ตอนที่ 176 ร่ำรวยอย่างมีคุณธรรม บุพเพสันนิวาสที่ทุลักทุเล (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 176 ร่ำรวยอย่างมีคุณธรรม บุพเพสันนิวาสที่ทุลักทุเล (2)
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทำการเพื่อฮ่องเต้ ต้องอุทิศตัวเองทั้งหมดอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เจิ้นอุดอู้อยู่แต่ในนี้มาครึ่งวันแล้ว อยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอก” ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้น จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก

เฟิงจงเยี่ยรีบโค้งลำตัวน้อมส่ง

ฮ่องเต้ทรงออกจากประตูห้องทรงพระอักษร แล้วเห็นเว่ยจางคอยอยู่ตรงใต้ชายคาระเบียง ด้วยเหตุนี้จึงตรัสขึ้น “เจ้าติดตามเจิ้นเดินรอบห้องทรงพระอักษรหน่อยเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจางโค้งลำตัวน้อมรับคำสั่ง แล้วก่อนที่จะสาวเท้าเดินตามไปก็เห็นเฟิงจงเยี่ยเดินออกจากห้องทรงพระอักษร จึงโค้งลำตัวพร้อมกับพูดขึ้น”ใต้เท้าเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม ท่านแม่ทัพเว่ย” เฟิงจงเยี่ยมองเว่ยจาง แล้วคลี่ยิ้มบางๆ เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเป็นมิตร

ฮ่องเต้ทรงเดินออกไปสิบกว่าก้าวแล้ว เว่ยจางก็ไม่กล้าไม่รีบตามไป ทำได้เพียงพยักหน้าให้เฟิงจงเยี่ย แล้วติดตามไป เฟิงจงเยี่ยเห็นเว่ยจางเดินตามฮ่องเต้แล้วเดินหักมุมตรงระเบียงและมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของห้องทรงพระอักษร จึงจะค่อยๆ ดึงสายตากลับมา

“ใต้เท้าเฟิง เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ไหวเอินเดินเข้ามาสองก้าว แล้วโค้งตัวพลางคลี่ยิ้มอ่อนๆ

เฟิงจงเยี่ยหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจ “ท่านแม่ทัพเว่ยได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้จริงๆ”

ไหวเอินติดตามฮ่องเต้มาหลายปี ก็ถูกฝึกฝนมาอย่างดีแต่เนิ่นๆ แล้ว ตอนนี้แน่นอนว่าต้องไม่ควรมากความ จึงทำได้เพียงหัวเราะ

เฟิงจงเยี่ยก็ไม่ได้หวังว่าขันทีผู้เฒ่าท่านนี้จะสามารถส่งข่าวที่ได้ประโยชน์แก่ตนเอง ฮ่องเต้ทรงฉลาดชาญชัย และเรื่องที่เกลียดชังที่สุดก็คือเหล่าขุนนางคาดเดาพระราชดำริ ถึงแม้เขาจะเป็นพ่อตาของฮ่องเต้ ก็ไม่บังกล้าทำเยี่ยงนั้น ดังนั้นก็ได้หัวเราะพร้อมกับไหวเอิน แล้วออกจากวังหลวง

ในสวนพฤกษา พืชพันธุ์ที่ผ่านฝนที่ตกครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ดอกเหมยร่วงหล่น ต้นไผ่ค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวจางๆ ดอกไม้ผลิบานต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ สิ่งที่เข้าตาคือพืชพันธุ์สีเหลืองห่านที่กระจุยกระจายเป็นหย่อมๆ ทำให้บรรยากาศสดใสยิ่งนัก ฤดูใบไม้ผลิที่ไร้ขีดสิ้นสุดนี้ ฮ่องเต้ทรงถอดพระเนตรไปรอบทิศ ภายในใจทรงปลื้มปริ่มยิ่งนัก

“เสี่ยนจวิน สาส์นกราบทูลของเจ้าเจิ้นอ่านแล้ว แผนการ ‘ธนูยาว’ ของเจิ้น เจ้าเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ยอดเยี่ยม ก็ให้ทำตามที่เจ้าบอก ไปคัดเลือกที่ค่ายทหารเสียก่อน จากนั้นก็ค่อยไปเลือกเหล่าสามัญชน เรื่องนี้เจิ้นก็มอบหมายให้เจ้าจัดการ เจ้าต้องการเงินหรือต้องการคน เจิ้นสามารถให้เจ้าได้ทั้งหมด ภายในสองปี เจ้าต้องสร้าง ‘ธนูยาว’ หนึ่งกองทัพที่กล้าหาญให้กับเจิ้น”

เว่ยจางรีบโค้งลำตัวน้อมก้มกราบ แล้วผงกหัวน้อมรับสั่ง “กระหม่อมฉันจะอุทิศตัวอย่างสุดความสามารถ จะไม่ทรยศในความปรารถนาของฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”

“อ๊ะ เจ้าลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้ทรงพยุงเว่ยจาง รอให้เขาลุกขึ้นก็ค่อยเดินหน้าต่อ พร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้าว่า เจิ้นต้องสร้างกองทัพที่ปรับตัวได้กับทุกภูมิภาค ทุกสภาพอากาศ ไม่มีแห่งใดอยู่ไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดกระทำไม่ได้…เจิ้นควรตั้งหมายเลขโดยเฉพาะหรือเปล่า”

เว่ยจางหรี่ดวงตาเย็นชาลง แล้วครุ่นคิดอย่างนิ่งสงบ

ในกองทัพชั้นยอดของราชวงศ์ต๋าอวิ๋น ทหารจิ่นหลินถือว่ากระบี่ของฮ่องเต้ เป็นกองทัพที่สามารถปกป้องคุ้มกันอย่างใกล้ชิด และฉลาดคมเฉียบยิ่งนัก ทหารชั้นยอดในมือของเจิ้นกั๋วกงเปรียบเสมือนปืนยาวที่คอยปกป้องแคว้น ปกป้องคุ้มครองบ้านเกิดเมืองนอน ทุกสารทิศไร้ซึ่งศัตรู และกองทัพชั้นยอดนี้ที่กำลังถูกก่อตั้งขึ้นในที่ลับจะกลายเป็นธนูยาวหนึ่งคันของแคว้น ธนูคันนี้สามารถยิงไกลนับพันลี้ จะเป็นกองทัพที่รวมกำลังหรือแยกย้ายไปทั่วสารทิศก็ได้ ไม่มีแห่งใดที่พวกเขาไม่กระจายตัวอาศัยอยู่ และไม่มีสิ่งใดที่พวกเขากระทำไม่ได้

หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เว่ยจางก็ค่อยๆ ทูลขึ้น “ทูลฮ่องเต้ กระหม่อมคิดว่า ไม่เช่นนั้น…ก็เรียกว่า ‘นักอินทรี’ พ่ะย่ะค่ะ”

“นกอินทรี?” ฮ่องเต้ทรงหันกลับไปทันที แล้วถอดพระเนตรไปยังเว่ยจาง ผ่านไปสักพักถึงจะแย้มพระสรวล “ปีกบินเร็วดุจลม เล็บประดุจกรวย นัยน์ตาชั่วร้ายคมชัด ล่าเหยื่อไว ดี! เช่นนั้นก็เอาชื่อนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจางโค้งลำตัวลง

ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยพระสรวลที่พอพระทัย แล้วขานเรียกด้วยนัยน์ตาที่เคล้าด้วยรอยยิ้มและมีความลุ่มลึกอย่างอื่นแอบแฝง “เสี่ยนจวินเอย”

เว่ยจางขานรับทันที “กระหม่อมอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“ปีนี้เจ้ามีอายุเท่าใดแล้ว”

“ทูลฮ่องเต้ ปีนี้กระหม่อมยี่สิบสามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม ได้เวลาสร้างครอบครัวแล้ว”

เว่ยจางตะลึงงัน แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “กระหม่อมยังหนุ่ม ในใจมุ่งเน้นแต่เรื่องสร้างเนื้อสร้างตัว การครอบครัวกลับทำให้เหน็ดเหนื่อยกว่าเดิมพ่ะย่ะค่ะ”

“จริงหรือ” ฮ่องเต้แย้มพระสรวลยิ้มความขี้เล่น แล้วถอดพระเนตรไปยังดวงหน้าของเว่ยจาง “แม้กระทั่งแม่นางเยี่ยนอวี่แห่งตระกูลเหยาก็ไม่อยู่ในสายตา?”

“อืม…” เว่ยจางก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม ฮ่องเต้สามารถประทานงานสมรสให้ก็ดี ทว่า…พระราชดำริของฮ่องเต้นั้นคาดเดายาก ใครจะไปรู้ว่าฮ่องเต้ทรงปรารถนาที่จะประทานงานสมรสหรือมีเป้าหมายอย่างอื่น?

“แม้แต่เจิ้นยังไม่พูดความจริง?”

“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจางจึงรีบสะบัดชายเสื้อคลุมยาวแล้วคุกเข่าลง “กระหม่อมหมายปองในคุณหนูเหยา ทว่านี่เป็นเพียงรักข้างเดียวของกระหม่อมฉัน ดังนั้น…”

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้ทรงหันหลังแล้วเดินหน้าต่อ และตรัสขึ้นต่อ “เจิ้นก็ได้ยินมาว่าคุณหนูเหยาท่านนั้นมีวิสัยทัศน์ที่สูง เหมือนว่าบุรุษในแคว้นต้าอวิ๋นของพวกเรา นางไม่โปรดปรานแม้แต่คนเดียว? ยัยหนูคนนี้ ไม่รู้ว่าอนาคตจะสามารถออกเรือนให้กับคนประเภทใด นางมีทักษะการแพทย์ที่ไร้เทียมทาน เรื่องงานสมรสนี้… จุ๊! เจิ้นก็ยังรู้สึกปวดศีรษะจริงๆ”

ภายในใจของเว่ยจางตะลึงงันไปทันที ฮ่องเต้กลับรู้สึกปวดศีรษะในงานสมรสของเหยาเยี่ยนอวี่?

ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าเว่ยจางกำลังตกตะลึง จึงแย้มพระสรวลอีกครั้ง “วันนั้น ไหวเอินทูลเจิ้น ก็ไม่รู้ว่าอนาคตใครจะกล้าสู่ขอแม่นางเยี่ยงนี้ไปเป็นภรรยา หากเกิดไม่ระวังไปทำให้นางโมโห นางอาจจะใช้มีดควักหัวใจ ตับและปอดของสามีออกมาตอนกลางดึกก็ได้…ฮ่าๆ! ตอนนั้นที่เจ้าบ่าวสวะคนนี้เอ่ยคำๆ นี้ออกมา ทำให้องค์หญิงหกของเจิ้นถึงจะตกใจจนร้องไห้เสียงดัง หลายวันมานี้ องค์หญิงหกทรงเกเรซุกซน ตอนที่ลี่ผินต้องการจะเกลี้ยกล่อมให้นางกลัวก็มักจะพูดคำว่า ถ้าไม่เชื่อฟังจะเรียกคุณหนูเหยามา องค์หญิงหกได้ยินเช่นนี้ จึงทำตัวเชื่อฟังทันที ฮ่าๆ…”

เว่ยจางจึงอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ ภายในใจกำลังคิดว่าหากถูกคนเหล่านี้ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป เหยาเยี่ยนอวี่ก็คงจะกลายเป็นเทพแห่งปีศาจที่ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายแน่นอน!

“เสี่ยนจวิน” ฮ่องเต้ดูเหมือนจะดีใจยิ่งนัก จึงพูดเองเออเองต่อ “เจิ้นยังได้ยินมาว่า คืนที่เป็นเทศกาลหยวนเซียว เจ้ายังพาคุณหนูเหยาไปที่จวนของเจ้า พี่ชายของคนอื่นรู้สึกกระวนกระวายจนต้องติดตามเจ้าไปโดยตรง มีเรื่องนี้เกิดขึ้นใช่หรือไม่”

“ทูลฮ่องเต้ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นคุณหนูเหยาสลบอยู่… กระหม่อม…ก็แค่ใช้แผนชั่วคราวเพื่อรับมืออย่างเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ” รู้ว่าในจวนของตนมีไส้ศึกของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงมีอะไรก็พูดเช่นนั้นออกมาโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ทีแรกก็ไม่มีความลับอะไรจะปิดบังอยู่แล้ว

“เจ้าหนอ! ระวังเหยาหย่วนจือก่นด่าว่าเจ้าชาวบ้านที่ไม่มีการศึกษานะ” ฮ่องเต้ทรงชี้เว่ยจางแล้วตรัสด้วยพระสรวล

เว่ยจางก็ยิ้มตาม “กระหม่อมเป็นนักรบ ใต้เท้าเหยาก็ด่าได้ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ”

“ตามหลักแล้ว บิดามารดาของเจ้าเสียชีวิตไปนาน ปู่ของเจ้าก็ไม่มี งานสมรสของเจ้าเจิ้นควรเป็นคนที่ตัดสินแทนเจ้า แค่ว่าหากแม่นางไม่ยอมแต่งงานกับเจ้า แล้วเกิดเจิ้นยังคงประทานงานสมรสให้เจ้า อนาคตก็คงจะกลายเป็นคู่ครองที่เกลียดแค้นกัน ดังนั้น อย่างไรเรื่องนี้เจ้าต้องคิดหาวิธีเยอะๆ แค่เหยาหย่วนจือยินยอม เจ้าก็รีบมารายงานเจิ้น เจิ้นจะให้เกียรติยศกับเจ้า และอุดปากของเหยาหย่วนจือ ดีหรือไม่”

เว่ยจางได้ยิน จึงคุกเข่าน้อมก้มกราบอีกครั้ง “กระหม่อมขอบพระทัยที่ฮ่องเต้ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ!”

หลังจากที่ออกจากวังหลวงก็กลับจวนไปโดยตรง มุมปากของเว่ยจางกระตุกขึ้นเล็กน้อย สีหน้านั้น เหมือนมีเรื่องดีเยี่ยมเกิดขึ้น และเหมือนเขาจะปณิธานอย่างยิ่ง มักใหญ่ใฝ่สูง และทะยานอยาก ทำให้ฉังเหมาที่กำลังมองอยู่ก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ

“ท่านแม่ทัพ?” ฉังเหมายกชาร้อนๆ เข้ามาหนึ่งจอด แล้วยื่นไปในมือของเว่ยจาง จากนั้นก็หัวเราะเหอะๆ “ท่านได้เลื่อนตำแหน่งหรือ”

เว่ยจางจึงเหลือบตามองอารักขาคนสนิท แล้วยกมือผลักถ้วยน้ำชานั้นออก แล้วเอาเอกสารราชการฉบับหนึ่งบนโต๊ะหนังสือขึ้น พร้อมกับพูดด้วยเสียงเรียบ “เปล่า”

“เช่นนั้นท่าน…ร่ำรวยหรือ” ฉังเหมาเอ่ยถามอย่างไม่ตายใจ

“เปล่า” เว่ยจางจึงโยนเอกสารราชการฉบับนั้นออก แล้วเอาตำราการทหารหนึ่งเล่มขึ้น

ฉังเหมามองสีหน้าของแม่ทัพของเขาอีกครั้ง เหตุใดถึงมองแล้วรู้สึกว่าต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “เช่นนั้น…ฮ่องเต้ทรงตบรางวัลดีๆ อะไรกับท่านขอรับ”