอผีที่ใหญ่ที่สุดตัวนั้น แต่กลับได้เจอผีที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดตัวหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง
หากมิเป็นเพราะอีกฝ่ายแสดงปฏิกิริยาบางอย่างออกมาตอนที่ฉานจึปรากฏตัว เขาก็คงมิทันสังเกต
เหตุใดเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลจึงมาที่นี่? เพราะเจ็ดปีก่อนเขาก็มีส่วนร่วมกับเรื่องนั้น หากไม่มาดูให้แน่ใจด้วยตาตัวเอง ก็มิอาจวางใจได้อย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้น ในใจจิ๋งจิ่วพลันเกิดความระแวดระวังขึ้นมา เขาคิดอยากจะดึงสายตากลับมา แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลเงยหน้าขึ้นมามองเขา สีหน้าเฉยเมย คล้ายมิได้สังเกตเห็นเขา
จิ๋งจิ่วรู้ว่าจิตจำแนกแห่งกระบี่ของอีกฝ่ายได้กวาดมาที่ตัวเขาแล้ว นอกเสียจากจะต้องอยู่ห่างกันมากพอ มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางลบจิตจำแนกนี้ทิ้งไปได้
หากเขาจากไปแบบนี้ อีกประเดี๋ยวอีกฝ่ายสามารถใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ค้นหาตัวเองได้ทุกเมื่อ จากนั้นสังหารเขาด้วยกระบี่เดียว
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่ลังเล เดินตามทางลาดของหน้าผามายังด้านล่างของเมฆรุ้งก้อนนั้น
ดวงดาราในคืนนี้สุกสกาว เงาของเมฆรุ้งเด่นชัด
เมฆรุ้งลอยไปทางเหนือ เขาก็เดินลัดเลาะภูเขาและแม่น้ำอยู่ใต้เงาของเมฆรุ้งนั้น ยังคงมิได้ขี่กระบี่
ไม่รู้เป็นเพราะเมฆรุ้งช้าเกินไป หรือว่าเขาเร็วเกินไป ทั้งสองจึงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยตลอด
มิรู้ว่าเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลมาถึงบริเวณหน้าผาตั้งแต่เมื่อไร สายตามองไปทางนั้นอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็มิได้ทำอะไร จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงกระบี่สายหนึ่งบินกลับไปยังชิงซาน
จิ๋งจิ่วและก้อนเมฆเดินทางมาด้วยกันเป็นระยะหลายร้อยลี้ออกมาจากมณฑลหนานเหอ
จู่ๆ เมฆรุ้งพลันเร่งความเร็วขึ้นมา กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองเจาเกอที่อยู่ไกลออกไปทางเหนือ คงเหลือแต่เพียงเสียงของฉานจึที่ยังคงดังสะท้อนไปมาระหว่างฟ้าดิน
“สหายน้อย ส่งเจ้าแต่เพียงเท่านี้แล้วกัน ไว้พบกันใหม่”
จิ๋งจิ่วรู้ว่าบนเมฆรุ้งยังมีคนอยู่อีกหลายคน เขาไม่เคยคิดที่จะไปเจออีกฝ่าย
เด็กน้อยที่ในอดีตพูดจาตามอำเภอใจ เวลานี้กลับเป็นสมณะผู้สูงศักดิ์ ถึงขนาดที่ตนเองจำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากอีกฝ่าย
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนอย่างเขาเช่นนี้ คิดว่าคงจะต้องรู้สึกกลุ้มใจอยู่บ้าง อย่างน้อยก็คงรู้สึกมิค่อยคุ้นชินเท่าไร
แต่เขายังดีที่มิได้รู้สึกอะไร ทว่าสุดท้ายเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็ยังอดส่งเสียงบ่นขึ้นมาไม่ได้
สหาย…น้อย?
……………………………………………………………………