ตอนที่ 139.3 ตั้งครรภ์ (3) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เมื่อเล่อเหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกรอบ ท้องฟ้าก็สว่างเจิดจ้าแล้ว

หลังหลับไปอย่างยาวนาน เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกตนคล้ายแบตเตอรี่ที่เต็มไปด้วยพลัง กระทั่งบาดแผลบนร่างกาย ก็ยังรู้สึกปวดแสบเพียงเล็กน้อย ไม่ได้หนักหนาอันใด

หลังลืมตาคู่นั้นขึ้น เล่อเหยาเหยาต้องอ้ามือออกกว้าง ยืดบิดเอวอย่างเกียจคร้านจนเป็นนิสัย อยากเก็บความรู้สึกหลับสบายนี้ไว้

คิดไม่ถึง เพิ่งกางมือออกไป กลับเกิดเสียง ‘โป๊ก’ ดังขึ้น คล้ายกระแทกกับบางอย่างที่ดังกังวาน!

ยังตามมาด้วยเสียงรำคาญของบางคน

เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาตกใจจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เดิมทีคิดว่าคนที่เธอกระแทกเข้าคือตงฟางไป๋ เพราะเมื่อคืนก่อนเธอเข้านอน ตงฟางไป๋เฝ้าเธออยู่ข้างเตียงอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงไม่คิด รีบพลันเอ่ยขอโทษคนที่อยู่ด้านข้างอย่างร้อนรนขึ้น

“ขออภัยพี่ไป๋ ข้าโดนตัวท่านหรือไม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้า…เอ้อ เหตุใดจึงเป็นท่าน!”

เมื่อเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงชัดเจน เล่อเหยาเหยาตกใจดุจถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ จนแข็งทื่อทั่วร่างกาย

ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ปากเล็กก็อ้ากว้างจนนกตัวน้อยสามารถบินเข้าไปได้!

ส่วนคนที่เห็นเช่นนั้น อดเอ่ยอย่างเย็นชาขึ้นไม่ได้

“เป็นข้า เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใดหรือ!”

น้ำเสียงของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เย็นชาเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึม แก้มด้านซ้ายแดงก่ำ คล้ายกำลังไม่พอใจ

เพราะเมื่อคืนหลังเขาออกจากวัง ก็วิ่งรถม้ารีบมาที่โรงหมอโดยไม่หยุด เดิมทีคิดพา‘เขา’ กลับตำหนักหย่าเฟิง ทว่าเห็น ‘เขา’ หลับสนิทขนาดนั้น จึงกลัวจะรบกวนทำให้ ‘เขา’ ตื่น ดังนั้นจึงให้ ‘เขา’ พักอยู่ที่นี่ต่อไป กระทั่งตนยังเฝ้าไข้อยู่ที่นี่ ก่อนให้ไป๋กลับไปพักผ่อน

เดิมทีอยากขึ้นไปพักผ่อนร่วมเตียง ทว่าเตียงนี้เป็นเตียงเดี่ยว ปกติจัดเตรียมให้ผู้ป่วยพักผ่อน ดังนั้นเขาจึงลดตัวลงนั่งพักงีบหลับอยู่ข้างเตียง

แต่ลักษณะท่าทางเช่นนี้จะหลับสบายได้เช่นไร!

เขาเพิ่งหลับอย่างไม่ง่ายดายชั่วขณะ ก็รู้สึกเจ็บปวดที่แก้ม จึงมั่นใจว่าถูกคนตบตีแน่นอน

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาโมโห หลับอย่างไม่สบายตัวมาตลอดทั้งคืน อารมณ์ย่อมหงุดหงิด ไม่เพียงถูกคนตบเข้า คนตัวเล็กที่ตนกังวลมาทั้งคืน กลับเอ่ยชื่อของชายหนุ่มอื่นออกมา นี่จะไม่ใช่การเติมน้ำมันลงไปในกองไฟเช่นไร!

พอคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งเคร่งขรึม กระทั่งสายตาที่มองเล่อเหยาเหยา ก็ยังแดงก่ำ

นั่นคือร่องรอยของการนอนหลับไม่เพียงพอ เมื่อมองทำให้คนตกใจอย่างหนัก!

และเล่อเหยาเหยาที่เพิ่งตื่นขึ้นเมื่อครู่ ลืมตาเห็นสีหน้าไม่พอใจพญายม ก็ทำให้เธอตกใจอย่างหนัก กระทั่งความง่วงงุนก็พลันสลายไปจนหมดสิ้น

หลังได้สติกลับมา จึงเอ่ยอย่างตะกุกตะกักขึ้นว่า

“ทะ…ทะ…ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่!”

เธอจำได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อคืนตงฟางไป๋เฝ้าเธออยู่ข้างเตียง เหตุใดพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จึงเปลี่ยนเป็นอีกคนไปได้! ดังนั้นจึงมิอาจกล่าวโทษว่าเธอจำคนผิดได้!

ขณะเล่อเหยาเหยาบ่นในใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงส่งเสียงฮึอย่างเย็นชาออกมา เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาได้สติ และท่าทางไม่บาดเจ็บหนักอันใด พลันลุกยืนขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือปัดตบชุดหมางผาวที่ยับยู่เล็กน้อยของตน

ส่วนเวลานี้ เล่อเหยาเหยาเห็นการกระทำของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ มองเสื้อผ้าที่เขาสวมทั้งหมดยังคงเป็นชุดเดิมของเมื่อวาน จึงตกใจขึ้นในใจอีกครั้ง ดังนั้นจึงเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่ยั้งคิด

“เมื่อคืนท่านอ๋องเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดหรือ!”

“ฮึ เจ้าคิดว่าเช่นไร!”

แม้น้ำเสียงจะยังดูเย็นชา แต่บนใบหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เวลานี้ยังอ่อนโยนลงบางส่วน เลิกคิ้วปรายตามองเล่อเหยาเหยาแวบหนึ่ง ก่อนจัดระเบียบเสื้อผ้าบนร่างกายของตนอีก

เล่อเหยาเหยาหลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ต้องตกใจอีกครั้ง แต่ที่มากที่สุดคือซาบซึ้งใจ

เมื่อคืนหลังจากตนอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่อันตราย ชายหนุ่มตรงหน้านี้ปรากฏตัวขึ้น และช่วยเธอเอาไว้

ตอนนี้เขายังเฝ้าตนอยู่ข้างเตียงตลอดคืน นี่จะไม่ให้เธอซาบซึ้งได้อย่างไร!

อีกทั้งเธอจะทำเช่นไรได้!

เธอเวลานี้ เป็นเพียงบ่าวฐานะต่ำต้อยคนหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายกลับเป็นรุ่ยอ๋องที่สูงส่ง เปี่ยมด้วยอำนาจในมือ อยู่ใต้คนเพียงผู้เดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ตอนนี้กลับลดตัวเฝ้าไข้เธออยู่ข้างเตียง อีกทั้งนอนอย่างลำบากเช่นนี้ตลอดคืน สิ่งนี้…

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาใจอ่อนยวบ ความรู้สึกซาบซึ้งนั้น ดุจกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากไหลทะลักออกจากห้องหัวใจของเธอ

หลังจากผ่านไปนาน เล่อเหยาเหยาจึงได้สติ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำกับชายหนุ่มด้านข้างว่า

“ท่านอ๋อง ขอบพระทัย ”

น้ำเสียงเล่อเหยาเหยาแผ่วเบาอย่างยิ่ง แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋เป็นผู้ฝึกวรยุทธ พลังหูจึงยอดเยี่ยม ย่อมได้ยินคำพูดของเธอ

มือที่เดิมทีสะบัดชายเสื้ออยู่เบาๆ พลันหยุดชะงัก ก่อนหันมาเอ่ยว่า

“หากอยากขอบคุณเปิ่นหวาง ก็รักษาตัวเจ้าให้ดี จะได้กลับไปปรนนิบัติข้า”

“เอ่อ ท่านอ๋อง บาดแผลบ่าวไม่เป็นอันใดแล้ว ตอนนี้ปรนนิบัติท่านอ๋องได้แล้ว”

หลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยารีบเอ่ยขึ้น อีกทั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่เป็นสิ่งใด พลันรีบลุกจากเตียงไปที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋

คิดไม่ถึง เมื่อครู่ที่ตื่นขึ้นมา เธอรู้สึกร่างกายไม่เป็นสิ่งใด เพียงปวดร้าวเล็กน้อย คิดไม่ถึงเท้าเธอเพิ่งเหยียบพื้น เรี่ยวแรงบนร่างกาย กลับดุจพลันถูกสูบไปจนหมด ร่างกายสูญเสียการทรงตัว พุ่งกระโจนตรงไปด้านหน้าทันที

แน่นอนว่าเล่อเหยาเหยาไม่ได้ล้มลงบนพื้นเย็นเฉียบนั้น แต่กลับกระโจนเข้าสู่หน้าอกอบอุ่นหนากว้าง กระทั่งบริเวณเอวของเธอ ยังถูกมือใหญ่ทรงพลังรัดเอาไว้

“ระวังหน่อย”

เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าที่ดังขึ้นข้างหู ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาเก้อเขิน รู้สึกว่าตนทำเรื่องขายหน้าอีกแล้ว จึงรีบคิดออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม

คิดไม่ถึง บาดแผลบนตัวเธอที่ยังไม่หายดี เมื่อครู่ไม่รู้สึกเจ็บปวด ตอนนี้หลังลุกจากเตียง เธอรู้สึกเพียงกระดูกทั่วร่างกาย คล้ายถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่ชนเข้า จนเธออดสูดหายใจอย่างเจ็บปวดไม่ได้ สีหน้าก็พลันซีดขาวชั่วขณะ

“รีบนอนลง ดูเจ้าสิ โตขนาดนี้แล้วยังรีบร้อน เหมือนกับเด็กผู้หนึ่งเสียจริง!”

คำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ แฝงด้วยการตำหนิหลายส่วน ทว่ากลับกังวลมากที่สุด

กระทั่งคิ้วน่ามองนั้น ยังขมวดขึ้นเล็กน้อย

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาแม้จะรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจกลับพลันมีความหวานชื่นออกมา

“ท่านอ๋อง บ่าวไม่เป็นไร”

ทราบดีว่าพญายมห่วงใยตน เล่อเหยาเหยาจึงรีบเอ่ยปากขึ้น

ทว่าสิ่งที่ตอบเธอกลับมา มีเพียงสายตาไม่พอใจของพญายมที่ปรายตามองมาที่เธอ เห็นชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเธอ

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น เพียงยื่นริมฝีปากอย่างจนใจ

เป็นจังหวะเดียวกับซิงที่รับผิดชอบต้มยา เคาะประตูเข้ามาพอดี

เวลานี้เพราะเป็นช่วงเช้า โรงหมอจึงเปิดทำการแล้ว ตงฟางไป๋ย่อมไม่อาจอยู่เฝ้าเล่อเหยาเหยาได้ เพราะเขายังทำงานในโรงหมอ!

ดังนั้น เรื่องต้มยาจึงมอบให้ซิงไปจัดการ

สำหรับเรื่องต้มยานี้ แม้ซิงจะเป็นองครักษ์ลับ แต่เพราะปกติได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ก่อนหน้านี้หากไม่ได้รักษากับหมอ จะไปต้มยาให้กับตนที่ห้องครัวเล็ก ดังนั้นเรื่องประเภทนี้ จึงเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง

เวลานี้ เขานำยาแก้ปวดที่เพิ่งต้มเสร็จเข้ามา เห็นเล่อเหยาเหยาฟื้นแล้ว บนใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มสดใสขึ้นมา

“ฮิฮิ เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าฟื้นแล้วหรือ มา ดื่มยาก่อนเถิด”

เมื่อได้ยินคำพูดของซิง เล่อเหยาเหยาพลันยกยิ้มให้ซิง ก่อนเอ่ยว่า

“ขอบคุณซิง ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว”

เพราะปกติซิงมีนิสัยเปิดเผยเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย  อายุเพิ่งสิบเจ็ด แม้จะเป็นองครักษ์ลับ แต่นิสัยยังคงร่าเริง ปกติเมื่อมีเวลาว่าง ก็จะพูดคุยเรื่องข่าวลือ ทานของว่างกับเล่อเหยาเหยา ดังนั้นเล่อเหยาเหยากับเขา ถึงถือว่าเข้ากันได้ไม่เลว

เห็นซิงต้มยาให้กับตนด้วยตนเอง เล่อเหยาเหยาย่อมซาบซึ้งไม่หยุด จากนั้นจึงยิ้มให้เขาอย่างมีมารยาทกลับไป

ทว่าเธอกลับไม่รู้ตัวว่าท่าทางของตนเวลานี้ งดงามเพียงใด

แม้เมื่อคืนขณะตงฟางไป๋จากไป จะรวบผมที่ปล่อยสยายของเธอไว้อย่างเรียบร้อย เพราะกลัวเหลิ่งจวิ้นอวี๋ปรากฎตัวแล้ว จะพบบางสิ่งเข้า ดังนั้นจึงให้น้าเหลียนช่วยพันผ้ารัดหน้าอกให้แก่เล่อเหยาเหยา ทว่าที่เธอสวมอยู่บนร่างกายเวลานี้ ยังเป็นเสื้อคลุมสีขาวชุดนั้นของตงฟางไป๋

เพราะเล่อเหยาเหยาร่างกายเล็กบอบบาง แม้ตงฟางไป๋จะผอมบาง แต่กลับไม่ได้เตี้ย ดังนั้นเมื่อเสื้อผ้านี้อยู่บนร่างกายของเล่อเหยาเหยา จึงเหมือนเด็กน้อยที่แอบขโมยสวมเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ที่น่าขบขัน ทว่ากลับน่ารักอย่างยิ่ง

และทำให้ร่างกายเธอดูยิ่งดูเล็กกะทัดรัดยิ่งขึ้น

บนใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือนั้น กลับมาแดงฝาดเช่นเดิม

คิ้วเข้มดุจตะขอ ปีกจมูกสง่างาม ริมฝีปากเล็กแดงสด ดุจดอกเหมยฮัวที่เพิ่งเบ่งบานในฤดูหนาว อันหอมหวานน่าหลงใหล ที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือดวงตาคู่งามเป็นประกายสดใสนั้น

เพราะเพิ่งตื่นนอน จึงยังแฝงด้วยความงัวเงียเจ็ดส่วน คลุมเครือสามส่วน

ส่วนรอยยิ้มของเธอเวลานี้ ในความงดงามดูแฝงด้วยความยุ่งเหยิง ในความยุ่งเหยิงแฝงความเกียจคร้านหลายส่วน

แม้จะเพียงนั่งอยู่บนเตียง ทว่ากลับปิดบังความโดดเด่นงดงามล่มเมืองไว้ไม่ได้

นี้คือใบหน้าอันโดดเด่นที่ทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวทั่วใต้หล้าบ้าคลั่ง!

แม้ซิงจะเป็นองครักษ์ลับ ต้องทิ้งเรื่องพวกความรักนี้ไว้ด้านหลัง

เพราะพวกเขาที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ ชีวิตเป็นของเจ้านาย เจ้านายสั่งให้พวกเขามีชีวิตต้องมีชีวิต ตายต้องตาย จะมีสิทธิ์มีความรักเช่นคนธรรมดาเหล่านั้นได้เช่นไร

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ด รวมทั้งรอยยิ้มงดงามทว่าเกียจคร้านของเล่อเหยาเหยานั้น ต่างทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างหยุดไม่อยู่

ซิงมีแววตาตะลึงชั่วขณะ ในใจไม่ใส่ใจให้มากความ พลันได้สติกลับมา

เพราะเขาหนักแน่นมากพอ สายตาคมกริบเคร่งขรึมที่อยู่ด้านข้าง แฝงด้วยไอโหดเหี้ยมและสังหารคู่นั้น ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์เมื่อครู่ได้

เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ซิงรู้สึกเพียงหนังศีรษะชาวาบ สายตาพลันหลุบลง ไม่กล้ามองคนบนเตียงอีกแม้แต่แวบเดียว

เพียงส่งถ้วยยาในมือไปที่ด้านหน้าเล่อเหยาเหยาอย่างเชื่อฟัง

ทว่าเล่อเหยาเหยายังไม่ทันได้รับถ้วยยา ระหว่างนั้น ก็มีมือกว้างใหญ่รับไปแทน

“เปิ่นหวางจัดการเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยิน ซิงหลังจากส่งถ้วยยานั้นเสร็จ ก็พลันถอยกลับมายืนอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว

เล่อเหยาเหยาไม่รับรู้ถึงสีหน้าระหว่างเขาสองคน เพียงเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ถือยาถ้วยนั้นไว้ คล้ายคิดจะป้อนยาเธอด้วยตนเอง จึงตกใจอย่างหนัก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ทะ…ท่านอ๋อง บ่าวจัดการได้”

ขณะเล่อเหยาเหยาพูดคำนี้ สีหน้าดูวิตกกังวล ดังนั้นคำพูดที่เอ่ยออกไปจึงตะกุกตะกัก

เห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ้มมุมปาก ไม่บีบบังคับเล่อเหยาเหยา เพียงนำยาถ้วยนั้นวางลงบนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง

“ยายังร้อนอยู่ ประเดี๋ยวเย็นแล้วค่อยดื่ม”

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

เห็นพญายมยากที่จะอ่อนโยนใส่ใจเช่นนี้ เล่อเหยาเหยากลับรู้สึกว่าไม่คุ้นชินอยู่บ้าง

หลังเอ่ยขึ้น เล่อเหยาเหยาคล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง พลันร้องอย่างตกใจขึ้น

“จริงสิ ท่านอ๋อง ยังมีอีกเรื่อง ไม่รู้ว่าท่านอ๋องรู้หรือไม่!”

สำหรับเสียงตกใจที่พลันดังขึ้นของเล่อเหยาเหยา ทำให้สองคนภายในห้องต่างพลันเอียงหน้าหันกลับมามอง

เล่อเหยาเหยาเวลานี้ ไม่สนใจว่าตนจะมีท่าทางตกใจมากเพียงใด พลันเอ่ยถามเหลิ่งจวิ้นอวี๋ขึ้นว่า

“เมื่อวานบ่าวคิดจะนำรางวัลที่ฮ่องเต้และไทเฮาพระราชทานให้ ไปฝากที่ร้านฝากเงิน คิดเก็บไว้ใช้ยามออกจากวัง ทว่าระหว่างทางเคราะห์ร้ายพบเหล่าอันธพาลพวกนั้นเข้า โชคดีได้รับความช่วยเหลือจากท่านอ๋อง ช่วยชีวิตของบ่าวไว้ บ่าวซาบซึ้งอย่างที่สุด ทว่าท่านอ๋อง ถุงเงินของบ่าวสูญหายไปเมื่อคืน ไม่รู้ว่าท่านอ๋องเจอมันหรือไม่!”

พอพูดถึงประโยคสุดท้าย ดวงตาเล่อเหยาเหยาเต็มไปด้วยความคาดหวัง กระพริบไปมามองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋

ท่าทางน่าสงสาร ดวงตากลมโตระยิบระยับนั้น ดุจสุนัขตัวน้อยที่น่าสงสารตัวหนึ่ง น่าเห็นใจยิ่งนัก!

หากเป็นคนอื่น คงปฏิบัติกับเธออย่างดีจนหมดทั้งตัวทั้งใจ

เมื่อเห็นใบหน้าเล็กน่าสงสารนี้ ภายในสมองเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเล่อเหยาเหยา

‘เขา’ เอ่ยว่า ‘เขา’ คิดนำเงินพวกนั้นไปเก็บไว้ที่ร้านฝากเงิน เพื่อที่จะใช้ในวันที่ออกจากวัง!

จริงดังคาด ‘เขา’ มีความคิดจะจากวังอ๋องไป โดยที่ไม่มีลังเลเลยสักนิด

พอคิดถึงตรงนี้ สีหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ขรึมลงหนึ่งส่วน เม้มริมฝีปากรูปกระจับ พลันเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่คิดว่า

“ไม่เห็น”

“เฮ้อ”

เมื่อได้ยิน ใบหน้าเล็กของเล่อเหยาเหยาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังพลันสลดลงทันที ก้มศีรษะลงต่ำอย่างเศร้าสลดใจ ดังนั้นจึงย่อมไม่รับรู้ว่าซิงที่อยู่ด้านข้าง หลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ พลันยิ้มที่มุมปาก

……………………………….