ตอนที่ 175 ร่ำรวยอย่างมีคุณธรรม บุพเพสันนิวาสที่ทุลักทุเล (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 175 ร่ำรวยอย่างมีคุณธรรม บุพเพสันนิวาสที่ทุลักทุเล (1)
เหยาเยี่ยนอวี่รอการตัดสินใจของนางด้วยความนิ่งสงบ

ทว่าภายในพริบตา ลี่ลี่ซือก็พยักหน้า “ได้ ข้าจะกลับมาทูลองค์ชายเตี้ยนเซี่ยะ วันนี้จะส่งสูตรลับมาให้ท่าน”

“ดี” เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ “ข้ายังต้องการพวกเจ้าส่งคนสองคนมาสอนคนของข้าให้รู้วิธีการทำ”

นัยน์ตาสีฟ้าของลี่ลี่ซือจับจ้องเหยาเยี่ยนอวี่ที่พูดด้วยความนิ่งเฉย “ไม่มีปัญหา”

เหยาเยี่ยนอวี่มองเรือนร่างด้านหลังที่สูงเพรียวเป็นพิเศษของแม่นางต่างแดน จึงอุทานด้วยเสียงเบา “แม่นางผู้นี้ ไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ”

กระจก เครื่องแก้วและผลึก ส่วนผสมทั้งสามชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกัน เหยาเยี่ยนอวี่นึกถึงเข็มฉีดยาและเครื่องมือที่ทำจากกระจกก็เคยคิดว่าสามารถใช้เครื่องแก้วมาทดแทนได้ ทว่าหลังจากที่ทำความเข้าใจก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้

เครื่องแก้วของราชวงศ์ต้าอวิ๋นเป็นการหล่อโลหะทองแดงและดีบุกสำหรับการกำจัดไข นั่นก็คือการแปรรูปเครื่องแก้วด้วยวิธีโบราณที่คนรุ่นหลังพูดกัน หลังจากที่ผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยงานฝีมือไปสิบกว่าครั้ง ก็ได้มีการหลอมหินผลึกในเผาที่มีอุณหภูมิมากกว่าหนึ่งพันองศา

ขบวนการสร้างสิ่งประดิษฐ์นี้สำคัญเป็นอย่างมาก และต้นทุนก็สูงมากเช่นกัน อีกอย่าง ผลึกส่วนมากมีหลากหลายสีสัน ถ้าความโปร่งใสไม่พอ ก็ไม่สะดวกต่อการวัดค่า ถึงแม้จะงดงามทว่ากลับใช้งานได้ไม่จริง

ดังนั้นถึงแม้เหยาเยี่ยนอวี่อยากจะใช้วิธีของตัวเองในการแปรรูปยา และทำเป็นพวกเข็มฉีดยา อย่างไรก็ต้องได้วิธีการทำกระจกอยู่ดี

ดังนั้นเธอได้สืบดูในตำรามากมายแล้ว ได้ทำความเข้าใจถึงยุคสมัยนี้หรือในยุคสมัยที่ข้ามเวลาไป การสร้างกระจกคือความลับที่อาเอ่อร์เข้อไม่สืบทอด ทว่าคนเผ่าอาเอ่อร์เข้ออยู่แห่งใดกันแน่ และมีใครที่สามารถรู้จัก เธอกลับไม่มีวิธีที่จะรู้ได้

หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ ถือว่าฟ้าสวรรค์ทรงโปรดปราน

เจิ้นกั๋วกงได้ยินข่าวองค์ชายอาเอ่อร์เข้อได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส และถูกอารักขาหนีเข้ามาในเมืองหลวงอวิ๋น ได้ข่าวว่าชีวิตของเขาคงอยู่ได้ไม่นาน

หลังจากที่พาคนไปสืบค้นแล้ว ทุกซอกทุกมุมในเมืองหลวงอวิ๋นอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้มีคนจำนวนสิบกว่าคนซุกซ่อนอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอะไร ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นช่วงเวลาของเทศกาลตรุษจีน พอทหารเหล่าขุนนางต่างก็ไปค้นทุกบ้านทุกหลังคาเรือน ก็ทำให้คนรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง ฮ่องเต้ก็ทรงโปรดปราน

หลังจากนั้นก็ยังคงเป็นการคาดเดาของหันซังเกอ คนเหล่านี้แอบหนีเข้ามาในเมืองหลวงอวิ๋น เป้าหมายที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นการรักษาบาดแผลขององค์ชายอาเอ่อร์เข้อ เหตุเพราะพวกเขามีจำนวนคนไม่มาก ตามข่าวคราวที่น่าเชื่อถือ จำนวนคนมีเพียงไม่ถึงยี่สิบคน ด้วยแรงและความสามารถเท่านี้ หากอยากจะทำอะไรอื่นใดในเมืองหลวงอวิ๋นก็คงเป็นการเพ้อฝัน

จากนั้นสองพ่อลูกเจิ้นกั๋วกงก็แอบปรึกษาหารือกันและตัดสินใจละเล่นละครการล่องูออกจากถ้ำ โดยใช้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นเหยื่อในการล่อครั้งนี้

สำหรับเรื่องนี้ หันหมิงชั่นก็เคยถามเหยาเยี่ยนอวี่ว่าโกรธหรือไม่

เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะเสียงเบา ตอนนั้นแน่นอนว่าโกรธอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินผู้ที่นอนป่วยอยู่บนเตียงคือองค์ชายของเผ่าอาเอ่อร์เข้อผู้ที่โชคร้าย นางก็มีแผนการใหม่เกิดขึ้น ไหนๆ ก็ได้เป็นเหยื่อในการล่อครั้งนี้ อีกทั้งแผลของเขาก็ได้ทำการรักษาให้แล้ว แล้วยังต้องแก้พิษให้เขาอีก ทว่าอย่างไรก็ต้องคิดหาวิธีให้ได้รับผลประโยชน์ในครั้งนี้

ลี่ลี่ซือเป็นคนที่รักษาคำพูด ช่วงบ่ายในวันนั้นก็ได้ส่งคนสองคนนำเอาสูตรลับมาหาเหยาเยี่ยนอวี่

บ่าวไพร่ของเหยาเยี่ยนอวี่ที่สามารถใช้งานได้มีไม่มาก แน่นอนว่าคนที่นางนึกถึงก็ยังคงเป็นเฝิงโหย่วฉุน ดังนั้นจึงตามคนมาเจอหน้ากับคนอาเอ่อร์เข้อ ตอนที่คนเผ่าอาเอ่อร์เข้อเหล่านี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องหนีความตาย จึงถูกบังคับให้ฝึกภาษาจีนมาบ้าง ถึงแม้จะพูดไม่คล่องแคล่วมากพอ ทว่าการสื่อสารโดยทั่วไปก็ไม่ใช่ปัญหา

เหยาเหยียนอี้ก็สั่งให้เหยาซื่อสี่ก็มาช่วยเหลือเฝิงโหย่วฉุน แล้วยังนำเงินสองพันตำลึงเงินที่มีอยู่ในมือของตัวเองมาด้วย บอกว่านำเงินไปซื้อสถานที่ในการหลอมผลึก หลังจากที่ซ่อมแซมตัวเรือนไปหน่อย ถ้าต้องการสิ่งของใดก็ค่อยไปซื้อ บ่าวไพร่ของทั้งสองพี่น้องเป็นผู้ที่ได้การได้งานที่สุด ไม่นานก็สามารถจัดการกับเรือนที่ใช้การหลอมผลึกให้เรียบร้อย

เรื่องนี้เหยาเยี่ยนอวี่ไม่จำเป็นต้องลงแรงด้วยตัวเอง เรื่องที่นางต้องทำในทุกๆ วัน นอกจากไปฝังเข็มแก้พิษให้กับอาปาเข้อช่าที่โรงเตี๊ยมในวันเว้นวันแล้ว นางยังคงเป็นเหมือนที่ผ่านมา ก็คืออ่านตำราแพทย์ ผสมปรุงยา กินข้าวและนอนหลับ

ทันใดนั้นสองเดือนก็ผ่านไป การสอบคัดเลือกขุนนางก็ใกล้จะเปิด เหยาเหยียนอี้จึงเข้าสอบด้วยนามของนักวิชาการที่มีความสามารถยอดเยี่ยม ถึงแม้พูดไม่ได้ว่าเขาจะมีความมั่นใจเต็มร้อยในการสอบคัดเลือกครั้งนี้ ทว่าอย่างน้อยก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น หากผ่านการสอบคัดเลือกก็ดี หากไม่ผ่านการคัดเลือก เขาที่เป็นคุณชายรองแห่งตระกูลเหยาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางออกอื่น นอกจากสีหน้าของบิดาจะไม่ค่อยดีเท่านั้น ตอนนี้คุณชายรองแห่งตระกูลเหยามีแผนการมากกว่าเดิม จึงไม่ได้สนใจและให้ความสำคัญในชื่อเสียงของนักวิชาการ

เดือน 2 วันที่ 9 เป็นครั้งแรกของการเปิดให้สมัครสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์

วันนี้ เหยาเหยียนอี้ก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ที่ฟ้ายังไม่สว่าง หลังจากที่ล้างหน้าแต่งกายและรีบทานอาหารเช้าให้เสร็จ ก็อำลากับน้องสาวแล้วไปที่สถานที่จัดสอบส่วนขุนนางภูมิภาค

เหยาเยี่ยนอวี่ก็ตื่นแต่เช้าและได้ส่งเขาไปถึงหน้าประตูใหญ่ เหยาเหยียนอี้หันกลับไปโบกมือให้เหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความสง่าผ่าเผยให้นางกลับไป เหยาเยี่ยนอวี่มองด้านหลังของพี่รองพาเด็กรับใช้จากไป นี่เป็นครั้งแรกกที่รู้สึกถึงความสัมพันธ์อันถ่องแท้และล้ำค่าของพี่น้อง

ถึงแม้เขายังคงมีอำนาจและอิทธิพล และยังเจ้าเคียดเจ้าแค้นคนอื่น และยังคงคิดจะใช้ความสามารถและฝีมือการแพทย์ของตนในการแสวงหาผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่า ทว่าหลังจากช่วงเวลาที่ไปมาหาสู่กันนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงและความรักใคร่ที่เหยาเหยียนอี้มอบให้กับตนเอง

ตอนที่ตนเองถูกคนอาเอ่อร์เข้อลักพาตัว นางได้ยินเหยาเหยียนอี้ตะโกนและก่นด่าด้วยความโมโห ก็เห็นเขาพยายามขัดขืนอารักขาของจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อที่จะไล่ตามตนเองไป

หลังจากที่ตนเองตื่นขึ้นมาในจวนของเว่ยจาง ก็ได้ยินเขาทะเลาะถกเถียงของเขากับเว่ยจางเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง พอถกเถียงไม่ชนะ เขาก็นอนอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ข้างกายตนเอง ดวงตาของเขาแดงก่ำ และเป็นคนที่เบ้าตาลึก ดวงหน้าตอนเวลานอนนั้นดูเหน็ดเหนื่อยนัก เหยาเยี่ยนอวี่เห็นทุกอย่าง และจดจำไว้ในใจ

หลายวันมานี้นางมักจะคิดไว้ มนุษย์เราอยู่บนโลกใบนี้ มีใครบ้างที่ไม่ถูกใช้การใช้งาน มีใครบ้างที่จะญาติดีกับเราตลอดชีวิตโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ การที่สามารถอยู่กับญาติพี่น้อง และใช้งานซึ่งกันและกัน และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จริงๆ แล้วมันก็คือความสุขอย่างหนึ่ง

เหยาเหยียนอี้ก็ดี เหยาเฟิ่งเกอก็พอ แม้กระทั่งทั้งตระกูลเหยาที่เริ่มแรกไม่เคยเป็นห่วงเป็นใยตอนเอง จากนั้นตอนนี้ก็ดูปกป้องดูแลตนอย่างมาก แน่นอนว่าเป็นเพราะตนเองรู้วิชาการแพทย์ สามารถช่วยชีวิตคน จึงนำพาผลประโยชน์มาให้พวกเขาด้วย ทว่าสิบหกปีก่อน ตระกูลเหยาก็ได้ให้ชีวิตที่สงบสุขกับตนเองแล้ว ในทางกลับกัน ตนเองจะไม่เคยหลอกใช้ตระกูลเหยาได้อย่างไร

ในระหว่างที่นางกำลังครุ่นคิด เรือนร่างของเหยาเหยียนอี้ก็หายไปจากปากซอย ชุ่ยเวยที่อยู่ข้างๆ ก็มองเหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังเหม่อลอย แล้วเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงเบา “คุณหนูเจ้าคะ กลับเถอะเจ้าค่ะ คุณชายรองต้องสอบได้จอหงวนแน่นอน และต้องติดอันดับต้นแน่นอนเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าพลางพูด “เช่นนั้น พี่รองต้องสอบได้แน่นอน”

ขุนนางหลักที่คุมการสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์ในปีนี้คือมหาบัณฑิตเฟิงเซ่าผิงที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นเสนาบดีกรมขุนนาง ซึ่งเป็นบิดาของเฟิงซื่อแห่งจวนติ้งโหว ส่วนผู้คุมสอบรองลงมาคือซื่อหลางฝ่ายซ้ายซุนหง ซึ่งเป็นน้าของซุนซื่อแห่งจวนติ้งโหว และเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายเฟิงซื่อโจ้ว ซึ่งเป็นบุตรชายอนุภรรยาของเสนาบดีเฟิง

ในวังหลวงต้าอวิ๋น ณ ห้องทรงพระอักษร

ฮ่องเต้ทรงถามอัครมหาเสนาบดีเฟิงจงเยี่ย “ทางฝั่งสถานที่จัดสอบส่วนขุนนางภูมิภาคเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

เฟิงจงเยี่ยจึงรีบทูลกลับ “ทูลฮ่องเต้ เหล่าปัญญาชนต่างไปนั่งที่นั่งของตนเอง เวลานี้ ข้อสอบคงจะแจกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า แล้วถอนหายใจลากยาว พลางตรัส “ขอให้ปีนี้สามารถเลือกผู้มีความสามารถที่ใช้งานได้ไม่กี่คนเถอะ”

เฟิงจงเยี่ยพูดขึ้นอีกครั้ง “ฮ่องเต้ทรงมีจิตใจที่กว้างขวางและอ่อนโยน เหล่าปัญญาชนต้องใช้ความสามารถในการตอบแทนบุญคุณของฮ่องเต้อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลบางๆ แล้วพยักหน้า

ไหวเอินเข้ามา และทูลด้วยเสียงต่ำ “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพเว่ยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และตรัสกับเฟิงจงเยี่ย “เรื่องการสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์ปีนี้ ถึงแม้จะไม่ได้มอบหมายให้ท่านเสนาบดี ทว่าท่านเสนาบดีก็ต้องคอยสิ้นเปลืองสมองหน่อย”