บทที่ 143 ปีศาจสาว
สวี่ชีอันจิบสุราและวางจอกสุราลง มองไปรอบๆ สาวงามทั้งหลาย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ตามอารมณ์ “วันนั้นติดตามองค์หญิงฮว๋ายชิ่งไปเข้าร่วมงานเลี้ยง แล้วเกิดแรงบันดาลใจ จึงแต่งกลอนเจ็ดครึ่งบทนี้ขึ้น”

น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายตรงไปตรงมา ราวกับเป็นเพียงเรื่องจิ๊บจ๊อย ทว่าคณิกาหลายคนกลับใจเต้นโครมคราม

เป็นเขาจริงๆ ด้วย… อาหย่าที่คาดว่าได้รับการยืนยันแล้ว บัดนี้เกิดความรู้สึกน้ำมาคลองเกิด[1] ราวกับว่าควรจะเป็นเช่นนี้

นานมาแล้วที่ต้าฟ่งไร้อัจฉริยกวี เมื่อก่อนองค์หญิงฮว๋ายชิ่งไม่มีผลงานชั้นยอดแพร่หลาย จู่ๆ ก็ปรากฏผลงานชั้นยอด ก็ผิดปกติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ทว่ายามที่ทราบข่าว ก็ไม่สามารถติดต่อกับสวี่ชีอันได้ เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเขา ก็นึกถึงตัวตนของเขาในฐานะหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล รวมถึงพรสวรรค์ด้านกวีอันเลิศล้ำและเหนือชั้นของเขา จึงทำใจกล้าหยั่งเชิงดู นึกไม่ถึงว่าจะเดาถูกจริงด้วย

ตอนนี้บทกลอนนี้มาจากคนผู้ใด ทางหอนางโลมเองก็ไม่มีใครทราบ คนภายนอกอยากรู้อยากเห็นก็มีนับไม่ถ้วน ลำพังเพียงข่าวนี้ ก็ถือเป็นเรื่องมุกตลกเด็ดๆ แล้ว

“สวี่หลาง…” ฝูเซียงจ้องมองด้วยความเสน่หาที่ล้นเปี่ยม สายตาหวานหยาดเยิ้ม สำหรับนางที่ชื่นชอบบทกลอน สิ่งนี้ล้วนน่าดึงดูดกว่าคำหวานใดๆ

คณิกานางอื่นนอกจากจะตื่นตะลึงและประหลาดใจกับพรสวรรค์ด้านกวีของสวี่ชีอัน ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกนางใจเต้นโครมครามและมองข้ามตัวบทกวีไป

… ไม่คิดเลยว่าเขาจะเข้าสู่เขตพระราชฐานและเข้าร่วมงานเลี้ยงของเหล่าองค์ชายองค์หญิงได้

นี่หมายถึงสวี่ชีอันเป็นคนสนิทของพระราชโอรสและธิดาสักพระองค์หนึ่ง มิเช่นนั้นคงไม่ถูกพาไปงานเลี้ยง เช่นนี้ตลอดที่ผ่านมา คุณค่าของเขาก็ไม่ได้มีเพียงบทกลอนแล้ว

หน้าตาก็จัดได้ว่ารูปงาม ทั้งยังเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล กุมอำนาจและอิทธิพลไว้ในมือ… แน่นอนว่าเหล่านางคณิกาย่อมเห็นข้าราชการชั้นสูงที่เรืองอำนาจจนคุ้นชิน อิทธิพลของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่ได้มากมายสักเท่าไร ทว่าหากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้นี้มีฝีมือเก่งกาจเกินหน้าเกินตาเหล่าบัณฑิต หากพระราชโอรสและธิดาสักพระองค์เกิดถูกใจหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้นี้ล่ะ

รัศมีที่เจิดจรัสยิ่งขึ้นเช่นนี้ ก็น่าดึงดูดใจมากกว่าเป็นอนุภรรยาให้ตาแก่หงำเหงือกพวกนั้นเสียอีก

“จะยกให้นางไปไม่ได้ ต้องชิงตัวเขามาเป็นของเรา… ตอนนี้ฝูเซียงเป็นถึงคณิกาอันดับหนึ่งของหอนางโลม หากปล่อยให้นางได้รับบทกลอนไปอีกครั้ง เหล่าพี่น้องคงไม่มีวันเงยหน้าอ้าปากอีกเลย…”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มของเหล่าคณิกาก็ยิ่งดูจริงใจ แต่ละคนคิดอยากจะพูดก็มิกล้าเอื้อนเอ่ย ได้แต่ส่งสายตาเปี่ยมเสน่หาแก่สวี่ชีอัน

บรรยากาศของโถงต้อนรับร้อนระอุขึ้นในพริบตา

หลังจากสิ้นสุดการละเล่นในวงสุรา ภายใต้การกล่อมกลืนจากความกรึ่มสุรา เหล่าคณิกาต่างเล่นทายนิ้วอย่างกล้าได้กล้าเสีย แต่ละคนต่างพับแขนเสื้อ เผยท่อนแขนเล็กอันขาวใสบอบบางและกำปั้นอันจุ๋มจิ๋ม

ที่สำคัญคือสวี่ชีอันไม่ได้ถือสาและมอบความกล้าให้พวกนาง

ฟ้าค่อยๆ มืดลง แขกของหอนางโลมก็เพิ่มมากขึ้น จึงสามารถสัมผัสได้ถึงเรื่องอันน่าประหลาด

วันนี้คณิกาหลายนางพากันปิดประตูไม่รับแขก ไม่ตั้งวงน้ำชา

บางคนไปพบแม่เล้าอย่างฉุนเฉียว แม่เล้าพูดในใจว่าแม่นางพวกนี้คิดจะก่อกบฏหรือไง ไม่เปิดร้านแล้วจะหาเงินอย่างไร จึงเรียกให้คนไปถาม เมื่อไต่ถามจึงได้ความว่า คณิกาที่ไม่รับแขกเหล่านั้นล้วนไปที่ลานชิงฉือกันหมดแล้ว รวมทั้งหมดแปดคน กล่าวได้ว่าที่ลานชิงฉือมีคณิกาถึงเก้าคนเต็มๆ

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“ลองฟังดูสิ… ดูเหมือนพวกนางจะมีความสุขกันมาก นี่กำลังรับรองคนใหญ่คนโตท่านใดกัน”

“จะเป็นไปได้อย่างไร ในระหว่างการตรวจสอบข้าราชสำนัก คนใหญ่คนโตหน้าไหนจะกล้าออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้ ผู้ใดจะโง่ถึงขั้นเผยจุดอ่อนให้ศัตรูเองกับมือ”

“บางทีพวกนางอาจจะแค่รวมกลุ่มกันเล่นสนุกก็ได้”

“มัวเดาสุ่มอะไร ไปถามดูก็สิ้นเรื่อง”

มีแขกคนหนึ่งมาเคาะประตูของลานชิงฉือ ทันทีที่เด็กเฝ้าประตูชุดดำเปิดประตู ก็สะดุ้งตกใจกับภาพตรงหน้า

มีแขกสิบกว่าคนห้อมล้อมอยู่ที่ปากประตูลานชิงฉือ

“แม่นางทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ข้างในนั้นหรือ” ชายหนุ่มในชุดโอ่อ่าผู้หนึ่งจ้องมองเข้ามาภายในสำนัก และเอ่ยถามเสียงขรึม

“กำลังรับรองแขกอยู่ขอรับ” เด็กรับใช้ชุดดำกล่าว

ปากทางเข้าเงียบสงัดในบัดดล จากนั้นไม่นานก็มีคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “เช่นนั้น ท่านผู้สูงศักดิ์ท่านใดอยู่ข้างในหรือ… หากไม่สะดวกจะเปิดเผย ก็ไม่เป็นไร”

เด็กรับใช้ชุดดำครุ่นคิด ผู้ที่เป็นแขกอยู่ในลานคือคุณชายสวี่ มิใช่คนใหญ่คนโตตามที่บรรดาแขกเหรื่อเข้าใจกัน เขาไม่คิดว่ามีอะไรต้องปิดบัง จึงเอ่ยอย่างไม่หวาดหวั่น

“มิใช่อย่างที่คุณชายทั้งหลายคิดหรอกขอรับ ผู้ที่มาเป็นแขกอยู่ด้านในคือคุณชายสวี่”

คุณชายสวี่?

ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา แต่ละคนต่างเค้นหาในสมองอยู่ชั่วครู่ ก็ไม่พบบุคคลที่เข้าเกณฑ์

ในราชสำนักมีขุนนางคุณูปการหรือขุนนางระดับสูงสกุลสวี่ด้วยหรือ?

ชายหนุ่มผู้เคาะประตูขมวดคิ้วถาม “คุณชายสวี่ท่านนั้น”

“สวี่ชีอัน คุณชายสวี่ผู้เขียนกลอนมอบให้ฝูเซียงเป็นของขวัญผู้นั้นขอรับ” เด็กรับใช้ชุดดำกล่าว เขาได้รับเงินสามเหรียญเป็นรางวัลจึงอารมณ์ดี ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะคุณชายสวี่ จึงยินดีสร้างชื่อเสียงให้เขา

เป็นเขาเองหรอกหรือ

ณ ตอนนี้นัยน์ตาของเหล่าปัญญาชนเป็นประกายสุกใส

“พวกเรารอกันอยู่ตรงนี้ ไม่แน่ว่าอาจรอจนกว่าจะได้สดับฟังบทกวีโบราณสักบท”

พอเอ่ยคำนี้ออกมา ผู้คนที่แต่เดิมกำลังโกรธแค้นและริษยาตาร้อน ก็ข่มอารมณ์เอาไว้ ในที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นคนมีตำแหน่ง แม้จะเป็นพ่อค้าก็มีใจที่อยากมีหน้ามีตาเผื่อเอาไว้[2]

“มีคณิกาทั้งเก้าคอยปรนนิบัติ ช่างเป็นเก่งกาจเสียนี่กระไร บัณฑิตจอหงวน[3]กี่รายในครั้งอดีตยังไม่เคยได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้”

“แถมบัณฑิตจอหงวนยังมิกล้าคุยโวเกินจริงเช่นนี้”

‘กริ๊งๆๆ…’

ในเสียงอันใสกังวาน มีลูกศรไร้หัวสองสามดอกตกลงในไหที่อยู่ห่างไป 3 จั้งอย่างแม่นยำไม่มีพลาด

สวี่ชีอันที่ปิดตาหันหลังดึงผ้าออก แล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากโอบกอดเสียวหย่าและหมิงเยี่ยนสองคณิกา หอมฟัดใบหน้าพวกนางอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากฟัดเสร็จ สวี่ชีอันก็ตบแก้มก้นของพวกนาง “กล้าได้ก็ต้องกล้าเสีย ดื่มเลยๆ ”

คณิกาทั้งสองนางบิดเอว ทำหน้ามุ่ยตะโกนร้องว่าน่ารำคาญ พลางยกจอกดื่มสุราอย่างน่าเอ็นดู

“ไม่เล่นแล้วๆ ไร้คู่ต่อสู้เงียบเหงาเกินไป” สวี่ชีอันผลักคณิกาทั้งสองนางออก “แม่นางทั้งหลายรออยู่ที่นี่ ข้าขอออกไปสักประเดี๋ยว แล้วจะกลับมาทำศึกใหญ่กับพวกเจ้าอีกสักสามร้อยรอบ”

เขาลูบท้องบ่งบอกว่าตนจะไปห้องสุขา

คณิกาทั้งหลายตะโกนจากทางด้านหลัง ‘รีบไปรีบกลับนะที่รัก’

เมื่อออกจากห้อง ประตูก็ถูกปิด สายลมหนาวเย็นสะท้านเข้าปะทะหน้า สวี่ชีอันเก็บสีหน้าโอ้อวด แล้วพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ

มองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นตน เขาก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพงเบาๆ ฉีกวิชามองปราณไปหน้าหนึ่ง แล้วใช้พลังปราณจุดไฟ

‘ชิ้ง~’

เขาแหงนหน้ามองฟ้า แสงสว่างทั้งสองในดวงตาแหวกฝ่าท้องนภายามราตรี แล้วเก็บแสงสว่างแฝงซ่อนไว้ในนัยน์ตาดำ

ที่สวี่ชีอันมายังหอนางโลมยังมีอีกหนึ่งจุดประสงค์ คือสังเกตดวงชะตาของที่นี่อย่างใกล้ชิด และค้นหาไอปีศาจ

เหิงฮุ่ยปรากฏกายและสังหารผู้คนมากมายภายในเมืองถึงสองครั้ง หากบอกว่าในเมืองไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจซุ่มโจมตีอยู่ เขาก็ไม่เชื่อ

“เหิงฮุ่ยเป็นมีดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ที่ใช้ประโยชน์จากเขาบรรลุเป้าหมายบางอย่าง เผ่าพันธุ์ปีศาจปลดปล่อยสิ่งที่ปิดผนึกออกมาจนแทบล้มประดาสิ้น คงไม่ปล่อยให้เหิงฮุ่ยก่อความวุ่นวายเป็นแน่… หากเป็นข้า ข้าจะจับตามองเหิงฮุ่ยแน่นอน… คราก่อนข้าสังเกตเห็นไอปีศาจที่หอนางโลม หากเกิดขึ้นเป็นบางครั้งคราวก็คงไม่มีอะไร หากไม่ใช่ เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าหอนางโลมอาจเป็นหนึ่งในฐานลับที่เผ่าพันธุ์ปีศาจคอยซุ่มโจมตี”

ปราณใสในนัยน์ตาของสวี่ชีอันไหลเวียน กวาดผ่านทุกซอกมุมของหอนางโลมอย่างช้าๆ ก็มองเห็นไอชะตาหลากสีหลากรูปแบบ ไม่พบความผิดปกติใดๆ

ท้ายที่สุด เขาก็เพ่งสายตามองไปทางลานชิงฉือที่อยู่ตรงหน้า เพ่งไปทางโรงสุราที่เหล่านางคณิกาอยู่

ปรากฏไอปีศาจสีมรกต พลิ้วไหวดุจดั่งควันสีเขียว

ไอ้… สวี่ชีอันเกือบหลุดระเบิดคำหยาบ ในใจพลันเย็นเฉียบ แผ่นหลังเปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็น[4]

เผ่าพันธุ์ปีศาจก็อยู่ในห้องนั้นด้วยหรือ

เพิ่งจะดื่มสุรากับข้าอีกด้วย

เขารู้สึกระทึกใจเหมือนอยู่ในเรื่องเล่าสยองขวัญ ที่ตัวเอกไปพักแรมอยู่โรงเตี๊ยมกลางภูเขา และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นกลับพบว่าตนอยู่ในสุสานบนภูเขารกร้าง

“คนไหนคือเผ่าพันธุ์ปีศาจกันแน่… ใครสักคนในหมู่คณิกา หรือจะเป็นสาวใช้ ยังไงก็ไม่น่าใช่ฝูเซียง ข้าหลับนอนกับนางมาตั้งหลายครั้งหลายครา เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ… แถมวันนั้นที่ข้าเห็นไอปีศาจ ข้าก็ตรวจสอบนางไปแล้ว”

สวี่ชีอันกระโดดลงจากกำแพงอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้โรงสุรา ประตูโรงสุราไม่ได้ปิดสนิท เขาจึงมองผ่านช่องประตูเข้าไปด้านใน

เขาเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีไอปีศาจสีเขียวมรกตเอ่อล้น ไม่ใช่หนึ่งในบรรดาคณิกา ทว่าเป็นสาวใช้ประจำตัวของคณิกาหมิงเยี่ยน

นางนั่นเอง… สวี่ชีอันเริ่มคิดเชื่อมโยงในทันที เพราะเหตุใดตอนที่เขาพาซ่งถิงเฟิงและคนอื่นๆ มาเสาะหาไอปีศาจเมื่อคราก่อนถึงไม่พบ

ตอนนั้นนางใช้วิธีใดกลบไอปีศาจ… นางมีจุดประสงค์ใดจึงคอยดักซุ่มอยู่ข้างกายหมิงเหยี่ยน… อืม หมิงเยี่ยนอาจจะไม่บริสุทธิ์ ไม่แน่ว่าอาจเป็นพรรคพวกของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ได้… คิดๆ ดูแล้ว ทันทีที่ข้าเข้าสู่หอนางโลมนางก็ส่งคนมาเชิญข้า ไม่ได้คิดจะประจบข้าอย่างเดียวแน่ๆ

สวี่ชีอันตัดสินใจในทันที เขาปีนกำแพงออกจากลานชิงฉืออีกครั้ง แล้วรีบวิ่งตรงไปยังสำนักเล็กๆ ที่ซ่งถิงเฟิงอยู่

ยามที่แสดงวิชามองปราณเพ่งดูเมื่อครู่ เขาก็จดจำตำแหน่งของซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวเอาไว้แล้ว

เสียงภายในห้องหยุดลงอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยเสียงระแวดระวังของซ่งถิงเฟิง “ใคร”

“ข้าเอง” สวี่ชีอันตบประตู “ออกมา มีเรื่องด่วน”

ซ่งถิงเฟิงด่าสาดเสียเทเสีย ตามมาด้วยเสียงใส่เสื้อ ‘สวบสาบๆ’ ชั่วประเดี๋ยวก็เปิดประตูออกมาพร้อมเสื้อผ้าที่ดูหลุดลุ่ย

“อาซ่ง ตอนนี้ต้องกลับหน่วยงานทันที แจ้งฆ้องทองคำที่เข้าประจำอารักขา ให้เขามายังหอนางโลมด้วยตนเอง บอกเขาว่าลานชิงฉือมีเผ่าพันธุ์ปีศาจ”

สวี่ชีอันกล่าวอย่างรวบรัด “จำไว้ว่า เจ้าจะต้องทำให้ฆ้องทองคำมาที่นี่ให้ได้ ข้าไม่ค่อยรู้วิชามองปราณนัก จับจุดพลังของฝ่ายตรงข้ามไม่ถูก ในลานชิงฉือมีคณิกาเก้านาง พวกนางทุกคนล้วนเป็นแกะเลี้ยง ไร้ความสามารถในการป้องกันตัว จริงด้วยสิ หากผู้ที่เข้าประจำอารักขาคือสกุลจู เจ้าจงเปลี่ยนเส้นทางไปสำนักโหราจารย์เข้าพบซ่งชิง”

ไม่ต้องพูดจามากความ เขาเชื่อว่าตราบใดที่ซ่งถิงเฟิงอธิบายสถานการณ์ตามความจริง ด้วยประสบการณ์ที่ท่วมท้นของฆ้องทองคำ ต้องรู้ว่าควรจะทำอย่างไร

สีหน้าของซ่งถิงเฟิงเคร่งขรึมยิ่งขึ้น ความไม่พอใจและโทสะเมื่อครู่มลายหายสิ้น เขากลับเข้าไปในห้อง หยิบมีดพก ฆ้องทองแดง มัดอาวุธเวทมนตร์และพุ่งออกจากสำนักทันที

สวี่ชีอันกลับไปยังลานชิงฉือด้วยความรวดเร็ว รอยยิ้มเหลาะแหละปรากฏขึ้นที่มุมปาก ผลักประตูด้วยสีหน้าทะเล้น

“สาวๆ จ๋า ข้ากลับมาแล้ว”

เขาเพียงหลุบตาลอบมองปีศาจสาวที่รินสุราให้คุณหนูของตนเอง แล้วก็ละสายตาทันที

หากจับจุดพลังไม่ถูกสวี่ชีอันก็ไม่กล้าลงมือโดยพลการ สู้ให้อีกฝ่ายหนีไปเสียยังดีกว่า เขาไม่อยากเห็นคณิกาที่บริสุทธิ์ต้องได้รับบาดเจ็บ

ต่อจากนี้ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่ม ควรลูบก็ต้องลูบ

สวี่ชีอันเล่นสุราทายนิ้ว เล่นพนันดื่มสุรา โยนเต๋า ดูสุขสำราญอย่างยิ่ง

ผู้ใดแก้มก้นกลมกลึงกว่า ผู้ใดเอวเล็กบางที่สุด เขาเห็นชัดทุกสิ่ง

ทว่าสวี่ชีอันกลับไม่มีความสุข ซ้ำยังร้อนใจไม่น้อย รอแล้วรอเล่า หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ซ่งถิงเฟิงก็ยังไม่กลับมา

บัดนี้ ปีศาจสาวตนนั้นเงยหน้ามองสวี่ชีอัน แล้วเอ่ยเสียงหวาน “ดึกมากแล้ว แม่นางทั้งหลายกลับไปก่อนเถอะ คุณชายสวี่คืนนี้จะพักที่บ้านท่านหญิงของข้าที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”

………………………………………

[1] 水到渠成 น้ำมาคลองเกิด อุปมาว่าเมื่อเงื่อนไขพร้อมเรื่องต่างๆ ก็จะบรรลุผล

[2] 附庸风雅 หมายถึง มีหน้ามีตาส่วนเกิน ณ บริบทนี้หมายถึงในสมัยเก่าบรรดาขุนนาง เจ้าของที่ดิน พ่อค้าต่างอยากมีหน้ามีตาจึงคบค้าสมาคมกับบรรดานักปราชญ์หรือราชบัณฑิตที่มีชื่อเสียงทำกิจกรรมทางวัฒนธรรม

[3] 状元 หมายถึง บัณฑิตจอหงวน ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งของคนที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกขุนนาง (หรือที่เรียกว่าเคอจวี่)

[4] 冷汗 หมายถึง เหงื่อเย็น ซึ่งเกิดจากความหวาดผวาหรือตื่นตระหนกจนเหงื่อไหลมือเท้าเย็น จึงเรียกว่าเหงื่อเย็น