ตอนที่ 139.2 ตั้งครรภ์ (2) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

สวรรค์!

เงินของเธอล่ะ!

เงินของเธอเก็บไว้ในอกเสื้อชัดๆ เหตุใดตอนนี้จึงหายไป!

ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่จิตใจยุ่งเหยิง ตงฟางไป๋ที่นั่งอยู่ข้างเตียง กลับเข้าใจผิดว่าเล่อเหยาเหยากังวลเรื่องมีคนเปลี่ยนเสื้อผ้าบนตัวเธอ และอาจคิดว่าเขาเป็นคนเปลี่ยน ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากอธิบายทันทีว่า

“น้องเหยาเจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด เสื้อผ้าบนตัวของเจ้าข้ามิใช่คนเปลี่ยน ข้าเรียกให้น้าเหลียนมาช่วยเปลี่ยนให้เจ้า อ่อ น้าเหลียนเธอเป็นคนใบ้หูหนวก ดังนั้นไม่เอ่ยเรื่องของเจ้าออกไปแน่นอน”

ตงฟางไป๋อธิบายอย่างรวบรัด ทว่าหลังได้ยินคำพูดของเขา เล่อเหยาเหยาจึงพบว่าเสื้อผ้าบนร่างกายตนถูกเปลี่ยนออกทั้งหมด ที่สวมอยู่ไม่รู้เป็นเสื้อผ้าของผู้ใด เพราะมีขนาดที่ใหญ่อย่างยิ่ง

ทว่าเมื่อดมกลิ่นของเสื้อผ้าบนร่างกาย กลิ่นนั่นแฝงด้วยกลิ่นหอมของยาจางๆ

เล่อเหยาเหยาจึงรู้ว่านี่คือเสื้อผ้าของผู้ใด

เมื่อเห็นเวลานี้ท้องฟ้ามืดมิด แสงเทียนไหววูบ ภายในห้อง ชายหญิงอยู่ตามลำพัง ภาพนี้เหตุใดจึงคล้ายละครรักโรแมนติกที่ฉายทางทีวีก่อนหน้านี้ พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาจึงแดงก่ำ

ทันใดนั้นก็ตำหนิตนเองที่คิดฟุ้งซ่านมากเกินไป พลันส่ายหน้าไปมา ดุจต้องการสลัดความคิดที่ไม่ควรคิดให้หลุดออกไป

จากนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงพลันเงยหน้าเอ่ยถามตงฟางไป๋

“จริงสิ ก่อนหน้านี้ผู้ใดพาข้ามาส่งที่นี่หรือ!”

เมื่อคืนก่อนหมดสติ เธอคล้ายเห็นพญายมปรากฏตัวขึ้นมา แต่ตอนนี้ภายในห้อง มีเพียงเธอและตงฟางไป๋ กลับไม่เห็นพญายมอยู่ที่นี่ หรือเมื่อคืนเธอตาฝาดไป!

ขณะเล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ ตงฟางไป๋เอ่ยอธิบายแก่เธอขึ้น

“อวี๋พาเจ้ามาที่นี่ ตอนนั้นเกิดเรื่องใดขึ้นกันหรือ”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋รู้สึกแปลกใจ

เพราะเมื่อนึกถึงเหลิ่งจวิ้นอวี๋อุ้มเล่อเหยาเหยาที่หายใจรวยรินปรากฏตัวขึ้น จนเขาตกใจอย่างหนักไปหนึ่งรอบ ตอนนี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่อยู่ เล่อเหยาเหยาฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาย่อมต้องซักถามให้กระจ่างว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

เล่อเหยาเหยาได้ยิน ก็ไม่คิดปิดบัง เอ่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนเธอหมดสติออกมา

หลังเอ่ยจบ คล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ พลันจับที่ชายเสื้อของตงฟางไป๋ ก่อนซักถามขึ้น

“จริงสิ พี่ไป๋ ท่านเห็นถุงเงินของข้าหรือไม่ ตอนนั้นข้ากำลังจะไปฝากเงิน คิดไม่ถึงจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น เงินของข้าตอนนี้ไม่อยู่บนตัว ก่อนหน้านี้ท่านเห็นหรือไม่”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนใจ

เพราะเงินพวกนั้น คือสิ่งที่เธอต้องพึ่งพิงอีกครึ่งชีวิตที่เหลือ นั่นคือชีวิตของเธอ!

ครั้งที่แล้วถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะได้รับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้และไทเฮาเป็นเงินจำนวนมากขนาดนั้น แต่โอกาสเช่นนั้นปรากฏให้เห็นได้น้อย เธอคงไม่มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ต่อไปแล้ว

ดังนั้น เงินพวกนี้ของเธอ จึงจะสูญหายไม่ได้

เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาร้อนใจ ตงฟางไป๋แม้ไม่อยากทำให้เธอผิดหวัง แต่สุดท้ายยังส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า

“ขออภัย ข้าไม่เห็นมันเลย”

ตงฟางไป๋พูดตามความจริง

ขณะที่เขารักษาชีวิตของเล่อเหยาเหยา ไม่เห็นถุงเงินหรือสิ่งใดบนตัวเธอ

เล่อเหยาเหยาได้ยิน ใบหน้าที่ร้อนใจ พลันเปลี่ยนไปทันที แววตาก็ปกคลุมด้วยความเสียใจ

“สวรรค์ เงินข้า ฮือๆ”

เงินของเธอ สูญหายไปแล้วจริงๆ!

สวรรค์!

หรือชีวิตนี้เธอถูกกำหนดไม่ให้มีชีวิตที่สุขสบาย!

ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งเสียใจ ดวงตาก็แดงก่ำ

ท่าทางราวจะร้องไห้นั้น ทำให้เธอดูคล้ายกระต่ายน้อยน่าสงสารตัวหนึ่งที่หลงทาง ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกเป็นห่วง

ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้า ก็พลันเอ่ยปลอบใจว่า

“น้องเหยา สูญเงินถือเป็นเรื่องเล็ก เพียงร่างกายเจ้าไม่เป็นไรถือว่าดีแล้ว วันหน้าหากมีความจำเป็นเรื่องเงิน ให้รีบมาหาข้าก็พอแล้ว”

เมื่อทนเห็นท่าทางเสียใจผิดหวังของเล่อเหยาเหยาไม่ได้ ตงฟางไป๋พลันเอ่ยปลอบใจขึ้น

เล่อเหยาเหยาที่เดิมทีคล้ายจะร้องไห้เมื่อได้ยิน พลันเงยใบหน้าเล็กที่น่าสงสารขึ้น ดวงตาคู่งามที่มืดมนเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ภายใต้แสงเทียนที่มืดมิด ระลอกคลื่นซัดสาด ระยิบระยับ น่าประทับใจ

ใบหน้าโดดเด่นเช่นนี้ แม้นักบวชเห็น เกรงว่าต้องสงสารเห็นใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตรงฟางไป๋ที่มีอารมณ์ความรู้สึกดุจปุถุชนทั่วไป!

แม้เขาจะหมกมุ่นกับการเรียนแพทย์มาตั้งแต่เด็ก ไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักระหว่างชายหญิง แต่หัวใจที่เต้นโครมครามกับหญิงสาวตรงหน้านี้ ก็ทำให้เขาชัดเจนว่าตนชื่นชอบหญิงสาวตรงนี้

แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ อีกทั้งยังมีคนที่เธอชื่นชอบแล้ว

พอคิดถึงตรงนี้ แววตาของตงฟางไป๋ปรากฏความเสียใจวาบขึ้นมา

ทันใดนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ ตงฟางไป๋ลังเลอยู่ชั่วขณะ ทว่ายังเอ่ยปากขึ้นว่า

“น้องเหยา เจ้ารู้ไหมว่าร่างกายของเจ้า…”

น้ำเสียงของตงฟางไป๋แฝงไปด้วยความระมัดระวังและหยั่งเชิงหลายส่วน

เพราะคำพูดนี้เขายากที่จะเอ่ยปากออกไป อีกทั้งเมื่อเอ่ยออกไป ในใจเขารู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่ง

คิดไม่ถึง ครั้งแรกที่เกิดใจเต้นกับหญิงสาว ผู้หญิงคนนี้กลับเป็นผู้หญิงของคนอื่น ยังตั้งครรภ์บุตรของผู้อื่น เกรงว่าความรู้สึกที่เขามีให้เธอ ยังไม่ได้เริ่มต้น ก็ถูกกำหนดให้มีจุดจบเสียแล้ว

ขณะตงฟางไป๋เสียใจ และครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าจะใช้คำพูดเช่นไรเอ่ยสิ่งนี้ออกไป

เล่อเหยาเหยาที่นั่งอยู่บนเตียง เห็นสีหน้าเศร้าหมองของตงฟางไป๋ ลังเลจะเอ่ยถึงเรื่องร่างกายของเธอ ในใจอดเย็นเฉียบไม่ได้ ก่อนเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่

ดวงตาคู่นั้นพลันเบิกกว้าง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลขึ้นว่า

“เรื่องข้าคือผู้หญิง ท่านอ๋องทราบแล้วหรือ!”

ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่!

เขารู้ว่าเธอคือผู้หญิง ดังนั้นจึงโมโหใช่หรือไม่!

ถูกต้อง ต้องเป็นเช่นนี้แน่!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันวิตกกังวลขึ้นมา

สวรรค์! ตอนนี้เธอควรทำเช่นไรดี!

พญายมคงไม่โมโหจนสังหารเธอ!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาอกสั่นขวัญแขวน ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น พลันเอ่ยปลอบใจว่า

“เจ้าวางใจเถิด อวี๋ยังไม่รู้สถานะของเจ้า”

“เฮ้อ เช่นนั้นก็ดียิ่ง”

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาที่ใจอกสั่นขวัญแขวนไม่หยุด ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

แต่เธอไม่รู้ตัวว่าท่าทางตอนนี้ของตน ในใจของตงฟางไป๋ กลับมีความหมายอีกอย่าง

หรือเรื่องที่เธอตั้งครรภ์ อวี๋ไม่รู้!

หรือเธอชอบอวี๋ ดังนั้นจึงไม่อยากบอกเรื่องตนตั้งครรภ์ให้อวี๋รู้ แอบคลอดบุตรอย่างเงียบๆ !

พอคิดถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า

“แต่หากเจ้าปิดบังเช่นนี้ต่อไป มิใช่วิธีที่ดี เรื่องนี้ช้าเร็วต้องถูกคนรู้เข้า”

เพราะระยะเวลาตั้งครรภ์ตั้งสิบเดือน ตอนนี้เพิ่งเดือนกว่าไม่ถึงสองเดือน ดังนั้นหน้าท้องจึงยังไม่เห็น

รวมทั้งเธอรูปร่างเล็ก จึงมองไม่ออก

แต่หลังผ่านไปหลายเดือน หน้าท้องเธอจะนูนออกมา ต่อไปอยากปกปิดก็ทำไม่ได้ต่อไปแล้ว

พอคิดถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋กลัดกลุ้มใจแทนเล่อเหยาเหยา และหึงหวงที่เธอกลับชื่นชอบอวี๋ถึงระดับนี้

แต่เล่อเหยาเหยากลับคิดว่าตงฟางไป๋หมายความถึงเรื่องสถานะผู้หญิงของตน ใบหน้าเล็กพลันเผยความกลัดกลุ้มขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ รอบหนึ่ง จึงเอ่ยกับตงฟางไป๋ว่า

“เรื่องนี้เมื่อปกปิดแล้วต้องปกปิดต่อไป ยังมีพี่ไป๋ เมื่อท่านรู้ความลับนี้แล้ว ท่านต้องช่วยข้ารักษาความลับนี้ มิให้ผู้ใดล่วงรู้ ที่สำคัญคือไม่ให้ท่านอ๋องรู้เด็ดขาด มิฉะนั้น ขะ…ข้า…เฮ้อ…”

คงต้องเสียชีวิตจริงๆ…

ตงฟางไป๋หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา และเห็นใบหน้ากังวลไม่หยุดของเธอ เพียงพยักหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น

จริงอย่างที่คิด เขาเดาไม่มีผิด

เมื่อเธอไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ โดยเฉพาะอวี๋ เช่นนั้นเขาจะไม่เอ่ยถาม

เพราะทุกคนต่างมีเรื่องที่ลำบากใจของตน มิใช่หรือ!

พอคิดถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋อดพยักหน้ารับปากไม่ได้

“ตกลง ข้าจะช่วยปกปิดความลับนี้ให้เจ้า”

“ข้ารู้ว่าพี่ไป๋ดีที่สุด”

เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาก็วางใจลงในที่สุด

จากนั้น เธอจึงเหนื่อยล้า

ตงฟางไป๋เห็นเช่นนั้น ก็ป้อนยาให้เธอ แล้วให้เธอนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง

เห็นคนบนเตียงหลับสนิท ตงฟางไป๋กลับถอนหายใจออกมา ก่อนยืนอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา ไม่นอนทั้งคืน

ขณะเดียวกัน เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เพิ่งออกมาจากวังหลวง เวลานี้กำลังนั่งอยู่บนรถม้า รีบร้อนมุ่งหน้าไปที่โรงหมออันดับหนึ่งอีกครั้ง

เขาเวลานี้ ใจร้อนดุจลูกธนู อยากเห็นว่าคนผู้นั้นจะเป็นอันใดหรือไม่

แม้เขาจะเชื่อในฝีมือการรักษาของไป๋ แต่เพียงเกี่ยวข้องกับ ‘เขา’ เขายังต้องเห็นด้วยตารับรู้ว่า ‘เขา’  ไม่เป็นไร ถึงจะวางใจลงได้จริง

แต่เวลานี้ซิงที่นั่งอยู่ในรถม้าเช่นเดียวกัน คล้ายฉุกคิดขึ้นได้ ล้วงถุงเงินหนักอึ้งออกมาจากอก เอ่ยปากทำลายความเงียบกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างนอบน้อมว่า

“ท่านอ๋อง ถุงเงินนี้บ่าวเก็บได้ระหว่างเก็บกวาดเหล่าอันธพาลพวกนั้น ภายในมีเงินพันตำลึงและของมีค่าอีกไม่น้อย คาดว่าคือรางวัลที่ฮ่องเต้และไทเฮาพระราชทานให้เสี่ยวเหยาจื่อ ประเดี๋ยวบ่าวจะนำมันมอบคืนให้แก่เสี่ยวเหยาจื่อนะ!”

แม้ภายในจะมีของมีค่ามากมาย แต่ซิงกลับไม่คิดอยากได้มัน

เพราะทำงานรับใช้ท่านอ๋อง สิ่งที่ไม่ขาดก็คือเงิน

แม้จะเป็นหน่วยกล้าตาย แต่ปกติท่านอ๋องดีกับพวกเขาอย่างมาก หากพวกเขาขาดเหลือสิ่งใด ไปหยิบที่ห้องบัญชีด้วยตนเอง ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเลยแม้แต่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น เงินนี้ยังเป็นของเสี่ยวเหยาจื่อ!

แต่ซิงเพิ่งเอ่ยจบ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีมีสีหน้าจริงจังพลันตะลึงงัน ดวงตาเย็นชาเป็นประกายครู่หนึ่ง

ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นขณะมองถุงเงินที่หนักอึ้งในมือของซิง ภายในสมองอดนึกถึงบทสนทนาของเล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อในสวนดอกไม้ช่วงก่อนหน้านี้ไม่ได้

เมื่อรู้ว่าคนตัวเล็กนั้นเพียงมีเงิน คิดจะจากวังอ๋องไป เรื่องนี้ทำให้ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่พอใจอย่างยิ่ง

คิดไปแล้ววันนี้ที่ ‘เขา’ นำเงินจำนวนมากนี้ติดตัวออกไป ต้องคิดไปที่ร้านฝากเงินแน่นอน

เก็บไว้ในตำหนักหย่าเฟิง ไม่รู้สึกปลอดภัยขนาดนั้นเชียวหรือ!

หรือ ‘เขา’ เตรียมตัวว่าเมื่อครบกำหนดเวลาสามปี จะไถ่ถอนตัวจากวังอ๋องไปทันที!

แม้เรื่องเช่นนี้จะเป็นเรื่องปกติ แต่มักทำให้เขาไม่สบายใจอย่างยิ่ง

พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋เคร่งขรึมชั่วขณะ ก่อนพลันยื่นมือออกมา

ซิงเห็นเช่นนั้น นำเงินในมือส่งให้แก่เหลิ่งจวิ้นอวี๋โดยไม่ซักถาม

เดิมทีคิดว่า เหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดให้ตนคืนเงินให้แก่เล่อเหยาเหยาด้วยตนเอง ผู้ใดจะรู้ หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋เคร่งขรึมชั่วขณะ กลับเอ่ยกำชับด้วยสีหน้าจริงจังว่า

“เรื่องพบถุงเงินนี้ ห้ามเอ่ยให้ ‘เขา’ รู้เด็ดขาด”

“เอ่อ!”

สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหม่ยและซิงต่างมองหน้ากันหนึ่งรอบ แม้จะไม่เข้าใจ ทว่ากลับไม่คัดค้าน

เพราะเจ้านายสั่งให้พวกเขาทำสิ่งใด พวกเขาต้องทำสิ่งนั้น!