“เทียส่งมาให้อย่างนั้นเหรอ”
กล่องใหญ่ใส่ของหวานนานาชนิดเอาไว้เต็มกล่องถูกส่งมาที่วังโฟอิรัค
“…ทั้งหมดนี่?”
เฟเรสเปิดฝากล่องออก เอ่ยถามด้วยความงุนงง
ขนมที่ถูกส่งมาให้เขานี่ มันเป็นเค้กและขนมหวานมากถึงสามสิบกว่าชนิด
“เค้กของร้าน ‘คาราเมล อเวนิว’ ! นี่เป็นร้านขนมหวานที่ช่วงนี้เป็นที่นิยมสุดๆ ไปเลยเพคะ”
คำอธิบายของแคทเธอรีนทำให้ใบหูของเฟเรสถูกย้อมเป็นสีแดงระเรื่อ
ถึงสีหน้าที่แสดงออกมาภายนอกอาจจะมีเพียงเท่านั้น แต่ภายในเฟเรสกำลังดีใจเป็นอย่างมาก
เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยแวะมาหาเขาที่พระราชวังเท่าไหร่ เขาถึงได้รู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง แต่ที่จริงแล้วเทียเองก็คิดถึงเขาเหมือนกันสินะ
“จะเริ่มที่ชิ้นไหนดีเพคะเจ้าชาย”
แคทเธอรีนเองก็พานมีความสุขไปด้วย นางเตรียมพร้อมที่จะตักขนมหวานพวกนั้นแบ่งเตรียมใส่จานเอาไว้
เฟเรสเหม่อมองขนมข้างในกล่องนั่น
ในหลายชิ้นนี่เทียจะเลือกกินชิ้นไหนกันนะ
ชอบเค้กแบบไหนมากที่สุดกัน…
นัยน์ตาสีแดงกวาดมองไปยังเค้กทุกชิ้นอย่างเชื่องช้า ในที่สุดเขาก็เห็นเค้กช็อกโกแลตที่ถูกปาดหน้าด้วยครีมสดสีขาว
“บางทีคงจะเป็นชิ้นนั้น”
ครีมหนาปาดหน้าลงบนช็อกโกแลต
รวมของที่เทียชอบทั้งหมดเอาไว้ในชิ้นเดียว
พอนึกถึงเทียที่คงจะมีความสุขมากยามตักเค้กเข้าปาก ใบหน้าของเฟเรสเองก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็น
“เอาชิ้นนี้”
แต่แล้วในตอนที่แคทเธอรีนกำลังตักเค้กชิ้นที่เฟเรสชี้ด้วยปลายนิ้ว เพื่อย้ายมันใส่จานใบเล็ก ผู้ดูแลประจำองค์จักรพรรดิก็มาถึงวังโฟอิรัค
“มีรับสั่งให้เชิญไปที่สวนพ่ะย่ะค่ะเจ้าชายลำดับที่สอง”
“…ตอนนี้?”
“พ่ะย่ะค่ะ เป็นเช่นนั้น”
เฟเรสมองกล่อง หางตาตกลู่ด้วยความเสียดาย
ผู้ดูแลมองภาพนั้น ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“ทางเราได้เตรียมของหวานเอาไว้ให้ที่วังส่วนกลางแล้ว แต่จะนำขนมนั่นไปด้วยก็…”
“ไม่”
เฟเรสเอ่ยปฏิเสธตัดคำพูดอีกฝ่าย
“ไปเถอะ”
ของขวัญที่เทียอุตส่าห์ส่งมาให้ เขาไม่คิดที่จะแบ่งคนอื่น ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นองค์จักรพรรดิก็ตาม
“คาอิลรัส”
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย กระหม่อมจะดูแลอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”
คาอิลรัสตอบรับหนักแน่น ในขณะที่ยิ้มน้อยๆ ด้วยเข้าใจความรู้สึกของเฟเรสเป็นอย่างดี
เฟเรสพยักหน้าให้คาอิลรัสหนึ่งครั้ง แล้วจึงค่อยเดินตามหลังผู้ดูแลคนนั้นไป
ในสวนประจำวังส่วนกลางมีเรือนกระจกขนาดใหญ่เรือนหนึ่งตั้งอยู่
ประโยชน์ของเรือนกระจกแห่งนี้มีไว้เพื่อรักษาพืชล้ำค่ามากมายที่ไม่อาจเติบโตได้ในสภาพภูมิอากาศของเมืองหลวงและเพราะมีจุดพิเศษด้านควบคุมอุณหภูมิเอาไว้อย่างเหมาะสมอยู่เสมอ มันจึงถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับเวลาน้ำชาอยู่บ่อยครั้ง
เฟเรสมาถึงสวนแห่งนี้ เขามองไปรอบๆ เรือนกระจก ก่อนจะหยุดชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง
คนที่นั่งดื่มชาพลางชมดอกไม้อย่างเรื่อยเปื่อยข้างในนั้นไม่ใช่องค์จักรพรรดิ
แต่เป็นจักรพรรดินีราวีนี่
เขาเหลือบมองผู้ดูแลคนนั้น แต่เจ้านั่นก็เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ราวกับจะบอกว่าที่นี่คือที่ที่ได้รับคำสั่งมาถูกต้องแล้ว ก่อนจะเปิดประตูเรือนกระจกออกให้เขา
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของเฟเรสที่เดินเข้าไปข้างในเรือนกระจกนั้นดังก้องไปทั่ว
“อืม มาแล้วสินะ”
จักรพรรดินีราวีนี่ที่กำลังมองดอกไม้ที่เติบโตอยู่ในบริเวณใกล้ๆ เงยหน้าขึ้นมองเฟเรส ในขณะที่เอ่ยต้อนรับเขา
“มานั่งทางด้านนี้สิ”
ใบหน้ายิ้มกว้างนั่นดูจริงใจไม่น้อย
แต่เฟเรสเพียงแค่มองจักรพรรดินีด้วยนัยน์ตามืดครึ้ม ยืนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับตัวเท่านั้น
“ข้าสั่งให้นั่งลงไม่ใช่หรือ”
จักรพรรดินียิ้มสดใสยิ่งกว่าเดิม นางพูดด้วยน้ำเสียงหวาน
เฟเรสดึงเก้าอี้ตัวที่จักรพรรดินีชี้ออกมานั่งแทนคำตอบ
ราวีนี่ยิ้มด้วยความพอใจ นางเลื่อนถ้วยชาวางลงตรงหน้าเฟเรสให้ด้วยตัวเอง
ในขณะเดียวกันเฟเรสก็มองไปยังดอกไม้ดอกที่ราวีนี่สัมผัสอยู่จนถึงเมื่อครู่
มาเลฟิเชียน…
มันเป็นสมุนไพรพิษ ยิ่งดอกของมันมีสีเหลืองเข้มมากเท่าไหร่ พิษร้ายที่แฝงไว้ก็ยิ่งร้ายกาจมากขึ้นเท่านั้น
ผิดกับรูปร่างของดอกกลับงดงามเสียจนไม่ว่าใครต่างก็อยากจับต้องกันทั้งสิ้น
กลีบดอกอ่อนนุ่มที่พลิ้วไหวตามจังหวะสายลม ช่างเหมือนกับผมสีบลอนด์สว่างจนทำให้ตาพร่าของจักรพรรดินีมากเหลือเกิน
เสียงราบเรียบดังขึ้นพร้อมกับถ้วยชาของเฟเรสที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำชา
น้ำชาสีเหลืองใส
“คงจะอยากทราบเหตุผลที่ข้าเรียกเจ้าชายมาที่นี่ ใช่มั้ยคะ”
เฟเรสเอนกายนั่งพิงพนักเก้าอี้แทนคำตอบ
ท่าทางผ่อนคลายเกินควรนั่น ทำให้ขนตายาวเป็นแพของราวีนี่สั่นระริกอยู่ครู่หนึ่ง
แต่รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของนางยังคงหวานดั่งกลิ่นหอมของดอกไม้เหมือนเคย
“ที่ผ่านมาข้าเมินเฉยเจ้าชายมากเกินไป รู้สึกผิดมากจริงๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นเหตุผลที่เรียกเจ้าชายมาที่นี่ในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด…”
จักรพรรดินีหยุดชะงักคำพูด
สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าเฟเรส
“ทำไมไม่ดื่มล่ะคะ เจ้าชาย”
อาจจะฟังดูสุภาพอ่อนหวาน แต่มันคือการกดดันอย่างชัดเจน
รีบๆ ดื่มชาตรงหน้าเจ้านั่นเสีย
รอยยิ้มของจักรพรรดินีกำลังออกคำสั่งเช่นนั้น
ทว่าเฟเรสไม่หลงกล
เขาไม่แตะถ้วยชานั่นแม้แต่ปลายนิ้วด้วยซ้ำ ทั้งยังมองจักรพรรดินีด้วยใบหน้าเฉยชา
“มันไม่ใช่ชาทั่วไปหรอกนะคะ เป็นชาสมุนไพรที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าชายเป็นพิเศษ…ไม่ถูกใจหรือคะ”
หากฟังแค่จากน้ำเสียงของราวีนี่ คงจะเข้าใจผิดไปได้ว่า เฟเรสเป็นคนอกตัญญูที่กล้าปฏิเสธชาที่จักรพรรดินีใส่ใจเป็นพิเศษถ้วยนี้
แต่เฟเรสไม่ใช่คนที่จะใส่ใจเรื่องพวกนั้น
นัยน์ตาสีแดงของเขาหลุบมองน้ำชาสีเหลืองใส ก่อนที่เขาจะเปิดปากขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ไม่เป็นไร ข้าเบื่อพวกใบหญ้าเต็มทนแล้วน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสเลื่อนจานรองที่มีถ้วยชาวางอยู่บนนั้นกลับไปตรงหน้าจักรพรรดินี
“ดื่มส่วนของข้าด้วยเลยสิพะย่ะค่ะ”
“…น่าเสียดายจังเลยนะคะ”
เรื่องอะไรล่ะ
เฟเรสรู้สึกได้ว่าโทสะที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาเสียนานกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างไม่มีเสียง
มีดขึ้นสนิม ต่อให้เล็งไปยังเป้าหมาย อย่างไรก็ไม่มีวันเป็นอันตรายได้
เขายังต้องเก็บมันไว้ในอ้อมกอด ลับมันให้คมมากกว่านี้เสียก่อน
ทว่าความอดทนนั่นกลับสั่นคลอนในทันทีที่ได้ยินประโยคถัดไปหลุดออกจากปากของจักรพรรดินี
“เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้าชายมาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อจะบอกว่าต่อไปข้าจะเป็นมารดาของเจ้าชายค่ะ”
มารดา…
ในวินาทีที่คำคำนั้นหลุดออกมาจากปากของจักรพรรดินี เฟเรสก็มองเห็นภาพตัวเองยกมีดขึ้นฟันคอของจักรพรรดินี
ภาพยามที่เขาแทงอาสทาน่าจนทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บาดแผล ทำให้มันต้องลงไปเกลือกกลิ้งอยู่แทบเท้าของเขา และฆ่าราวีนี่ต่อหน้ามัน
ตรงหน้าเขาในตอนนี้มีแต่ภาพของมารดาที่สูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชีวิต ในขณะที่สาปแช่งจักรพรรดิอยู่ในวังเล็กที่รกร้างจนแทบพัง
รู้สึกราวกับหยาดน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสายด้วยความเป็นห่วงเขาที่ยังเล็กและต้องถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว มันยังคงเปรอะเปื้อนจนชื้นไปทั่วมือของเขาอยู่เลย
เฟเรสจ้องจักรพรรดินีราวีนี่เขม็ง
มีเพียงแค่เลือดของสองแม่ลูกนี่เท่านั้น ที่จะชำระล้างโทสะความโกรธแค้นของเขาให้เบาบางลงได้