ยมโลกมีทั้งหมดสิบแปดชั้น นอกจากเมืองผีชั้นบนสุดแล้ว นอกนั้นล้วนเป็นขุมนรกของเมืองต่างๆ ราชาซิวหลิงบอกว่าสีเถิงอยู่ชั้นล่างสุด ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องลงไปทีละชั้น

อวิ๋นเจี่ยวรอจนเบื่อหน่วย อีกทั้งวิ่งวุ่นมาทั้งวัน ยมโลกบ้างโลกปีศาจบ้าง ทำให้ท้องของเธอก็อดบรรเลงเพลงไม่ได้

“อาจารย์ปู่…” เธอดึงเสื้อคนด้านข้างเล็กน้อย “ท่านยังมีขนมไหม ข้าหิวมาก!”

เยี่ยยวนก้มมองเธอ สีหน้ามีความหนักใจ ก่อนจะพูดขึ้น “มี…นิดหน่อย”

“แบ่งข้าหน่อยได้ไหม” อวิ๋นเจี่ยวพูด “กลับไปข้าคืนให้ท่าน”

ทันใดนั้นดวงตาของเขาเป็นประกายลุกวาว สักพักไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ พูดขึ้น “ไม่ต้อง เลี้ยงไหว”

“ฮะ?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ ได้ยินสิ่งที่เขาพูดไม่ชัด

เยี่ยยวนหยิบถุงเก็บของออกมา ก่อนจะยื่นมาให้ “เหลือไม่มาก เพียงพอให้เจ้าอิ่มท้อง”

“ขอบคุณอาจารย์ปู่!” อวิ๋นเจี่ยวดีใจ เธอเปิดถุงเก็บของออก ก่อนจะหยิบ: ขนม เม็ดทานตะวัน เค้กข้าวเหนียว ลูกชิ้น ผมไม้เคลือบน้ำตาล ผลไม้อบ…

ของกินหลากหลายชนิดถูกหยิบออกมา แม้แต่ผ้าที่เธอวางไว้บนพื้นยังไม่มีที่จะวางแล้ว

มองดูถุงที่ไม่มีแนวโน้มจะแบนลงไปแม้แต่น้อย อวิ๋นเจี่ยว: “…”

อาจารย์ปู่ท่านมองตาข้าแล้วพูดอีกรอบ นี่คือที่ท่านบอกว่า ‘นิดหน่อย เหลือไม่มาก’ เหรอ!?

หลายเดือนมานี้ท่านทำขนมไปมากเท่ไหร่เนี่ย!

เธอตัดสินใจแล้ว ทันทีที่กลับไปจะต้องตรวจสอบรายการจัดซื้อของชายชราในหลายเดือนนี้ แค่วัตถุดิบของขนสมเหล่านี้ คงต้องใช้อย่างต่ำสามตำลึง อีกทั้งยังไม่รวมที่อาจารย์ปู่ทำเสียไปตอนที่คิดค้นของใหม่อีก แน่นอนว่ายังไม่รวมสิ่งที่ได้มาจากชายชรา

อวิ๋นเจี่ยวยิ่งมองยิ่งรู้สึกเจ็บใจ นี่มันเงินทั้งนั้น เงิน!

“กิน” อีกฝ่ายยื่นขนมมาให้ด้วยสายตานิ่งเฉย ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขาจะยังคงเรียบเฉย แต่ดวงตาของเขาลุกววขึ้นไม่น้อย

“…” อวิ๋นเจี่ยวมองเขาอย่างเงียบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง พร้อมกับรับขนมชิ้นนั้นมายัดเข้าปาก เฮ้อ อาจารย์ปู่ที่ตนเองเลือก แม้จะต้องล้มละลายก็ต้องเลี้ยง!

_(´ཀ`」∠)_

ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะสอนให้อาจารย์ปู่ทำอาหารเอง เพราะอย่างไรก็ดีราคาผักนั้นถูก แต่ว่าชายชรายังไม่ได้อดอาหารอย่างจริงจัง หากให้อาจารย์ปู่ทำอาหาร ชายชราคงได้อดตาย ดังนั้นเธอจึงละทิ้งความคิดนี้

พลางกินขนมพลางคำนวณถึงต้นทุน พลางคำนวณว่าต้องเปิดห้องเรียนอีกมากเท่าไหร่ถึงจะเลี้ยงอาจารย์ปู่ไหว!

ในขณะที่เธอกำลังคิดคำนึงถึงการอยู่รอดของสำนักชิงหยาง เสียงประลาดหนึ่งก็ดังขึ้น

โครก…

เสียงนั้นดังกึกก้อง อีกทั้งยังสะท้อนอยู่ภายในยมโลกที่อ้างว้าง

อวิ๋นเจี่ยวมองหาต้นเสียงทันที เห็นเพียงแต่บริเวณไม่ไกลนักมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างนั้นเป็นชายหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์ หน้าตารูปงามอย่างมาก เพียงพอที่จะก่อให้เกิดเสียงกรีดร้องนับพัน คิ้วคมดวงตาเป็นประกาบ แม้ว่าเขาจะสวมชุดสีแดงเข้ม แต่หน้าตาของเขากลับให้ความรู้สึกไร้เดียงสา

หากไม่ใช่เห็นหน้าอาจารย์ปู่ทุกวัน เธอคงจะตกตะลึงในหน้าตาของอีกฝ่ายเป็นแน่ หาก…ดวงตาของเขาไม่ได้จองมองขนมข้างตัวพวกเธอเป็นประกาย มุมปากราวกับกำลังจะมัหยดน้ำไหลออกมา

เยี่ยยวนขมวดคิ้วขึ้นทันที อวิ๋นเจี่ยวเองก็รู้สึกระแวงขึ้นมาไม่น้อย

ใคร?

อีกฝ่ายราวกับว่าเป็นวิญญาณ เพียงแต่ร่างกายของเขาโปร่งใสมากกว่าวิญญาณอื่น ลักษณะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับปรากฏตัวกลางอากาศ

“ท่านมีธุระ?” เธอถามออกเสียง เมืองหลวงเกิดเรื่อง วิญญาณในเมืองผีล้วนหลบหลีกจากตรงนี้ ไม่คิดว่าจะมีวิญญาณมาที่นี่

ชายหนุ่มผงะ ก่อนจะตั้งสติได้ สีหน้าของเขาเผยให้เห็นความเก้อเขิน ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “ขออภัยท่านทั้งสอง ข้าได้กลิ่นจากฝั่งตรงข้าม จึงมีความสงสัยในอาหารของพวกท่าน จึงได้ข้ามมาดู รบกวนทั้งสองท่าน ข้าต้องขออภัย!” พูดจบ เขารีบเช็ดปากอย่างรวดเร็ว

ฝั่งตรงข้าม?

อวิ๋นเจี่ยวหันหน้ากลับไปมอง ฝั่งตรงข้ามของพวกเธอ มีเพียงแม่น้ำหยินอันกว้างขวางเท่านั้น อีกทั้งฝั่งตรงข้ามของแม้น้ำคือเมืองผีอื่นๆ หรือว่าเขามาจากเมืองผีอื่นๆ?

ยังไม่ทันได้ครุ่นคิด ชายหนุ่มนั้นกลับผงะไป เขากวาดตามองคนทั้งสอง ก่อนจะพูดขึ้น “พวกท่านคือคนของโลกมนุษย์!”

อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “ใช่”

“คนเป็นเข้ามาในยมโลกได้อย่างไร” เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย ก่อนจะพูดเตือน “พวกท่านรีบออกไปให้เร็วจะดีกว่า ที่นี่เป็นสถานที่ของวิญญาณ”

“ขอบคุณที่ท่านเตือน พวกข้ารอสหายอยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวก็จากไป”

“สหาย?” ชายหนุ่มยิ่งมีสีหน้าไม่เห็นด้วย “ยมโลกไม่ใช่สถานที่เข้าออกได้ง่าย พวกท่าน…เอ๊ะ?” เขาพูดเพียงครึ่งเดียวก็ชะงักลง สายตาจ้องมองไปยังเยี่ยยวน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและตกตะลึง “ที่แท้ก็เป็นเจ้า!” เขาอุทานออกมา จากนั้นเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “เฮ้อ! เหตุใดถึงกลายเป็นสภาพนี้ ข้าเกือบจำไม่ได้”

หมายความว่าอย่างไร

อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังอาจารย์ปู่: “รู้จัก?”

คิ้วของเยี่ยยวนขมวดลึกขึ้น เขาจ้องมองไปยังอีกฝ่าย ก่อนจะพูดอย่างมั่นใจ “ไม่เคยเจอ!”

“เจ้า…” อีกฝ่ายนิ่งอึงไปทันที แม้แต่ฝีเท้าที่กำลังจะเข้าใกล้ก็หยุดลง เขาถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ ไม่รู้จักก็ไม่รู้จัก เจ้ามายมโลกอย่างกะทันหันเช่นนี้ คงไม่ได้เพื่อกินอาหารข้างแม่น้ำหรอกนะ?” สายตาของเขาจับจ้องไปยังของกินบนพื้น ทำท่าจะก้มลงหยิบ

“อย่า!” อวิ๋นเจี่ยวปิดตาตัวเอง

นาทีถัดมา พลังอันคุ้นเคยกลุ่มหนึ่งฟาดไปยังอีกฝ่าย แต่น่าแปลดคือคนตรงหน้ากลับไม่ปลิวออกไปเหมือนแต่ก่อน แต่เขาเพียงถอยหลังไปหลายก้าว เขาตะลึงเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เยี่ยยวน นิสัยชอบใช้ความรุนแรงของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย!”

อวิ๋นเจี่ยวตะลึงอย่างมาก อาจารย์ปู่เมื่อกี้ไม่ได้ออมแรงแม้แต่นิดเดียว แม้แต่อาจารย์อาหยวนเจียงยังถูกตีลอยออกไป แต่ชายหนุ่มนี้กลับไม่เป็นอะไร เพียงแค่ถอยหลังไปเล็กน้อยเท่านั้น

“อาจารย์ปู่ เขาคือ…” ใคร

สีหน้าของเยี่ยยวนดำลง คิ้วของเขาขมวดจนเป็นปม ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พร้อมกับดึงอวิ๋นเจี่ยวไปไว้ด้านหลัง ถึงได้ตอบคำถาม “ราชายมโลก!”

“…”

ราชายมโลก!!

(⊙_⊙)

ไม่ใช่ราชายมโลกที่เธอคิดใช่ไหม ไม่ได้บอกว่าเขาหลับอยู่เหรอ ทำไมปรากฏตัวที่นี่ได้

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกระแวงขึ้นมาทันที แม้แต่อาจารย์ปู่ยังระวังขนาดนี้ อีกฝ่ายคงไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่เห็นอย่างแน่นอน ถึงแม้อีกฝ่ายจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่คงรับมือด้วยไม่ง่าย

เธอจับจ้องมองไปยังคนฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของเขาจะเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร

ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยราวกับไม่โกรธ แต่พลังวิญญาณรอบตัวกลับหนาแน่นขึ้น ร่างวิญญาณที่กึ่งโปร่งใสนั้นแปรเปลี่ยนเป็นร่างที่จับต้องได้ พลังวิญญาณรอบกายแผ่ซ่านออกมา พลังวิญญาณรอบด้านหนาแน่นขึ้นราวสิบเทาในทันใด ดวงตาสีดำคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอย่างแปลกประหลาด ร่างกายของเขาราวกับถูกหมึกสีดำครอบคลุมเอาไว้ ทำให้คนเห็นเกรงขาม

นี่คือราชายมโลก!

“เยี่ยยวน ไม่เจอนานเช่นนี้…” เขาเดินมาทางคนทั้งสองอีกครั้ง ทุกย่างก้าวของเขาล้วนปะปนไปด้วยพลังที่คนไม่อาจต้านทานได้ “เจ้านับวันยิ่ง…โอย!”

เขาพูดยังไม่ทันจบ เสียงร้องโอดครวญก็ดังขึ้น ไม่รู้ว่าเขาเดินอย่างไร ล้มลงต่อหน้าคนทั้งสองอย่างจัง พังวิญญาณรอบกายก็สลายไป แสดงการล้มที่สมบูรณ์แบบให้อีกฝ่ายดู!

อวิ๋นเจี่ยว: “…”

เยี่ยยวน: “…”

นี่คือราชายมโลก?!

( ̄△ ̄;)