ราชวงค์ตระกูลจิ่งมิเคยมีฮ่องเต้สกุลอื่น มีกั๋วกง[1]เป็นผู้มีอำนาจภายในวัง ตอนนี้ในราชสำนักมีกั๋วกงทั้งหมดยี่สิบเจ็ดคน บรรพบุรุษย่อมต้องเคยสร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงให้แก่ราชบัลลังก์ เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป ความดีความชอบในกาลก่อนนั้นก็เลือนรางตามไปด้วย กั๋วกงบางคนในมือมิได้มีอำนาจที่แท้จริง ค่อยๆ ถูกคนมองข้ามไป ผ่านไปสักหลายปีเกรงว่าคงกลายเป็นเพียงตำแหน่งแต่เพียงนามเท่านั้น
ในฐานะที่เป็นพระสหายร่ำเรียนเป็นเพื่อนฝ่าบาทเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ แม้นเหอกั๋วกงจะมิได้เป็นเหมือนอย่างลู่กั๋วกงที่ดูเป็นคนเรียบง่ายติดดิน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีวันสั่นคลอนได้ ทว่าอย่างน้อยเขาก็มิจำเป็นต้องกังวลใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าฝ่าบาททรงเอาใจใส่เขา ก็คือคนที่นั่งอยู่ในวัดจิ้งเจวี๋ยที่มีฝนตกปรอยๆ แห่งนี้คือเขา มิใช่คนอื่น
วัดจิ้งเจวี๋ยตั้งอยู่นอกวังหลวง แล้วก็เป็นวัดส่วนตัวของราชวงศ์ตระกูลจิ่ง วันนี้เขามิได้มาที่นี่เพื่อสวดมนต์ขอพรแทนฝ่าบาท หากแต่มาต้อนรับอาคันตุกะผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งแทนฝ่าบาท
เขามิเป็นกังวลเรื่องอำนาจและสถานะของตัวเอง แต่กลับค่อนข้างกังวลว่าการนั่งอยู่บนพื้นที่เย็นชื้นเป็นเวลานานจะทำให้พรุ่งนี้เขาลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหวหรือเปล่า — มิได้นั่งอาสนะมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว หากมิเป็นเพราะเมื่อก่อนตอนอยู่เรือนอี้เหมาเคยมีประสบการณ์มาไม่น้อย เขาคิดว่าตนเองอาจจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
ครั้นคิดถึงตรงนี้ เขาก็อดลอบวิจารณ์อาคันตุกะสูงศักดิ์ผู้นี้อยู่ในใจมิได้ ทันใดนั้นพลันคิดถึงข่าวลือที่บอกว่าอีกฝ่ายสามารถอ่านจิตใจ จึงรู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นรีบท่องนามพระโพธิสัตว์อย่างเงียบๆ ใบหน้าฉีกยิ้ม สายตามองไปทางส่วนลึกของห้องภาวนาที่ถูกผ้าม่านหนักๆ และควันขาวบดบัง พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง
“ฉานจึยินดีขี่ดอกบัวมาที่นี่เพื่อไขปัญหาทางธรรมให้แก่ฝ่าบาท ทั้งยังยินดีเป็นธุระดำเนินงานชุมนุมเหมยฮุ่ย นับเป็นเกียรติแก่ราชสำนักยิ่งนัก”
ลมเย็นพัดเข้ามา พาเอากลิ่นธูปที่อยู่ในห้องภาวนาออกไป
ไม่ว่าฉานจึได้ยินคำพูดนี้แล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร ย่อมต้องมีสมณะระดับสูงของวัดกั่วเฉิงมาพูดตอบโต้คำทักทายไร้สาระที่จำเป็นต้องพูดให้จบเหล่านี้กับเหอกั๋วกง
เหอกั๋วกงมองไปยังด้านในห้องภาวนา ครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนกล่าวถามว่า “ได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนของสำนักชิงซานไป หรือว่านั่นจะเป็นถ้ำของท่านนักพรตจิ่งหยางจริงๆ?”
การเปิดออกของถ้ำบนเขาเหมิงซานเมื่อคืนนี้ย่อมมิอาจปิดบังราชสำนักได้ เพียงแต่ก็เหมือนอย่างสำนักบำเพ็ญพรตใหญ่ๆ อีกหลายสำนัก ราชสำนักคิดว่านี่เป็นเรื่องโกหก จึงมิได้ส่งคนไป แต่ในตอนรุ่งเช้าของวันนี้มีข่าวที่ยังคลุมเคลือมิชัดเจนส่งมา วัดกั่วเฉิงเองก็มิได้มีท่าทีว่าจะปิดบัง
“นั่นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นของนักพรตสองท่านนั้น”
เสียงของฉานจึยังอ่อนโยนและเป็นปกติ แต่กลับเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเคารพเลื่อมใส
ในโลกปัจจุบันนี้ยังมีผู้ใดที่จะมีสิทธิ์ใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นนี้พูดถึงเรื่องราวของสองนักพรตแห่งสำนักชิงซานเล่า?
เหอกั๋วกงแสร้งทำเป็นถามอย่างประหลาดใจ “เช่นนั้นคนที่อยู่ใต้เมฆรุ้ง?”
ฉานจึกล่าวว่า “น่าจะเป็นผู้สืบทอดของเพื่อนเก่า จึงต้องดูแลเสียหน่อย”
เหอกั๋วกงคิดในใจ หากมองไปในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ผู้สืบทอดของเพื่อนเก่าของท่านก็คงจะเป็นศิษย์บนยอดเขาเสินม่อ เช่นนั้นมันก็เกี่ยวข้องกับนักพรตจิ่งหยางจริงๆ เพียงแต่ในเมื่อฉานจึเอ่ยปากออกมาเองว่านั่นมิใช่ถ้ำของนักพรตจิ่งหยาง เขาจึงมิได้ครุ่นคิดกระไรอีก หากแต่ถามออกไปว่า “ศิษย์ชิงซานที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้น่าจะไม่มีคนที่โดดเด่นอะไร อดรู้สึกเสียดายมิได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรศิษย์ของเจ้าสำนักชิงซานที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ผู้นั้นถึงจะออกมาได้”
เมื่อเทียบกับลั่วไหวหนาน ไป๋เจ่าแห่งสำนักจงโจว ถงเหยียนและถงหลูซึ่งเป็นอัจฉริยะวัยเยาว์ที่มีชื่อเสียงขจรขจายเหล่านี้แล้ว ศิษย์รุ่นที่สามของชิงซานที่ไม่มีกั้วหนานซาน กู้หาน เจี่ยนหรูอวิ๋นดูจะค่อนข้างลำบาก แม้นได้ยินว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะมา แต่นางอายุยังน้อย อีกทั้งสถานะยังค่อนข้างพิเศษด้วย
สมณะแก่แห่งวัดกั่วเฉิงรูปหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังมีคนที่ชื่อจิ๋งจิ่วอยู่มิใช่หรือ?”
เหอกั๋วกงมิทันสังเกตว่าสมณะแก่ได้เหลือบมองไปยังด้านในห้องภาวนาก่อนที่จะกล่าวประโยคนี้ออกมา เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ของชิงซาน ชายหนุ่มผู้นี้แสดงความสามารถออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่จะไปเทียบกับอัจฉริยะอย่างลั่วไหวหนานและไป๋เจ่าได้อย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาจะลงแข่งหมากล้อมเพื่อท้าสู้กับถงเหยียน นี่ช่างน่าสนุกเสียจริง”
ภายในห้องเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดหัวเราะตามเขา สถานการณ์แลดูน่าเบื่อ
เหอกั๋วกงหัวเราะแห้งๆ อย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะคิดถึงเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา เขาลังเลอยู่ครู่ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “กุ้ยเฟยทรงรออยู่ด้านนอกวัด พระองค์ทรงอยากให้ไต้ซือประสาทพรให้”
นี่หมายความว่าต้องการขอเข้าพบ
สมณะแก่หลายรูปแห่งวัดกั่วเฉิงและผู้ดูแลวัดจิ้งเจวี๋ยมองไปยังส่วนลึกของห้องภาวนา
ควันขาวลอยวนเวียน มองไม่เห็นใบหน้าของฉานจึ
หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เสียงของฉานจึดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ครานั้นอาตมาช่วยพระองค์เป็นเพราะเมตตาแลวาสนา วันนี้โชควาสนาพระองค์เต็มเปี่ยม ไยต้องโลภมากอีก? มีวาสนาค่อยพบกันดีกว่า”
เหอกั๋วกงเข้าใจความหมาย จึงมิกล้ากล่าวอะไรอีก
……
……
ด้านนอกวัดจิ้งเจวี๋ยมีป่าต้นเจดีย์ ในป่ามีรถม้าจำนวนหลายคันจอดอยู่ ดูเรียบง่ายไม่สะดุดตา แต่เมื่อดูจากจำนวนองครักษ์ที่อยู่รายรอบ ก็จะรู้ได้ว่าสถานะของคนที่อยู่ในรถมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ลมแผ่วเบาพัดมาพร้อมกับหยาดฝนละเอียดเล็ก แม้นจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ยังคงรู้สึกหนาวเย็น
ขันทีผู้หนึ่งเดินออกมาจากในรถ บอกให้เหล่าองครักษ์กลับไปหลบฝนบนรถได้
ที่นี่คือวัดจิ้งเจวี๋ย ตอนนี้ในวัดมีสมณะสูงศักดิ์ของวัดกั่วเฉิงอยู่หลายสิบรูป ไหนเลยจะต้องให้องครักษ์เหล่านี้มาคอยเฝ้าระวังอีก
“เป็นเพราะพระสนมทรงมีเมตตา กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ยังทรงใส่พระทัย”
นางกำนัลอาวุโสคนหนึ่งที่อยู่ในรถกล่าวประจบประแจง
ข้างหน้าต่างนั่งไว้ด้วยโฉมสะคราญผู้หนึ่ง ใบหน้าสวยสดงดงาม แววตาขณะกะพริบตามีเสน่ห์ดึงดูดยิ่งนัก แต่ก็ให้ความรู้สึกไร้เดียงสา มีความเย้ายวนบางอย่างที่ทำให้บุรุษยากจะปฏิเสธได้
นางก็คือหูกุ้ยเฟยผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานที่สุดในวังหลวงในช่วงหลายปีมานี้
“ข้าเองก็เคยลำบากยากจน ย่อมต้องรู้ดีว่าการตากฝนอยู่ในป่ามันมีรสชาติเป็นอย่างไร ครานั้นหากมิได้จู๋กุ้ยช่วยชีวิตข้ามาจากมือผู้บำเพ็ญพรตพเนจรเหล่านั้น ข้าคงจะตายไปนานแล้ว”
บนใบหน้าหูกุ้ยเฟยเผยให้เห็นสีหน้าเศร้าใจ ครั้นคิดถึงคำพูดที่เหอกั๋วกงให้ผู้ติดตามนำมาแจ้งแก่นางก่อนหน้านี้ นางพลันกัดฟันกล่าวออกมาว่า “ไม่พบก็ไม่พบ ข้าไม่เชื่อว่าถ้าไม่มี….”
นางคิดจะกล่าววาจารุนแรงสักสองสามประโยค แต่ก็กลัวว่าคนในวัดจะได้ยิน ยิ่งไปกว่านั้นในใจนางยังคงมีความรักเคารพในตัวฉานจึอยู่ ตอนที่คำพูดออกจากปากจึงเปลี่ยนเป็นอีกความหมายหนึ่ง
“ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครช่วยข้าจัดการเรื่องนี้!”
นางกำนัลอาวุโสผู้นั้นกรอกตาเล็กน้อย พลางกล่าว “ถ้ายังไงให้สำนักจงโจวออกหน้าดีไหมเพคะ?”
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าหูกุ้ยเฟยและสำนักจงโจวมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างมาก
ปีที่แล้วในงานเลี้ยงซื่อไห่ที่สำนักกระบี่ซีไห่จัดขึ้น สำนักจงโจวได้แหกกฎส่งลูกศิษย์นามเซี่ยงหว่านซูผู้นั้นไป นั่นก็เป็นเพราะอิทธิพลของนาง
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ หูกุ้ยเฟยไม่เพียงจะไม่ยินดี แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นขึ้นมาพร้อมกล่าวเสียงแข็งว่า “วันหน้าหากยังพูดเช่นนี้ล่ะก็ เจ้าก็ออกไปจากวังซะ”
นางกำนัลอาวุโสผู้นั้นมิรู้ว่าตนเองล่วงเกินอะไรผู้เป็นนาย จึงรีบคุกเข่าวิงวอนร้องขอ
หูกุ้ยเฟยเป็นคนฉลาด นางรู้ว่าตนเองสามารถลองพยายามใช้ความสัมพันธ์เมื่อครั้งอดีตขอให้ฉานจึออกหน้าได้ แต่ไม่อาจใช้สำนักจงโจวได้เด็ดขาด เนื่องเพราะวัดกั่วเฉิงและสำนักชิงซานมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน แต่สำนักจงโจวและสำนักชิงซานยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมาหลายปี ไม่เพียงแต่จะเป็นเหมือนน้ำกับไฟ แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ถูกชะตากันและกันด้วย
สำนักฝ่ายธรรมะคือรากฐานของราชวงศ์มนุษย์ หากนางทำให้เกิดความขัดแย้งกันเพราะเรื่องของตัวเอง หรือว่าทำให้เกิดความวุ่นวายอะไรขึ้นมาจริงๆ อย่าว่าแต่นางที่เป็นเพียงพระสนมที่เพิ่งจะเป็นที่โปรดปรานได้ไม่กี่ปีเลย ต่อให้เป็นองค์ฮองเฮา เกรงว่าคงจะถูกปลดออก แล้วจับไปขังไว้ในตำหนักเย็นเป็นแน่
นางกำนัลนางหนึ่งกล่าวเสียงเบาว่า “หลายวันก่อนท่านใต้เท้าซือเคยบอกว่ากรมชิงเทียนคอยจับตาดูสำนักชิงซานอยู่เพคะ”
หูกุ้ยเฟยกล่าวอย่างโมโหว่า “หรือกรมชิงเทียนกล้าทำอะไรสำนักชิงซาน? คนผู้นั้นเป็นผู้สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง ข้าเพียงแค่ต้องการให้นางยอมรับผิด เพียงเท่านี้ก็ยังมิได้! ได้ยินว่าคนที่ชื่อจิ๋งจิ่วนั่นคุยโวโอ้อวดหน้าไม่อายไว้ว่าจะท้าถงเหยียน ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเขาจะทำอย่างไร!”
……
……
เมืองเจาเกอถูกปกคลุมอยู่ภายใต้สายฝนที่ตกปรอยๆ
ด้านนอกเมืองมีคนต่อแถวรอเข้าเมือง ทุกคนล้วนแต่สวมหมวกลี่เม่า
จิ๋งจิ่วมิได้เป็นที่สะดุดตาอีกต่อไป
ทหารที่เฝ้าประตูเมืองรับเอาใบผ่านทางที่เปียกชื้นเล็กน้อยมาจากมือเขา พลางกล่าวถามว่า “มาจากไหน? มาเมืองเจาเกอทำไม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “กลับบ้าน”
……
……
จากการตรวจสอบของยอดเขาซั่งเต๋อ บ้านของจิ๋งจิ่วอยู่ที่เจาเกอ
และในความเป็นจริง บ้านของเขาก็อยู่ที่เจาเกอจริงๆ
หลังผ่านมายี่สิบปี เขากลับมาที่เมืองเจาเกออีกครั้ง ความรู้สึกทอดถอนใจลดน้อยลงกว่าครั้งที่แล้วมาก
ครั้งที่แล้วเมืองเจาเกอต้อนรับเขาด้วยหิมะฤดูหนาว ส่วนครั้งนี้สิ่งที่ต้อนรับเขาคือฝนฤดูใบไม้ผลิ
เขาเคยเรียนรู้คำพูดมาประโยคหนึ่งตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน — ฝนฤดูใบไม้ผลิมีค่าดั่งน้ำมัน
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเจาเกอแล้ว ฝนฤดูใบไม้ผลิก็คล้ายน้ำมันเช่นกัน มันทำให้พื้นถนนหินเปียกลื่น น่าหงุดหงิดเป็นยิ่งนัก
แต่แน่นอน ฝนฤดูใบไม้ผลิก็ทำให้นักกวีแต่งบทกวีที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้หลายบท
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจในศิลปะทั้งสี่ แล้วก็ย่อมเขียนกลอนไม่เป็นเช่นกัน แต่เขาชื่นชอบฝนฤดูใบไม้ผลิ
ไม่ว่าจะเป็นฝนฤดูใบไม้ผลิที่ตกลงบนเรืออูเผิง หรือว่าตกลงบนชายหลังคา หรือว่าตกลงบนหมวกลี่เม่า
มันก็เหมือนกับวันที่มีหิมะตกที่เขาจะย้ายเข้าไปนอนในบ้าน แต่กลับเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้
หากว่ากันในอีกแง่หนึ่งแล้ว เขาคือคนที่ใช้ชีวิตเหมือนดั่งในบทกวี เพียงแต่เขาไม่รู้ตัว
เขาสวมหมวกลี่เม่าเดินไปบนถนนและตรอกซอกซอยภายในเมืองเจาเกอ โดยมิได้สนใจกลิ่นอายข่ายพลังที่มีอยู่ทั่วทุกที่ สายตาเขามองทะลุสายฝนไปยังที่อื่น
อย่างเช่นในชามน้ำแกงของขอทานที่อยู่ใต้ชายหลังคา ถูกสายฝนตกใส่จนกลายเป็นระลอกคลื่น
อย่างเช่นสาวน้อยที่กำลังพัดไฟในเตาดินเผาขนาดเล็กเพื่อเตรียมอาหารอยู่บนเรืออูผิงที่อยู่ใต้สะพาน
อย่างเช่นหญิงสาวที่ลืมถือร่มมาด้วยนางหนึ่งที่วิ่งผ่านปากทางเข้าตรอกไป บริเวณขมับเต็มไปด้วยหยดน้ำฝนที่ดูเหมือนไข่มุกเล็กๆ
ในส่วนลึกของตรอกมีบ้านหลังเล็กที่เงียบสงบอยู่หลังหนึ่ง ไม่ไกลกันนักสามารถมองเห็นชายคาที่ยืนออกมาของวัดไท่ฉาง
ยอดเขาซั่งเต๋อสืบมาอย่างละเอียด บรรพบุรุษของจิ๋งจิ่วเคยรับใช้ฮ่องเต้พระองค์หนึ่ง เช่นนั้นการที่บ้านของเขาอยู่ที่นี่ จึงเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
ประตูบ้านที่ทำจากไม้ดูเก่ามากแล้ว ตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่บนปลายทั้งสองฝั่งของบันไดหินถูกฝนตกใส่จนเปียก ทุกอย่างดูเงียบสงบ
จิ๋งจิ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้าวเดินออกไปข้างหน้า
……………………………………………………….
[1]กั๋วกง คือ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ขั้นสูงสุดในชั้นกง