“ท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านอาจารย์ซั่งกวนกำลังสอนอยู่เลย” กู้ชูหน่วนกล่าวเตือน

เป็นแค่อาจารย์ที่นั่งฟัง แต่กลับควบคุมสนใจไปทั่ว

ไม่คาดคิดเลยว่า อาจารย์ซั่งกวนจะค่อยๆ จัดการจัดระเบียบเสื้อคลุมสีขาวช้าๆ และยิ้มก่อนจะพูดขึ้นมา “เข้าเรียนแต่กลับไม่ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน แถมยังแกล้งเพื่อร่วมชั้นเรียน พฤติกรรมนี้ขัดต่อคุณธรรม เช่นนั้นข้าลงโทษโดยการวิ่งสี่สิบรอบก็แล้วกัน”

สี่……สี่สิบรอบ?

เพิ่มขึ้นมาเท่าหนึ่งเลยหรือ?

เขาลืมไปแล้วว่าใบหน้าที่ดูเหมือนน่าสงสารของซั่งกวนฉู่นี้ แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นคนใจดำอำมหิต

“ท่านอาจารย์ ได้โปรดอนุญาตให้ข้าไปเปลี่ยนชุดด้วยเถอะขอรับ” เยี่ยเฟิงสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย

“ไปสิ”

จากนั้นกู้ชูหน่วนก็ยกมือขึ้น “ท่านอาจารย์ เสื้อผ้าของข้าก็ถูกดึงจนขาด ข้าก็ต้องการไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกันเจ้าค่ะ”

“ไม่ได้”

ปัดโธ่

ซั่งกวนฉู่คนนี้ช่างลำเอียงเหลือเกิน

ทุกคนในสำนักศึกษาต่างพากันหัวเราะ

“ดูสิคุณหนูสามร้อนรนเป็นกังวลราวกับลิงโดนน้ำร้อนลวก กลับต้องการแอบดูเยี่ยเฟิงเปลี่ยนเสื้อผ้า เฮ้อ เสียดายที่ข้าอุตส่าห์ยกย่องเทิดทูนเมื่อหลายวันก่อน”

“ใช่ไหมล่ะ ถึงแม้ว่าความรู้ความสามารถของนางจะเป็นเลิศ แต่นางกลับเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย”

“ข้ารู้สึกว่าข้าถูกหักหลัง ข้าสงสัยเหลือเกินว่าบทกวีเหล่านั้นนางเป็นคนแต่งขึ้นมาจริงหรือ?”

“ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่แต่งงาน ไม่เพียงแค่ดึงเสื้อผ้าของผู้ชายออก แถมยังต้องการไปดูผู้ชายเปลี่ยนผ้า นี่มัน……นี่ช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกิน”

เซี่ยวอวี่เซวียนตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “พูดอะไรกันน่ะ กล้าจริงละก็พูดให้ข้าฟังอีกครั้งหนึ่งสิ”

มีฝูงนกกาบินมาตรงหน้าของกู้ชูหน่วนฝูงหนึ่ง

นางต้องการแอบดูเยี่ยเฟิงเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไร

นางเพียงแค่ต้องการพิสูจน์ว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มคนนั้นหรือไม่ก็เท่านั้นเอง

“พระพันปีเสด็จ”

ทุกคนต่างตกตะลึง

ทำไมพระพันปีถึงเสด็จมาที่นี่อีก?

ทุกคนต่างพากันก้มตัวโค้งคำนับโดยมีซั่งกวนฉู่เป็นผู้นำอยู่ข้างหน้า “คารวะพระพันปี ขอพระพันปีอายุยืนนานพันปี พันๆปีพ่ะย่ะค่ะ”

“เงยหน้าขึ้นเถอะ”

พระพันปีแต่งองค์ด้วยผ้าทอลวดลายหงส์ระยิบระยับราวกับย้ายดวงดาวและดวงจันทร์มาไว้ตรงหน้า องค์หญิงตังตังวิ่งเข้ามาและคว้าแขนของพระนางเอาไว้ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข “เสด็จแม่ ท่านมาได้อย่างไรเพคะ? มาหาหม่อมฉันหรือเพคะ?”

พระพันปีพยักหน้าเล็กน้อยและลูบศีรษะของนาง

ซั่งกวนฉู่กล่าวว่า “พระพันปีเสด็จมาที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

พระพันปีหันไปมองกู้ชูหน่วนและสีหน้าก็แสดงรอยยิ้มออกมา “ข้ามาพบคุณหนูสามน่ะ”

“คุณหนูสาม หยกจันทร์เสี้ยวชิ้นนั้นเป็นสมบัติที่จักรพรรดิองค์ก่อนหลงเหลือไว้ให้กับองค์หญิงตังตังและมีความหมายอย่างมากกับเราสองคนแม่ลูก ฉะนั้น……คุณหนูสาม ไม่เช่นนั้นเจ้าเสนอเงื่อนไขของเจ้ามา ขอเพียงแค่ข้าสามารถทำได้ ข้าก็จะตอบตกลง”

“พระพันปีต้องการแลกหยกจันทร์เสี้ยวกับหม่อมฉันหรือเพคะ?”

กู้ชูหน่วนยิ้ม

นางสามารถยืนยันได้ว่าผู้มาลอบสังหารนางเมื่อคืนนั้น อย่างน้อยๆ หนึ่งในนั้นก็เป็นคนของพระพันปี

เพราะว่าแย่งชิงหยกจันทร์เสี้ยวไปไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงมาเสนอตัวเลือกที่ดีเพื่อแลกกับนาง

พระพันปียิ้มอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน “ใช่แล้ว”

ทุกคนในสำนักศึกษาต่างพากันอิจฉากู้ชูหน่วน

พระพันปีเสด็จมาถึงสองครั้งเพื่อใช้เงินจำนวนมหาศาลแลกกับหยกจันทร์เสี้ยวของนาง แต่กู้ชูหน่วนกลับไม่ให้พระนาง?

นั่นถือเป็นโอกาสการสานสัมพันธ์ที่ดีกับพระพันปีเลยเชียวนะ

อีกอย่าง ครั้งที่ผ่านมา พระพันปีก็ได้เสนอเงินจำนวนถึงห้าสิบล้านตำลึง

กู้ชูหน่วนรู้สึกลำบากใจ “พระพันปีเสด็จมาเองถึงสองครั้งเพื่อจะแลกกับหม่อมฉัน หากหม่อมฉันไม่ให้ เช่นนั้นแล้วก็เกรงว่าจะดูไม่สมควร”

พระพันปีดีใจขึ้นมาเล็กน้อยและหายใจแรงด้วยความตื่นเต้น “พูดเช่นนี้ เจ้ายอมที่จะแลกกับข้าแล้วใช่หรือไม่?”

“แน่นอนเพคะพระพันปี ก่อนหน้าที่พระนางบอกเองไม่ใช่หรือเพคะว่าจะแลกหยกจันทร์เสี้ยวด้วยเงินห้าสิบล้านตำลึง? หม่อมฉันจะไม่ขอเพิ่มไปจากนี้ ยังคงเป็นเงินจำนวนห้าสิบล้านตำลึงเพคะ”

องค์หญิงตังตังตัวสั่นด้วยความโกรธ “เสด็จแม่ เงินห้าสิบล้านตำลึงแลกกับหยกชิ้นเดียวหรือเพคะ นางกำลังเล่นเหลี่ยม”

นางไม่กล้าที่จะบอกว่าไม่แลกกับนาง เพราะก่อนหน้านี้เสด็จแม่ทรงกริ้วหนักมาก

ต่อให้นางโง่เขลา นางก็รู้ว่าหยกจันทร์เสี้ยวนี้ไม่ธรรมดา เพียงแค่นางไม่เข้าใจเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าขนาดไหนก็คงไม่มีค่าเท่ากับเงินห้าสิบล้านตำลึงได้หรอก