บทที่ 142 คัมภีร์เก้าจันทรา (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 142 คัมภีร์เก้าจันทรา (2)
หากไม่มีเขี้ยวเล็บจะอยู่รอดในสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร

หากจะถามว่ามีสถานที่ใดที่สาวๆ ชิงดีชิงเด่นกันรุนแรงที่สุดล่ะก็ คงต้องยกให้วังหลังขององค์จักรพรรดิ

ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ฝูเซียงก็เข้ามาพร้อมกับสาวใช้ ท่านหญิงคณิกาใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาของนางฉายแววคมกริบ เข้าไปในห้อง ดวงหน้าของสาวเจ้าก็อ่อนโยนลงโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสมเพชว่า

“ข้าได้ยินมาว่าสวี่หลางมาเยือนสำนักสังคีต ข้าน้อยจึงอยากร่วมสนุกและปรนนิบัติไปพร้อมกับแม่นางหมิงเยี่ยนด้วยเจ้าค่ะ”

พูดได้อย่างยอดเยี่ยม การมาที่สำนักชิงฉือไม่ใช่เพื่อจะหาเรื่องทะเลาะตบตีกัน ทว่าเป็นการคอยปรนนิบัติร่วมกัน

ไม่เพียงแต่เป็นการประกาศอำนาจอธิปไตยและเอาชนะคณิกาหมิงเยี่ยนเท่านั้น ทว่ายังทำให้สวี่ชีอันพึงพอใจอีกด้วย จะมีบุรุษหน้าไหนไม่อยากถูกปรนนิบัติโดยคณิกาสองนางพร้อมกันบ้าง

หมิงเยี่ยนปั้นยิ้มอันอบอุ่น “เหตุใดท่านพี่ต้องลำบากดั้นด้นมาถึงที่นี่ด้วยล่ะเจ้าคะ ข้ากำลังจะสนทนาเล็กๆ น้อยๆ กับคุณชายสวี่ พอท่านพี่มา…ข้าก็ไม่กล้าพูดต่อเสียแล้ว”

ฝูเซียงทำเหมือนไม่ได้ยิน นางถกกระโปรงขึ้นและนั่งข้างๆ สวี่ชีอันเหมือนปกติ จากนั้นจึงรินเหล้าให้เขาอย่างระมัดระวัง คีบอาหารและจัดผมยุ่งๆ ให้เขา

“สวี่หลางช่วงนี้งานยุ่งมากหรือเจ้าคะ”

“อืม” เมื่อเห็นคณิกามาคลอเคลีย สวี่ชีอันก็โอบกอดเอวบางไว้

“เช่นนั้นหลังจากนี้ไปหออิ่งเหมย ข้าน้อยจะนวดไหล่ให้นะเจ้าคะ” ฝูเซียงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

หมิงเยี่ยนแอบกัดฟัน อยากจะเอาไม้กวาดมาไล่ตะเพิดนางหญิงไร้ยางอายคนนี้ให้พ้นๆ ตัวเองได้เปรียบกว่าชาวบ้านตั้งเยอะ เป็นถึงคณิกาผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง น่าจะรู้จักพอเสียบ้าง

ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหวงก้างผู้ชายคนเดียวเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ไม่ยอมเอื้อเฟื้อให้พี่น้องในสำนักสังคีตเสียบ้าง

เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นอีกครั้ง สาวใช้คนเดิมนั่นเอง นางทำสีหน้าแปลกๆ ขณะที่เหลือบมองสวี่ชีอันพร้อมกับพูดเสียงแผ่วเบา

“ท่านหญิง เหล่าคณิกามาถึงแล้วเจ้าค่ะ…”

“ว่าไงนะ?!” หมิงเยี่ยนกับฝูเซียงอุทานพร้อมกัน

สวี่ชีอันหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเหล่านางคณิกา หลังจากนั้นไม่นาน สาวงามชั้นสูงราวนางเงือกในชุดสะโอดสะองก็ปรากฏตัวขึ้น

พวกนางแต่ละคนมีเสน่ห์แตกต่างกันไป บางคนเย้ายวนและเร่าร้อน บางคนก็กิริยาอ่อนหวานเหมือนคุณหนูจากตระกูลใหญ่ฐานะร่ำรวย และบางคนก็บอบบางเหมือนน้องหญิงไต้อวี้

ทั้งเจ็ดคนต่างมีเสน่ห์ที่แตกต่างหลากหลายกันออกไป

ทว่าไม่ว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นเช่นไร พวกนางก็ถือได้ว่าเป็นเพชรน้ำงาม

“คารวะคุณชายสวี่เจ้าค่ะ!” เหล่าคณิกายืนเรียงกันเป็นแถว โค้งคำนับไปข้างหน้าด้วยน้ำเสียงเพราะพริ้ง

ในหัวสวี่ชีอันมีเพียงสี่คำเท่านั้น ‘สวรรค์นางงาม’

ฝูเซียงกับหมิงเยี่ยนในใจร้อนเป็นไฟ แต่ก็ต้องเสแสร้งต้อนรับนางคณิกาพวกนี้อย่างกระตือรือร้น

โถงที่ประดับประดาอย่างหรูหราด้วยผ้าไหมไม่สามารถรับรองแขกได้มากนัก ดังนั้นคณิกาหมิงเยี่ยนจึงขอให้ทุกคนไปยังห้องโถงด้านนอกและจัดให้สาวใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ด้วยเหล้าชั้นดีกับอาหารอันโอชะ

คณิกาทั้งเก้าพูดคุยกันอย่างสบายใจราวกับว่าพวกนางเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ทว่าบ่อยครั้งสายตาที่จ้องมองไปยังสวี่ชีอันก็เผยให้เห็นความจริงที่ว่าพวกนางกำลังปะทะกันอยู่ลับๆ

พวกนางเป็นเพียงมนุษย์และปรารถนาในตัวสวี่ชีอัน เพียงแต่ไม่แสดงออกมาให้เห็นเพื่อรักษาไว้ซึ่งตัวตนและภาพลักษณ์ของคณิกาไว้

ทว่าสวี่ชีอันกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความเป็นปฏิปักษ์ โดยเฉพาะจากฝูเซียงที่ฉายแววฉุนเฉียวผ่านสีหน้าเป็นพักๆ

ทำอย่างไรได้ พวกเจ้าอยากสัมผัสคัมภีร์เก้าจันทราสักครั้งงั้นหรือ…น่าเสียดายที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่เช่นนั้นคงได้อวดพวกเพื่อนๆ ได้ชมสักที สวี่ชีอันเล่นหูเล่นตากับคณิกาพร้อมบ่นอุบอยู่ในใจ

คณิกาผู้เฉลียวฉลาดนางหนึ่งเสนอให้เขาเล่นการละเล่นในวงสุรา

หลังจากดื่มไปสามรอบ สวี่ชีอันยังมีท่าทีปกติและยังไม่ได้ร่ำบทกลอนยอดนิยมใดๆ ออกมา ซึ่งทำให้คณิกาทั้งหลายค่อนข้างผิดหวังที่อุตส่าห์มาที่นี่เพราะเขา

คณิกาผู้เฉลียวฉลาดคนนั้น แย้มยิ้มเล็กน้อย “พวกเจ้ารู้จักกลอนเจ็ดครึ่งบทที่ว่า ‘หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’ หรือไม่”

เหล่าคณิกามีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด และตอบรับกันเซ็งแซ่ “รู้สิ เป็นกลอนที่สละสลวยจับใจทีเดียว”

ฝูเซียงยิ้มและพูด “ได้ยินมาว่าเป็นกลอนที่มาจากในวัง”

คณิกาผู้ชาญฉลาดพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนแต่ง”

ดวงตาของเหล่าคณิกาเป็นประกายและมองไปที่นาง “อาหย่ารู้งั้นหรือ”

สวี่ชีอันก้มหน้าจิบเหล้า

คณิกาผู้ชาญฉลาดส่ายหน้า “ไม่รู้สิ แต่ข้ารู้อะไรบางอย่าง ที่ไม่มีใครรู้ในสำนักสังคีต…”

นางจงใจเว้นช่วงและละเลียดเหล้าในมือช้าๆ

“พูดมาเร็วๆ สิ” คณิกาทั้งหลายอ้อนวอนอย่างใจจดใจจ่อ

ซึ่งดึงดูดความสนใจของฝูเซียงไปด้วย ดวงตาของนางเป็นประกายพร้อมกับยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว

สวี่ชีอันเคยเห็นท่าทีแบบนี้มาก่อน ตอนที่แฟนสาวกับเพื่อนสนิทของเธอพูดคุยกันเรื่องกระเป๋าที่แพงหูฉี่เมื่อชาติก่อน ท่าทางของพวกเธอแทบไม่ต่างกัน

อาหย่าพอใจกับท่าทีของสาวๆ มาก นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กลอนบทนี้ถือกำเนิดขึ้นในการละเล่นวงสุรา ตอนนั้นคนที่ร่วมวงสุรามีเพียงเหล่าพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งหลายเท่านั้น”

“องค์หญิงใหญ่หรือ” เหล่าคณิกาคาดเดากันไป

ถ้าจะมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาองค์ใดที่สามารถประพันธ์กลอนเจ็ดบทนี้ออกมาได้ ก็ต้องเป็นองค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศแน่ๆ

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้หรอก” อาหย่าส่ายหัว เหลือบมองสวี่ชีอันอย่างเจ้าเล่ห์ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แม้เป็นแค่เพียงกลอนครึ่งบท ทว่าก็ไม่ด้อยไปกว่าบทชมดอกเหมยของคุณชายสวี่เลย แต่ข้าน้อยรู้สึกว่าบทกลอนของคุณชายสวี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ส่วนกลอนครึ่งบทนั้นเป็นเพียงประกายแห่งแรงบันดาลใจ ไม่อาจเทียบกับบทกลอนของคุณชายสวี่ผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ได้เลยเจ้าค่ะ”

“ใช่แล้วๆ ช่วงนี้คุณชายสวี่มีผลงานเด็ดๆ ชิ้นไหนบ้างเจ้าคะ ข้าน้อยชื่นชมคุณชายมานานแล้ว” อีกหนึ่งคณิกาผู้น่าหลงใหลส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้เขา

ส่วนคณิกาคนอื่นๆ นิ่งเงียบพร้อมส่งยิ้มหวานและมองเขาอย่างเสน่หา

พวกเขาเป็นทั้งคู่ต่อสู้และเพื่อนร่วมสำนัก ซึ่งพยายามร่วมมือกันรีดเค้นสิ่งล้ำค่าออกมาจากสวี่ชีอัน

สวี่ชีอันดื่มเหล้าและหัวเราะเบาๆ “หลังๆ ความสามารถของข้าเริ่มจะฝุ่นจับเสียแล้ว ไม่ได้เขียนกลอนบทใหม่เลย เวลาล่วงเลยไปตั้งสามสี่วัน แม้แต่กลอนบทเดียวข้าก็ยังแต่งออกมาไม่ได้เลย”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด สาวๆ ก็พากันผิดหวังในทีแรกและแสดงท่าทีผิดหวังออกมา จากนั้นพวกนางจึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป

เวลาล่วงเลยไปสามสี่วันงั้นหรือ ผลงานชิ้นล่าสุดของคุณชายสวี่ไม่ใช่บทชมดอกเหมยที่เป็นของขวัญชิ้นแรกแก่ฝูเซียงหรือ เก่ากว่านั้นอีกหน่อยก็บทกลอนที่แต่งให้ฆราวาสจื่อหยาง ‘ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน’ บทกวีของสำนักปรัชญาพวกนางไม่ค่อยสันทัดเท่าไร

กลอนทั้งสองบทแต่งไว้นานพอสมควร และได้รับการขับกล่อมกันอย่างกว้างขวาง แต่ก็ค่อยๆ คลายความนิยมลงไป เวลาล่วงเลยไปสามสี่วันหมายความอย่างไร…หมายความว่าเขาแต่งผลงานชิ้นใหม่เมื่อสามสี่วันก่อนงั้นหรือ

อาหย่านึกถึงกลอนเจ็ดครึ่งบทที่เผยแพร่มาจากในวังเมื่อวานซืนได้ กว่าบทกลอนจากในวังจะเข้ามาสู่สำนักสังคีตได้ก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร หากคิดคำนวณเช่นนี้ ก็จะเห็นว่าช่วงเวลาตรงกันพอดี

ดวงตาอันงดงามของนางเบิกกว้าง นิ้วเรียวยาวของนางกำผ้าเช็ดหน้าทอไหมไว้แน่น ตอนนี้นางตื่นเต้นจนตัวสั่นนิดๆ เมื่อมองสวี่ชีอัน เสียงของนางก็สั่นเทา

“คุณชายสวี่…ผลงานใหม่ของคุณชายคือ…”

ฝูเซียงตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบหันขวับมาทันที ภาพของสวี่ชีอันสะท้อนในดวงตาพราวระยับของนาง

ช่างเป็นความตื่นเต้นและประหม่าที่สุดแสนจะพรรณนา เป็นความรู้สึกปลื้มปีติและคาดหวัง ที่ในที่สุดสิ่งที่รักใคร่หวงแหนก็มาอยู่ในอ้อมกอดของนางแล้ว

เสียงของการสนทนาหยุดลงโดยพลัน ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ เหล่าคณิกาผู้มากด้วยไหวพริบตระหนักถึงบางอย่างจนต้องหันกลับไปมองทีละคนด้วยสายตาอันซับซ้อนและไม่อาจอธิบายได้

ไม่รู้ว่าเป็นความคาดหวัง ประหลาดใจหรือสับสนกันแน่

……………………………………