ท่านย่าหม่าทำยังไงก็ไม่เข้าใจความคิดของหลานสาว บอกว่าจะไปหาเงินไม่ใช่หรือ ทำไมยังมาพูดคุยเจาะแจ๊ะอยู่กับนาง บอกว่าจะทำอาหารและยังพูดวกไปวนมาอีก แล้วยังต้องการตามหาลูกสามของนางทำไม

สิ่งที่ทำให้ท่านย่าหม่ายิ่งไม่เข้าใจก็คือ ทำไมถึงหาเงินเหวินเดียวก็ไม่ได้ หรือว่าหลานสาวต้องการให้นางควักเงินตัวเอง ทำอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า ในขณะเดียวกัน ที่เพิงคอกวัว มีเด็กผู้หญิงกลุ่มนึงกำลังพูดคุยเจี๊ยวจ๊าว กำลังดูหนิวจั่งกุ้ยรีดนมวัว ซ่งฝูเซิงยืนอยู่ข้างๆ กำลังสั่งซื่อจ้วงว่าจะต้องซ่อมแซมห้องที่ผุพังนี้อย่างไร

เขาได้ยินว่า ลูกสาวและท่านแม่กำลังตามหาเขาอยู่ บอกว่าจะฝากเขาซื้อของ ทั้งยังทำท่าทางแปลกๆ เรียกเขาไปที่ข้างบ้าน เขารู้สึกงงๆ แต่ก็เดินเข้าไปถาม “ซื้ออะไรหรือ”

ซ่งฝูหลิงนับนิ้วสั่งของอย่างละเอียดว่า “ซื้อแป้งละเอียดที่ดีที่สุด ไข่ไก่ น้ำตาล เกลือละเอียดคุณภาพดี และน้ำมันข้าวโพด”

ซ่งฝูหลิงกำลังสั่งของ ทางด้านท่านย่าหม่าหนังตาก็กระตุกหนึ่งครั้ง

ซ่งฝูหลิงบอกว่า “ท่านย่า ท่านต้องจ่ายเงิน” ท่านย่าหม่าหัวใจเต้นระรัว

“ทำไมต้องเป็นข้าจ่ายเงินล่ะ ถ้าข้าไม่จ่ายเงิน จะเป็นอะไรหรือ”

ซ่งฝูหลิงบอกว่า ถ้าไม่เช่นนั้น นางก็จะยืมเงินพ่อของนางเพิ่ม เพราะว่านางมีเงินสามตำลึงจากกองกลาง ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ลงทุนในไม่กี่วันนี้

ท่านย่าลองคิดดูให้ดี ท่านเข้าใจหรือไม่ เงินทุนของตัวเองก็ไม่ยอมเอาออกมา พวกเราจะแบ่งเงินเป็นสัดส่วนคือ เงินที่หามาได้สองต่อแปดส่วน ท่านย่าเอาเงินคืนไปสอง ส่วนข้าเอาไปแปด ในสองส่วนของท่าน ก็คือเงินที่ท่านลงทุนใช้ซื้อของ ท่านเข้าใจหรือไม่?

“สองต่อแปดส่วนคืออะไร”

ได้กำไรมาสิบตำลึง เจ้าเอาไปสองส่วน ข้าเอามาแปดส่วน เด็กคนนี้นี่ เจ้าต้องการเงินจำนวนนั้นไปทำอะไร” ท่านย่าหม่ายังไม่ลืมเรื่องทหารช่วยเหลือ นางจ้องไปที่ซ่งฝูเซิง “มาจัดการลูกสาวของเจ้าด้วย?”

ซ่งฝูเซิง พยักหน้าหัวเราะ เขาบอกว่าตามกฎของที่บ้าน จะต้องพูดตกลงกันให้เข้าใจ แล้วค่อยปฏิบัติตาม ทั้งยังหัวเราะแล้วถามซ่งฝูหลิง “เจ้าอย่าทำให้ท่านย่าลำบากใจ พ่อจะลงทุนให้เจ้าเอง เจ้าได้กำไรค่อยแบ่งข้า”

“จะบ้าหรือ” ท่านย่าหม่าเริ่มโมโห กลัวว่าจะถูกแย่งงานไป ทั้งยังโกรธลูกสามว่าทำไมถึงได้สรรเสริญลูกสาวจนแทบจะลอยได้แบบนั้นล่ะ เกิดมายังไม่เคยพบเคยเจอคนแบบนี้มาก่อน

แต่ว่า คำพูดของซ่งฝูเซิง ทำให้หัวใจของนางเริ่มมีความรู้สึกบางอย่าง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กลัวจะถูกแย่งไป แต่จิตใจของท่านย่าหม่าที่กลัวถูกแย่งกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี “ถ้าไม่ได้ร่วมมือกับพ่อของเจ้า ก็ร่วมมือกับย่า เจ้าก็รู้ว่าสมองของย่าฉลาดปราดเปรื่องขนาดไหน ลืมไปแล้วหรือ”

ซ่งฝูหลิงรีบพยักหน้า

“อือ อือ อือ ท่านย่า ยังไงข้าก็ต้องร่วมมือกับท่าน…

…ถ้าท่านย่าลงทุน พวกเราไม่ใช่ส่วนแบ่งเป็นสองต่อแปด แต่พวกเราย่าหลานก็แบ่งส่วนแบ่งแบบสี่ต่อหก ท่านสี่ส่วน ข้าหกส่วน…

…ท่านคิดดู ข้าทำไมถึงใจกว้าง…

…ไม่เพียงเพราะผมที่มีเหาของท่าน แต่ข้าอยากให้ครอบครัวพวกเรามีชีวิตที่ดีกว่าครอบครัวอื่น…

…ถ้าท่านเก่งแล้ว ต่อไปคนอื่นก็มองเราดีขึ้นใช่หรือไม่…

…เพราะจริงๆ ข้าดูออกแล้ว ไม่ใช่สิ ข้าคาดการณ์ไว้ว่า ถ้าพวกเราอาศัยหาเงินจากคะแนนทำงาน พวกเราคงไม่สามารถเอาชนะคนที่ทำงานเก่งอย่างท่านลุงซ่งได้ พวกเราจะหาเงินจากการทำงานต้องถูกคนอื่นกดดันเป็นแน่ คงจะดูไม่ดี พวกเราต้องคิดหาวิธีหาเงินทางอื่น วิธีหาเงินทางอื่นจะมีวิธีได้เงินมากกว่าคนอื่นได้ด้วย ม้าไม่มีหญ้ากินเสริมในช่วงกลางคืน เนื้อหนังจะมาจากไหน ดังนั้น”

พอๆ ไม่ต้องดังนั้นแล้ว เด็กคนนี้ ทุกประโยคที่พูดมาทำให้ย่ามีความหวัง ท่านย่าหม่าหัวใจเต้นรัว “ต้องลงทุนเท่าไร” นางเริ่มควักเงินออกมาจากกระเป๋าคาดเอว

ซ่งฝูเซิงพอใจกับเรื่องทั้งหมดแล้ว

ในช่วงที่กำลังลี้ภัย ท่านแม่ของเขามีเงินอยู่สี่ตำลึง ท่านแม่เฒ่าจะให้ใครดูแลก็ไม่วางใจตอนนี้จะให้เพียงลูกสาวของเขาดูแล อย่ามองว่าแค่จะให้เงินลูกสาวของเขาเป็นเรื่องเล็กๆ ตอนนั้นการเดินทางอันตรายมาก ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พรุ่งนี้จะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ไม่รู้ เงินสี่ตำลึงนี้ เท่ากับ วันหนึ่งถ้าท่านย่าเกิดอะไรขึ้น ก็จะให้ลูกสาวเขาจัดการ ความหมายก็คือ ให้ลูกสาวของเขาเป็นคนตัดสินใจว่าจะใช้เงินไปทำอะไร

ความหมายตอนนี้ก็คือ

คนที่ทำให้ท่านย่าควักเงินออกมาคนนั้น เท่ากับเขาต้องได้กินเลือดท่านย่าแล้ว เจ้าลองมองไปที่ลูกสาวของเขา นางพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ท่านย่ายอมควักเงินออกมา ทำให้ท่านย่าฟังสิ่งที่นางคิดจะทำ แค่คำพูดก็ทำให้ท่านย่ารู้สึกอยากได้เงินจนคันไม้คันมือ ดังนั้น ซ่งฝูเซิงจึงรู้สึกนับถือลูกสาวของเขา ถ้าพูดให้ชัดเจนก็คือ เขาประเมินท่านแม่ของเขาต่ำไป

เป็นอย่างไรนั้นหรือ

ท่านย่าแก่ ตอนนี้รู้สึกเสียดายเงินแล้ว

หลานสาวมาถึงประตูบ้าน ท่านย่า ท่านไปเถอะ

เจ้าจะไปทำอะไร พวกเราทั้งสองไม่ใช่จะไปหาเงินหรือ

“ยังไม่ซื้อของกลับมา จะหาเงินได้อย่างไร ข้าจะกลับไปบ้านไปซักเสื้อผ้า รอให้ถึงพรุ่งนี้ ออ? พรุ่งนี้ท่านไปหาข้า” ซ่งฝูหลิงพูดเสร็จก็กลับบ้านตัวเอง

ท่านย่ายืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยลงมาไม่ขาดสาย นางมองตามหลังหลานสาวไกลๆ ขณะลมเย็นของหิมถูกพัดเข้ามากระทบตัว หัวใจที่ร้อนระอุเมื่อครู่ก็ค่อยๆเย็นลง นางกำลังกัดฟันและคิดว่า ต้องไม่คิดถึงเงินพวกนั้น ต้องไม่คิดถึงเงินพวกนั้น นอกจากนี้ ห้ามพูดเรื่องนี้กับครอบครัวลูกชายคนโตและคนลูกชายคนรอง นางกำเงินอยู่ในมือเมื่อครู่ เงินในมือก็หายไปครึ่งหนึ่งจนได้

ระหว่างทางกลับบ้าน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด หม้อกองกลางก็ยังไม่ได้ซื้อ ตอนนี้บ้านของนางยังถูกใช้เป็นห้องครัวอีก

ท่านยายหวังถามขึ้น “เจ้าไปทำอะไรมา ตอนนี้กลับมาบ้านได้แล้ว พวกเราจะตวงแป้งทำกับข้าว”

ท่านย่าหม่า “……”

ไอ้หยา ไม่ดีแล้ว นางจะควักเงินไปซื้อแป้งละเอียดทำไม กองกลางยังมีแป้งเหลืออยู่ ใครจะไปรู้ว่าหลานสาวจะทำอาหารออกมาเป็นอย่างไร น่าจะเอาแป้งละเอียดไปลองทำดูก่อน ถ้าไม่สำเร็จ อย่างน้อยตอนที่นางทำกับข้าว สามารถประหยัดเงินค่าแป้งละเอียดได้ ไม่เช่นนั้น ความสูญเสียส่วนที่รับผิดชอบไปก็คือกองกลาง นางหัวเราะชอบใจ

ท่านยายเถียนก็ถามขึ้น “ท่านพี่ วันนี้ซุปผักกาดขาวของพวกเราจะหยดน้ำมันลงไปหรือไม่”

ท่านย่าหม่า “……”

ไอ้หย่า ไม่ดีแล้ว นางทำไมต้องควักเงินซื้อน้ำมันข้าวโพด ใช้น้ำมันอะไรก็ไม่รู้ กองกลางมีน้ำมันงานี่นา ใครจะไปรู้ว่าหลานสาวจะทำอาหารออกมาเป็นอย่างไร ถ้าทำไม่สำเร็จ ยังไงใช้ของกองกลางก็ทำให้ประหยัด……

ยังไม่รอให้พูดจบ คำพูดที่มีแต่ความเสียดาย ท่านย่าหม่าสงบนิ่ง ใช่แล้ว หลานสาวจะทำอาหาร นางทำไมไม่ถาม ถ้าทำออกมาไม่สำเร็จ นั่นคงเสียของ สิ่งของที่เสียหายเป็นของส่วนกลางยังพอว่า แต่ตอนนี้นางกำลังทำลายเงินของตัวเอง

โอ๊ย โอ๊ย เจ็บหัวใจ

ความตั้งใจตั้งแต่ต้นของท่านย่าหม่าคือตั้งใจจะไปหาลูกสาม ไปถามเรื่องเงินที่ลงทุนไปหลังจากนั้นจะไปหาหลานสาวเพื่อถามให้ชัดเจนว่ จะทำอะไรขาย ถ้าให้ดีต้องลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร ถ้าไม่อร่อย ต้องคิดใหม่ว่าจะลงทุนหรือไม่ ต้องโทษที่หลานสาวทำให้นางสับสน แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว

ท่านย่าหม่ายืนอยู่หน้าประตู ได้ยินซ่งฝูเซิงกำลังพาซ่งฝูกุ้ยเข็นรถเข็นไปทางภูเขาหิมะ นางถอนหายใจยาว ชะเง้อมองไปทางบ้านของซ่งฝูหลิง พลางปลอบตัวเองในใจว่า นี่คือหนทางสุดท้ายแล้ว

นางกำลังปลอบใจตัวเองให้นิ่งไว้ เพราะว่าหลานสาวเคยแอบให้เงินที่ขายเห็ดหูหวังจวินได้มากโข มีแต่นางสองคนที่รู้เรื่องนี้ เอาน่ะ เรื่องขายของกิน ถ้าขายไม่ดี ก็เท่ากับว่าเอาเงินค่าเห็ดมาลงทุนก่อน ต้องคิดอย่างนี้แล้วล่ะ ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ คงไม่ได้ลูกเสือ

ซ่งฝูหลิงจาม…ฮัดเช้ย เสียงดัง ทางด้านเฉียนเพ่ยอิงกำลังเก็บของเพื่อเตรียมตัวไปแปลงปลูกพริก เหล่าซ่งไม่อยู่บ้าน นางต้องคอยเฝ้าแปลงปลูกให้ดี คอยดูแลไม่ห่าง เมื่อได้ยินเสียงจามของลูกสาวขึ้น นางก็หยุดอยู่กับที่ แล้วหันไปเตือนว่า

“เจ้าไม่ต้องสระผมแล้ว ในห้องมีช่องให้ลมเข้ามา แล้วยังต้องนั่งอยู่บนพื้นเป็นเวลานาน ความเย็นจะกระทบร่างกายได้ รอให้หมี่โซ่วกลับมา เจ้าช่วยอุ่นนมวัว แล้วพากันไปนั่งกินที่เตียงเตาและนอนพักผ่อนรอ อีกสักครู่เดี๋ยวแม่ก็กลับมา”

ซ่งฝูหลิงใช้สองมือเกาเส้นผม และใช้มือขยี้เสื้อผ้าที่อยู่ตรงหน้า “ข้าไม่ได้เป็นหวัด ข้าจะสระผมอีกสักสองครั้งก็จะไปนอนบนเตียงเตา ต้องเป็นท่านย่าที่กำลังนินทาข้าเป็นแน่”

เฉียนเพ่ยอิงหัวเราะออกมา “แล้วยังไง เจ้ายังต้องการให้ท่านย่าลงทุนให้ ยังจะเป็นหุ้นส่วนกับท่านย่าอีกหรือ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าทำให้ท่านย่าโกรธ แล้วมาอาละวาดถึงที่บ้าน คงดูไม่จืดเป็นแน่”

“ท่านย่าจะอาละวาดได้อย่างไร” ซ่งฝูหลิงรู้สึกงงงวย

เฉียนเพ่ยอิงไม่มีคำตอบ นางเดินออกไป แต่ในใจกลับคิดว่า จะไม่อาละวาดได้อย่างไร เราต้องคอยดู ไม่ใช่ว่าข้ามองเจ้าว่ามีความสามารถน้อยไป แต่เจ้าทำให้ท่านย่าต้องควักเงินเก็บออกมาใช้ แล้วถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จละก็ เจ้าจะต้องได้รับผลมากกว่าเงินที่ควักออกไปเป็นแน่”

วันนี้เป็นวันที่ซ่งฝูเซิงต้องออกจากบ้าน

ทำไมน่ะหรือ เพราะเขาต้องออกไปเอง ถึงจะเอาของในบ้านผ่านพื้นที่พิเศษกลับเข้ามาได้ แล้วโกหกว่าซื้อมาจากข้างนอก

ภรรยาของเขาจึงบอกว่า ให้เขาคิดหาวิธีเอาของที่ดูไม่แปลกตามากเกินไป อย่างเช่นชามกระเบื้อง ถาด และตะเกียบ ให้นำเอากลับมา และเป็นโอกาสที่จะไปช่วยซื้อของกลับเข้ามาให้แต่ละบ้านที่ถงเหยาเจิ้น ใช้โอกาสนี้ถือของพวกนี้กลับเข้ามาด้วย

ถ้าไม่เช่นนั้น สิ่งของในบ้านหลังใหม่ก็คงไม่มีเหลือ

ไม่แค่จานชาม ภรรยา ยังให้เขาเอาเสื่อ ผ้าคลุมเตียงสีพื้นๆ จากพื้นที่พิเศษกลับมาด้วย

โดยเฉพาะผ้าคลุมเตียง บ้านเขามีฝ้ายเยอะ ไม่เหมือนกับเสื่อ ส่วนอะไรที่เป็นผ้าไหม ใยสังเคราะห์ก็อย่าเอากลับมา

เพราะตอนนี้พวกเขายากจน จนได้ยินเสียงเหรียญในกระเป๋ากระทบกัน สิ่งของมีค่าอะไร ก็ไม่เหมาะกับสถานะนี้ อย่างน้อยต้องรอให้ทำที่วางกระเป๋าเสร็จก่อนจึงจะหยิบของจำเป็นมาใช้ได้ หากคนมาที่บ้าน ก็สามารถเก็บกระเป๋าพ้นตาไปได้

ถึงตอนนั้น หากจะเอาพวกผ้าคลุมเตียงออกมาใช้ก็ย่อมได้ ตอนนี้เฉียนเพ่ยอิงไม่ต้องทำงานรับเงินกองกลางแล้วจึงไม่มีคนสนใจนางมากนัก ทุกคนมัวแต่ยุ่งกับการทำงาน ไม่มีเวลาไปเยี่ยมบ้านใคร นางจึงใช้ผ้าคลุมเตียงทำเป็นที่นอน และยังทำเสื้อคลุมด้านนอกไว้ใส่กันหนาวให้ลูกสาวกับหมี่โซ่วด้วย

นอกจากนี้ ต้องใช้เศษผ้าที่เหลือทำเป็นรองเท้า ไม่อย่างนั้น เวลาที่หมี่โซ่วกับลูกสาวลงจากเตียงมาฉี่ในตอนกลางคืน ไม่นานคงต้องเหยียบเชือกรองเท้าล้มคว่ำจนได้

นอกจากนี้ ต้องเอาฝ้ายเก่าจากเสื่อในพื้นที่พิเศษออกมา และบอกว่าเขาเป็นคนซื้อกลับมา ออกไปข้างนอกครั้งนี้ ต้องซื้อผ้าฝ้ายใหม่กลับมาด้วย เอามาผสมเข้าด้วยกัน จะได้ไม่เป็นที่สังเกตของคนอื่น

ดังนั้นซ่งฝูเซิงจึงเสนอตัวเพื่อจะไปซื้อหม้อใบใหญ่และซื้อสิ่งของอื่นๆ ที่ถงเหยาเจิ้น เขาเพิ่งตกลงกับท่านลุงซ่งไปว่าจะต้องซื้อเครื่องมือทำการเกษตรกลับมาด้วย

ดังนั้นซ่งฝูเซิงไปครั้งนี้ ต้องพาซ่งฝูกุ้ยไปช่วยเข็นรถระหว่างเดินทาง แต่หน้าที่ของพวกเขายังนับว่าหนักหนายิ่งนัก