ตอนที่ 139.1 ตั้งครรภ์ (1) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

“ไป๋ รีบดูอาการ ‘เขา’ เร็วเข้า ดูว่า ‘เขา’ เป็นเช่นไร”

หลังจากอุ้มเล่อเหยาเหยานอนลงบนเตียงในห้อง เหลิ่งจวิ้นอวี๋สูญเสียสติที่มีก่อนหน้านี้ บนใบหน้าหล่อเหลาร้อนรนสุดที่จะบรรยาย

ตงฟางไป๋ได้ยิน ก็ยังคงดูบาดแผลบนตัวเล่อเหยาเหยาต่อไป

เพราะเหลิ่งจวิ้นอวี๋อยู่ตรงนั้น ตงฟางไป๋จึงเพียงตรวจบาดแผลที่แขนและขาของเล่อเหยาเหยา ไม่ได้ตรวจภายในอย่างละเอียด

เมื่อเห็นบนผิวที่เดิมทีขาวเนียน มีรอยฟกช้ำสีเขียวและสีม่วง ทำให้คนที่เห็นตกตะลึงเป็นพิเศษ

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านข้าง เห็นเช่นนั้นแววตาเย็นชาล้ำลึกคู่นั้น นอกจากโกรธเคืองแล้ว ยังโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง

ตงฟางไป๋ก็เช่นกัน

เมื่อตงฟางไป๋ตรวจบาดแผลภายนอกที่แขนและขาของเล่อเหยาเหยาเสร็จ ก็ยื่นมือไปจับชีพจรให้เธอ

ไม่จับชีพจรยังถือว่าดี แต่ขณะที่ตงฟางไป๋จับชีพจรของเล่อเหยาเหยา แววตาที่หนักแน่นกลับเปลี่ยนแปลงไป

ดวงตาเบิกกว้างขึ้น แววตาปรากฏความตกตะลึงแวบขึ้นมาไม่หยุด

เพราะคนร่างเล็กข้างล่าง เธอ ……..

ตงฟางไป๋มีสีหน้าตกตะลึง แต่เพราะเวลานี้เขาหันด้านหลังให้แก่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ ดังนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงไม่รับรู้ถึงความผิดปกติบนใบหน้าตงฟางไป๋

เพียงเอ่ยถามอย่างร้อนใจกับตงฟางไป๋ไม่หยุด

“ไป๋ เจ้าพูดมาเดี๋ยวนี้ ‘เขา’ เป็นเช่นไรกันแน่”

เห็นตงฟางไป๋ไม่พูดจา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็ขมวดคิ้วเป็นปมอย่างกังวล

ตงฟางไป๋ได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงพลันได้สติจากการตกตะลึงเมื่อครู่

ก่อนหันมามองเหลิ่งจวิ้นอวี๋ด้วยสายตาเป็นประกายครู่หนึ่งอย่างลังเล

เขาควรบอกเรื่องนี้แก่เขาหรือไม่!

แต่ครั้งก่อนเสี่ยวเหยาจื่อห้ามมิให้เขาเปิดเผยเรื่องที่ตนเป็นผู้หญิงออกไป เช่นนั้นอาจเป็นเพราะเด็กในท้องของเธอ คงมิใช่ของอวี๋แน่นอน

หากบอกอาการของเล่อเหยาเหยาตอนนี้แก่อวี๋ หลังจากเสี่ยวเหยาจื่อฟื้นขึ้นมา ต้องไม่ให้อภัยเขาแน่นอน!

ตงฟางไป๋ลังเลใจอยู่สามรอบ สุดท้ายจึงเม้มริมฝีปากแดง ก่อนเอ่ยว่า

“เสี่ยวเหยาจื่อบาดเจ็บเพียงภายนอก ประเดี๋ยวทานยารักษาหนึ่งชุด จะหายดีแล้ว”

“จริงหรือ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ใจสั่นตลอดเวลา ในที่สุดก็สงบลงครึ่งหนึ่ง

ส่วนอีกครึ่ง หากคนบนเตียงยังไม่ได้หายเป็นปกติ เขายังคงไม่อาจวางใจได้

“อืม ข้าเป็นหมอ หรือท่านไม่เชื่อข้าหรือ!”

สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตงฟางไป๋จึงเอ่ยตอบขึ้น

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน จึงโล่งใจอย่างที่สุด ทว่ายังยืนอยู่ข้างเตียง สายตาเต็มไปด้วยความกังวลคู่นั้น ไม่ละไปจากคนตัวเล็กที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงเลย

สำหรับความวิตกกังวลของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทำให้สีหน้าและดวงตาเคร่งเครียดของตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างเป็นประกายครู่หนึ่ง เพราะรู้จักอวี๋มาหลายปี เขาไม่เคยเห็นอวี๋ห่วงใยผู้ใด

วันนี้อวี๋กลับห่วงใย ‘ขันทีน้อย’ คนหนึ่ง ขณะที่เขายังไม่รู้สถานะที่แท้จริงของเสี่ยวเหยาจื่อ

ส่วนเสี่ยวเหยาจื่อครั้งก่อนเมามาย คำพูดทั้งหมดที่เอ่ยออกมาจึงเกี่ยวพันกับเขา เพราะเธอเอ่ยว่า…

เธอชื่นชอบอวี๋

พอคิดถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋ก็อึดอัดในใจ มุมปากอดเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมาไม่ได้

แต่เวลานี้ เขาไม่กล้าคิดเรื่องอื่น เพราะอาการบาดเจ็บของเสี่ยวเหยาจื่อยังรอเขาอยู่!

ตงฟางไป๋หันกลับไปเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ยังเป็นกังวลว่า

“อวี๋ ท่านออกไปก่อนเถิด เสี่ยวเหยาจื่อมอบให้ข้าก็เพียงพอแล้ว”

เมื่อเสี่ยวเหยาจื่อไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเธอคือผู้หญิง เช่นนั้นเขาต้องช่วยเธอปกปิดความลับนี้

อีกทั้งจากความรู้สึกส่วนตัวของเขา ความจริงเขาไม่อยากให้อวี๋รู้ว่าเสี่ยวเหยาจื่อคือผู้หญิง

แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่รู้ถึงความในใจของตงฟางไป๋ หลังได้ยินคำพูดของเขา เพียงเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า

“ข้าอยู่ที่นี่จะดีกว่า ไม่รบกวนเจ้าแน่นอน”

เพราะหากไม่เห็น ‘เขา’ ปลอดภัย เขาจะวางใจลงได้อย่างไร!

ตงฟางไป๋ล่วงรู้ความคิดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ดังนั้นจึงยิ่งร้อนใจ

เพราะบาดแผลของเสี่ยวเหยาจื่อล้วนอยู่บนร่างกาย แม้เมื่อครู่จะจับชีพจรให้เธอ พบว่าเธอเพียงบาดเจ็บภายนอก เด็กในท้องยังแข็งแรงดี แต่ก็ไม่ควรเพิกเฉย หากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจไม่มีผลดีต่อเด็กในครรภ์ของเธอ

พอคิดถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋ทั้งเป็นห่วงและร้อนใจ คิดใช้ข้ออ้างบางอย่างให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ออกไป คิดไม่ถึง ทันใดนั้น ซิงกลับก้าวเข้ามา ก่อนพลันเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างนอบน้อมว่า

“ท่านอ๋อง ฮ่องเต้ทรงเรียกเข้าเฝ้า”

“อะไรนะ!”

เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋ขมวดคิ้วมุ่น อดพึมพำเบาๆ ขึ้นไม่ได้ว่า

“ดึกดื่นเช่นนี้ เสด็จพี่มีเรื่องใดจึงเรียกข้าเข้าเฝ้า”

แม้จะสงสัยไม่เข้าใจ แต่ฮ่องเต้เรียกตัวเข้าเฝ้า เขาย่อมปฏิเสธไม่ได้

ดังนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋แม้จะไม่ยินยอม ยังเอ่ยปากกับตงฟางไป๋ว่า

“เช่นนั้นเจ้าต้องดูแล ‘เขา’ ให้ดี”

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ใช้คำว่า ‘ต้อง’ ทราบทันทีว่าตำแหน่งของเสี่ยวเหยาจื่อในใจของเขานั้นสำคัญเพียงใด

เมื่อได้ยิน ตงฟางไป๋พยักหน้า

“แน่นอน”

เพราะคนตัวเล็กนี้ไม่เพียงสำคัญอย่างยิ่งในใจเขา แต่ในใจของเขาก็สำคัญเช่นกัน

ขณะที่ตงฟางไป๋คิดในใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้หมุนกายจากไป ซิงย่อมติดตามเขาไปด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ภายในห้องจึงเหลือเพียงเขาและเล่อเหยาเหยาที่หมดสติ

เพระทราบว่าเล่อเหยาเหยาคือผู้หญิง อีกทั้งเธอยังตั้งครรภ์ ดังนั้น ตงฟางไป๋พลันให้เสี่ยวถังเตรียมน้ำอุ่นหลายถัง เติมถังภายในห้องอาบน้ำให้เต็ม จากนั้นก็เรียกน้าเหลียนเข้ามา

น้าเหลียนคือหญิงที่เป็นใบ้หูหนวก อายุประมาณห้าสิบปี หลังถูกสามีทอดทิ้ง จึงไร้ญาติขาดมิตร ครั้งหนึ่งประสบเคราะห์ร้ายจึงถูกตงฟางไป๋ช่วยชีวิตกลับมา จากนั้นทุกวันช่วยงานที่โรงครัวในโรงหมอ

และเพราะเธอเป็นใบ้ ดังนั้นตงฟางไป๋จึงวางใจว่าเธอจะไม่พูดเรื่องในวันนี้ออกไป ให้เธอช่วยอาบน้ำให้แก่เล่อเหยาเหยา

น้าเหลียนแม้จะเป็นใบ้หูหนวก ทว่ากลับเข้าใจโดยการอ่านปาก หลังเข้าใจความหมายจากปากของตงฟางไป๋ พลันส่งเสียง ‘อืออา’ ตอบรับขึ้น

ตงฟางไป๋เห็นเช่นนั้น ก็ออกจากห้องไปอย่างวางใจ ก่อนจะเตรียมตัวยาและต้มยาด้วยตนเอง

ขณะรอให้น้าเหลียนออกมา น่าจะอีกครึ่งชั่วยาม

ยาของตงฟางไป๋ก็ต้มเสร็จพอดี จึงให้น้าเหลียนนำเสื้อผ้าที่ถอดออกมาของเล่อเหยาเหยาไปซักทำความสะอาด อีกทั้งยังสั่งให้น้าเหลียนห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามา

หลังจากมอบหมายเรื่องนี้เสร็จ ตงฟางไป๋ยกยาที่เพิ่งต้มเสร็จ เดินเข้าไปในห้อง อีกทั้งยังปิดประตูไม้ลง

ทิ้งถ้วยยาบนมือที่ยังร้อนจนควันลอยกรุ่นไว้บนโต๊ะเตี้ยหัวเตียง ตงฟางไป๋เอื้อมหยิบขวดยาออกมาจำนวนหนึ่ง

ก่อนก้มมองคนตัวเล็กบนเตียง

เห็นเพียงเวลานี้เล่อเหยาเหยาถูกน้าเหลียนอาบน้ำให้อย่างสะอาดสะอ้าน บนร่างกายยังเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้ากว้างใหญ่ตัวหนึ่ง

เพราะภายในโรงหมอนอกจากน้าเหลียน ไม่มีผู้หญิงคนอื่น เสื้อผ้าของน้าเหลียนก็ไม่เหมาะให้เธอสวมใส่ ดังนั้นบนตัวเล่อเหยาเหยา จึงสวมเสื้อผ้าของตงฟางไป๋

เห็นเล่อเหยาเหยาสวมเสื้อผ้าของตน สายตาของตงฟางไป๋อดอ่อนโยนลงไม่ได้

เวลานี้โคมไฟสว่างไสว ภายในห้องจุดเพียงตะเกียงน้ำมัน

ตะเกียงน้ำมันที่เผาไหม้ลุกโชนนั้น ทำให้ภายในห้องสว่างไสว และขับเน้นให้คนตัวเล็กงามอ่อนช้อยมากขึ้น

จึงไม่แปลกที่ผู้อื่นต่างพูดกันว่า มองสาวงามใต้แสงไฟ ยิ่งมองยิ่งงดงาม

เห็นเพียงเวลานี้ คนตัวเล็กบนเตียงนั้น ดวงตาคู่งามนั้นปิดสนิท ขนตาเรียวงอนนั้นทั้งยาวและดำสนิท ดุจปีกผีเสื้อสีดำ ใต้แสงไฟสว่างไสว เกิดเงาดำด้านล่างดวงตาคู่นั้นของเธอ

อาจเพราะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมา สีหน้าของเล่อเหยาเหยาเวลานี้จึงดูดีขึ้นมาก ไม่ซีดขาวดุจกระดาษเหมือนเมื่อครู่ ยังเห็นเส้นเลือดฝาดปรากฎขึ้นมาจางๆ

ผมยาวที่เปียกชื้นนั้น เวลานี้ถูกคลายออกทั้งหมด สยายอยู่บนไหล่ของเธอ ทำให้ใบหน้าเล็กยิ่งดูงดงามประณีต

ร่างกายเธออ้อนแอ้นบอบบางอย่างยิ่ง เมื่อสวมเสื้อผ้าของเขา แขนเสื้อและชายเสื้อปิดบังแขนขาของเธอเอาไว้ทั้งหมด มองดูแล้วคล้ายเด็กน้อยที่แอบสวมเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ แฝงไปด้วยความน่าขัน

หลังจ้องคนบนเตียงแวบหนึ่งอย่างเงียบๆ ตงฟางไป๋จึงเริ่มทำการรักษา

ก่อนอื่นเขาจับชีพจรของเล่อเหยาเหยาอีกครั้ง จากนั้นก็เลิกชายเสื้อและแขนเสื้อของเล่อเหยาเหยาขึ้น เพื่อจะได้เช็ดทำความสะอาดบาดแผลบนร่างกาย

ทุกขั้นตอนภายในห้องเงียบสนิท

แต่ตงฟางไป๋เวลานี้ กลับดุจได้ยินเสียงเต้นของหัวใจอันรุนแรงของตน

ร่างกายของผู้หญิงเขามิใช่มิเคยสัมผัสมาก่อน

เพราะเขาเป็นหมอมาหลายปี คนป่วยที่เขาเคยรักษา มิใช่ไม่มีผู้หญิง

แต่กลับไม่มีผู้ป่วยหญิงคนใด ทำให้เขากังวลและหวั่นไหวเช่นนี้

รู้สึกถึงผิวด้านล่างปลายนิ้วเนียนนุ่ม ดุจผ้าไหมชั้นดี ทำให้คนใจสั่นไม่หยุด

และดุจแฝงด้วยกระแสไฟฟ้า เพราะทุกครั้งที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับผิวของคนใต้ล่าง กระแสไฟฟ้าที่ชาหนึบจะแล่นจากปลายนิ้วสู่ทั่วร่างกายเขา กระทั่งหัวใจต่างปวดหนึบ

หลังช่วยทายาอย่างไม่ง่ายเลยให้เล่อเหยาเหยาเสร็จ ใบหน้าตงฟางไป๋ก็แดงดุจเมฆสี

บนหน้าผากอิ่มนั้นก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

กระทั่งลมหายใจนั้นก็ยังติดขัดยุ่งเหยิงขึ้นมา

แต่ตงฟางไป๋ยังอดทนอดกลั้นตลอดเวลา หลังรู้ว่าทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ในที่สุดก็ลุกขึ้นจากเตียง

ยื่นมือใหญ่ออกไป ใช้ชายเสื้อเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากครู่หนึ่ง อีกทั้งสูดหายใจลึกๆ เพื่อทำให้หัวใจที่เต้นระรัวเวลานี้สงบลง

ทว่าสายตาของตงฟางไป๋ กลับไม่ขยับไปจากคนบนเตียงเลยตลอดเวลา

ภายในสายตาแฝงด้วยความอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด

เมื่อเล่อเหยาเหยาฟื้นขึ้นมา รู้สึกเพียงร่างกายไร้เรี่ยวแรง อ่อนปวกเปียก

หลังปรับตัวอย่างช้าๆ ความเจ็บปวดพลันดุจสายลมอันบ้าคลั่งพัดผ่านเข้ามา ทำให้เธอเจ็บปวดจนใบหน้าเล็กขมวดมุ่น สูดหายใจออกมา

ทว่าเพราะการสูดหายใจนี้ของเธอ ทำให้ชายหนุ่มที่เดิมทีหลับอยู่ด้านข้างตกใจได้สติขึ้นมา

เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาฟื้นขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางไป๋ตะลึงงัน พลันโล่งอก ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนเอ่ยขึ้น

“น้องเหยา เจ้าฟื้นแล้วหรือ!”

“เอ๊ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาจึงหันมามองอย่างช้าๆ เมื่อเห็นสีหน้าดีใจของตงฟางไป๋ และสถานที่ที่ตนอยู่เวลานี้ จึงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องใดขึ้น

ดังนั้น สองมือจึงลูบคลำไปที่หน้าอกของตนอย่างรวดเร็ว หลังพบว่าหน้าอกว่างเปล่า ใบหน้าเล็กของเล่อเหยาเหยาซีดขาวชั่วขณะ