ตอนที่ 140 ความปรารถนา (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ไม่มีเงินก้อนนั้น เล่อเหยาเหยาท้อแท้ใจ รู้สึกเพียงโลกทั้งใบของตนถล่มลงมาตรงหน้า

สวรรค์!ไม่มีเงินก้อนนั้น หรือต่อไปเธอต้องอยู่ในวังอ๋อง เป็นบ่าวของผู้อื่นไปตลอดชีวิต!

เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าตนน่าสงสารยิ่งนัก

หรืออาจพูดว่าตนไม่เหมาะกับยุคสมัยนี้ มิฉะนั้นเหตุใดเมื่อเธอมาถึงยุคสมัยนี้ จึงมักประสบเคราะห์ร้าย!

เล่อเหยาเหยาหดหู่เสียใจ ความคิดในใจเธอสุดที่จะบรรยายออกมาได้

เห็นสีหน้าท้อแท้ของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังเม้มริมฝีปากกระจับแน่น จึงเอ่ยปากว่า

“แม้เงินก้อนนั้นจะหายไป วันข้างหน้า หากเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการ ให้ไปที่ห้องการเงิน ของกินของใช้ก็สามารถไปรับได้ที่ห้องการเงิน”

“อา! จริงหรือ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นมา

เพราะตอนนี้เธอจึงพบว่า เดิมทีชายหนุ่มตรงหน้าปากแข็งใจอ่อน ปกติเขาดูเย็นชายากที่จะเข้าใกล้ทำความรู้จัก ตอนนี้เขากลับเอ่ยคำพูดที่ซาบซึ้งเช่นนี้ออกมา จะไม่ทำให้เธอซาบซึ้งได้เช่นไร!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างซาบซึ้งที่สุด

“ท่านอ๋อง บ่าวเคยบอกท่านหรือไม่ ท่านช่างเป็นคนดี คนที่ดีมากๆ เลย!”

เพียงเล่อเหยาเหยาเอ่ยขึ้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็ยิ้มออกมา

ซิงกลับยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง

คนดี! ท่านอ๋อง!

เอ่อ…

แม้จะสูญเสียเงินก้อนใหญ่ ทำให้เล่อเหยาเหยาหมดสภาพชั่วขณะ แต่เพราะคำพูดของตงฟางไป๋และเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาคิดว่าความจริง แม้เธอจะเสียบางสิ่งไป แต่กลับได้รับกลับมา

เรียกว่ามีได้ย่อมมีเสีย หลังคิดถึงตรงนี้ เธอค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น

เพราะเล่อเหยาเหยาแต่ไหนแต่ไรคือ คนที่มีความสามารถในการจัดการตนเองที่แข็งแกร่ง

เกรงว่าฟ้าถล่มลงมา เธอหลังจากเสียใจ ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างมีชีวิตชีวาเช่นเดิม ไม่ให้ความยุ่งยากพัวพันกับตนทั้งวันเด็ดขาด

เพราะหลายวันนี้ร่างกายยังมีบาดแผล พญายมจึงให้เธออยู่พักรักษาตัวอยู่ที่ห้องตนโดยเฉพาะ

เล่อเหยาเหยาจึงไม่ปฏิเสธความหวังดีของเขา เพราะเมื่อเห็นรอยเขียวฟกช้ำบนร่างกายนั้น ก็ตกใจอย่างหนัก

เธอเพิ่งพบว่าตนบาดเจ็บค่อนข้างหนัก ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนรังแกเช่นนี้ ยิ่งคิดเล่อเหยาเหยาจึงโมโหไม่หยุด

ต่อมาซิงเอ่ยกับเธอว่าเหล่าอันธพาลนั้นได้ถูกท่านอ๋องลงมือสั่งสอนด้วยตนเองแล้ว

เดิมทีคิดว่าพญายมอาจจะสังหารพวกเขา เล่อเหยาเหยาจึงตกใจ

เพราะการสังหารคนราวผักปลา มีเพียงพญายมคนเดียวเท่านั้น

ต่อมาซิงกลับยิ้มเย็น ก่อนเอ่ยว่า

“ตายหรือ ปราณีพวกเขาเกินไปแล้ว ตอนนี้พวกเขานอนคว่ำราวขอทานอยู่กลางถนนในเมือง ท่านอ๋องตัดเอ็นข้อมือข้อเท้าพวกเขา ให้พวกเขาทุกวันขอทานอยู่บนถนน แต่ละวันหากไม่มีคนมอบอาหารให้พวกเขา ก็จะมอบเศษอาหารให้พวกเขา หากเจ็บป่วยก็พาพวกเขาไปรักษา ท่านอ๋องจะให้พวกเขามีอายุยืนยาว”

เมื่อได้ยินซิงเอ่ยเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาอดหนาวสั่นไม่ได้ ฝีมือของพญายม ล้ำเลิศเสียจริง!

ดังนั้น วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปสามวันแล้ว

เพราะฝีมือแพทย์อันยอดเยี่ยมของตงฟางไป๋ บาดแผลบนตัวเล่อเหยาเหยา ภายในสามวันก็ดีขึ้นกว่าเจ็ดแปดส่วน

ร่างกายดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น ประจวบเหมาะที่วันนี้คือเทศกาลดอกบัวที่หนึ่งปีมีหนึ่งครั้งของแคว้นเทียนหยาน

เมื่อเอ่ยถึงเทศกาลดอกบัวนี้ ดูคึกคักอย่างยิ่ง

เพราะช่วงเวลานี้ของทุกปี ดอกบัวในทะเลสาบจะเบ่งบานอวดโฉม ยึดครองพื้นที่ทะเลสาบกว่าครึ่งหนึ่ง

สายน้ำแวววาว ดอกบัวชูช่อ หอมไกลพันลี้

ทิวทัศน์ดุจภาพวาดในบทกวีนั้น ในแต่ละปีต่างดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาเกี้ยวพาราสี หรือจิบชาสนทนากันอย่างเบิกบานใจ

นอกจากนี้ ช่วงเทศกาลดอกบัวของทุกปี ตอนเย็นทุกคนต่างปล่อยกระทงในทะเลสาบ

เพียงเขียนความปรารถนาของตนลงใส่กระดาษวางบนกระทง จากนั้นก็จุดเทียนไขบนกระทง ก่อนจะปล่อยให้กระทงลอยไปตามกระแสน้ำ

ว่ากันว่ายิ่งลอยออกไปไกล หมายความว่าความปรารถนาในใจจะยิ่งเกิดขึ้นจริง

แม้จะเป็นเพียงตำนานเรื่องหนึ่ง แต่ยังดึงดูดทุกคนไปเดินชมหรือปล่อยกระทง การทำสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องดีงามอย่างหนึ่ง

หลังรู้เรื่องเทศกาลดอกบัว เล่อเหยาเหยาเห็นว่าร่างกายของตนไม่ได้เป็นสิ่งใดแล้ว ก็คิดว่าตอนเย็นจะไปปล่อยกระทงที่ทะเลสาบ

ทว่าเธอยังไม่ได้นัดแนะกับเสี่ยวมู่จื่อ ก็เจอกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวงเข้าพอดี

“ร่างกายเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”

เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยามีสีหน้าดีขึ้นมาก เหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันหยุดฝีเท้า เอ่ยปากถามขึ้น

เล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยิน พลันตอบว่า

“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เป็นห่วง ร่างกายบ่าวดีขึ้นมากแล้ว”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยปากขึ้น โดยไม่รู้เป็นเพราะว่าหลายวันก่อนถูกพญายมช่วยชีวิตไว้หรือไม่ หลังจากฟื้นขึ้นมาเขาเอ่ยเช่นนั้น ในใจเธอที่คิดว่าพญายมที่เดิมทีเย็นชาไร้ความรู้สึก ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับพญายม ในใจเล่อเหยาเหยาจึงไม่หวาดกลัว สามารถพูดคุยกับเขาได้อย่างปกติ

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ย่อมรู้สึกถึงได้

มุมปากจึงยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า

“เมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ก็ไปปล่อยกระทงกับข้าที่ทะเลสาบเถิด”

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยจบ ก็ก้าวเดินเข้าห้องหนังสือไป เหลือเพียงเล่อเหยาเหยาที่อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก

“เอ่อ ปล่อยกระทงหรือ”

ที่แท้พญายมก็มีท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้

เมื่อถึงตอนเย็น เล่อเหยาเหยาเพราะคำพูดตอนบ่ายของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงเปลี่ยนเป็นชุดผู้ชายธรรมดาโดยเฉพาะ เพราะวันนี้เดิมทีไม่เพียงเธอและพญายมที่จะไปปล่อยกระทงที่ทะเลสาบ ปีนี้ฮ่องเต้และไทเฮาพลันให้ความสนใจ วางแผนปลอมตัวเป็นสามัญชน ไปเดินเล่นที่ทะเลสาบ ร่วมสนุกกับเทศกาลดอกบัวของเหล่าราษฎร

เอ่ยกันว่าฮ่องเต้พระองค์นี้มีกิจธุระการบ้านงานเมืองมากมาย ทุกปีไทเฮากินเจสวดมนต์อยู่ในวัง และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาเดินปะปนกับราษฎร

ว่ากันว่า ความคิดนี้เป็นเหนียนซูหลานที่เสนอออกมา สุดท้ายฮ่องเต้และไทเฮาจึงเห็นด้วย

ดังนั้น จึงมีเรื่องที่ฮ่องเต้ปลอมตัวเป็นสามัญชนนี้ขึ้น

ทว่าเพราะปลอมตัวเป็นสามัญชน ดังนั้นจึงนำคนติดตามมาจำนวนมากไม่ได้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้คนเกิดความสงสัย

ดังนั้น ครั้งนี้ฮ่องเต้จึงนำองค์รักษ์ที่วรยุทธสูงส่งติดตามมาเพียงไม่กี่คน กระทั่งมีพญายมอยู่ข้างกายเขา ก็หวังว่าจะปลอดภัยอย่างยิ่ง

หนานกงจวิ้นซีที่ใดมีความคึกครื้นต้องอยู่ที่นั่น ครั้งนี้ย่อมขาดเขาไปไม่ได้ ส่วนตงฟางไป๋ก็ถูกหนานกงจวิ้นซีเชื้อเชิญมา รวมเข้าอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

ดังนั้น เมื่อโคมไฟถูกแขวนขึ้น ก็มีกลุ่มคนและม้าออกเดินทางไปยังทะเลสาบอันกว้างใหญ่

เห็นเพียงครั้งนี้ ฮ่องเต้และไทเฮาแต่งกายเรียบง่ายอย่างยิ่ง แต่กลิ่นอายสูงส่งบนกาย ย่อมปรากฏออกมา เพียงมองก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา

ไทเฮาแม้จะอายุมาก แต่ใจกลับไม่แก่

เห็นเพียงวันนี้ไทเฮาสวมเสื้อกั๊กผ้าไหมทอดิ้นลายหงส์สีแดงเข้ม ด้านล่างก็เป็นกระโปรงทับทิมปักลายหงส์เช่นกัน บนศีรษะหวีจนเรียบแบน ประดับด้วยปิ่นหยกหินโมรา แต่งกายคล้ายแม่หม้ายทรงเครื่องอย่างไม่ตั้งใจ

เหนียนซูหลานย่อมคอยประคองอยู่ข้างกายไทเฮา

ระหว่างการเดินทาง ไม่รู้เหนียนซูหลานเล่าเรื่องน่าสนใจสิ่งใด จึงทำให้ไทเฮาเบิกบานใจอย่างหนัก

ด้านหลังกลุ่มฮ่องเต้มีชายสี่คนเหน็บกระบี่ที่เอว เพียงมองก็รู้ว่าแอบซ่อนวรยุทธที่สูงส่งเอาไว้

เล่อเหยาเหยากลับเดินตามหลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เธอสวมเสื้อผ้าธรรมดา แม้จะสวมแบบธรรมดา แต่ใบหน้าที่ไม่ธรรมดานั้น กลับทำให้ตัวเธอดูจิ้มลิ้มน่ารักอย่างยิ่ง

ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดินอยู่หน้าเธอ วันนี้กลับแต่งกายค่อนข้างเรียบง่าย

สวมเพียงเสื้อคลุมยาวสีดำ คาดสายรัดเอวสีเงิน บนศีรษะที่มีผมดำสลวย ก็เพียงใช้ผ้าฝ้ายสีดำมัดเป็นช่อเล็กไว้ ส่วนที่เหลือปล่อยสยายลงด้านหลัง

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่บางคนบุคลิกงดงามมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าสวมสิ่งใด ต่างน่ามองและโดดเด่นเช่นนี้

ดังนั้นระหว่างทาง หญิงสาวบนถนนจำนวนไม่น้อย ต่างเมียงมองมาที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ บางทีส่งสายตายั่วยวน

น่าเสียดาย แม้พวกเธอจะส่งสายตายั่วยวนจนเมื่อยตา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม ใบหน้าเย็นชาเป็นปกติ

ส่วนหนานกงจวิ้นซีและตงฟางไป๋เดินอย่างสบายใจอยู่ด้านข้างเธอ กลุ่มคนเดิมตามทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ มุ่งหน้าไปสู่ทะเลสาบ

เพราะวันนี้คือเทศกาลดอกบัว คนที่ไปทะเลสาบจึงย่อมมากมายนับไม่ถ้วน

ดังนั้น ผู้คนบนถนน ย่อมมีจำนวนมากกว่าปกติ

นอกจากนี้ในมือของทุกคน ต่างถือกระทงไว้คนละอัน

ยังมีบนสองฝากฝั่งถนน ก็มีแผงขายกระทงมากมาย

เห็นเพียงกระทงเหล่านี้ มีรูปร่างหลากหลายจนนับไม่ถ้วน ทำให้คนมองอย่างละลานตา

แม้เหล่าฮ่องเต้จะปลอมตัวเป็นสามัญชนมาร่วมประเพณีของชาวบ้าน ทว่ากลับทำตามประเพณี ทุกคนต่างซื้อกระทงคนละหนึ่งอัน

ส่วนเล่อเหยาเหยาเลือกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเลือกกระทงที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตอันหนึ่ง ด้านบนมีกระดาษแผ่นหนึ่งด้วย

บนแผงลอยมีพวกหมึกอำนวยความสะดวกให้กับเหล่าคนที่มาซื้อกระทงนั้น ใช้เขียนความปรารถนาของตนลงบนกระดาษแผ่นนั้น

ฮ่องเต้ยืนอยู่ด้านหน้า หลังฟังคำแนะนำของเถ้าแก่แผงเสร็จ ก็สะบัดชายเสื้อ หยิบพู่กันเขียนอักษรลงบนกระดาษแผ่นนั้น

เล่อเหยาเหยาอยู่ห่างจากฮ่องเต้ จึงมองไม่เห็นว่าฮ่องเต้ทรงเขียนความปรารถนาสิ่งใด

ทว่าจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ หากมิใช่ให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ก็ต้องเป็นฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล

ขณะคิดในใจ เล่อเหยาเหยาก็หยิบพู่กันเช่นคนอื่น ก่อนเขียนบางอย่างลงไปบนกระดาษสีขาวในกระทงตน

สิ่งที่เธอปรารถนาที่สุดเวลานี้จะเป็นสิ่งใดได้อีก!

ก่อนหน้านี้ ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องใช้ ตอนนี้หลังมาถึงที่นี่ อยากย้อนกลับไปปัจจุบัน นั่นเดิมทีคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

นอกจากนี้ ยุคนี้เธอทำงานหนัก เงินที่หามาได้อย่างลำบากสองครั้ง ต่างมลายหายไป ดังนั้น หากเอ่ยถึงความปรารถนา เธอหวังให้สามารถหาเงินที่สูญหายไปก่อนหน้านี้พบ

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันหยิบพู่กัน เขียนสิ่งที่ตนปรารถนาลงบนกระดาษสีขาวนั้น

ที่เล่อเหยาเหยายังไม่รู้ก็คือ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดินอยู่ข้างเธอตลอดเวลา หลังเห็นเธอก้มหน้าลงเขียนบางสิ่ง ดวงตาเย็นชาอดกวาดมองไม่ได้ เมื่อเห็นความปรารถนาของเธอบนกระดาษ ดวงตาเย็นชาอดเป็นประกายไม่ได้

ขณะที่เล่อเหยาเหยาเขียนความปรารถนาของตนเสร็จ พลันรู้สึกว่าข้างกายมืดมิด และมีเงาร่างหนึ่งเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าเขียนความปรารถนาสิ่งใด!”

………………………………….