ตอนที่ 111 กลับขาวเป็นดำ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 111 กลับขาวเป็นดำ

เดิมทีฉวีซิ่นแค่อิจฉาในรูปโฉมอันงดงามของอันหลิงเกอเท่านั้น อีกทั้งอันหลิงเฉว่เล่าเรื่องที่โดนอันหลิงเกอรังแกยามอยู่ในจวนให้ฟัง นางจึงกล่าวประชดประชันอันหลิงเกอเพื่อทำลายชื่อเสียงของอีกฝ่ายในสำนักศึกษาจิงตู

ตอนนี้ถูกอันหลิงเกอถามกลับ นางคิดมิออกว่าจักตอบเยี่ยงไรดีจึงได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอันหลิงเฉว่

เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น อันหลิงเฉว่ก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนแรง แสร้งก้มหน้าหลบสายตาอันหลิงเกอคล้ายกำลังหวาดกลัวบุคคลตรงหน้า จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่หญิงใหญ่เจ้าคะ ซิ่นซิ่นเป็นคนตรงไปตรงมา หากนางกล่าวอันใดที่ทำให้พี่หญิงมิพอใจก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าที่ซิ่นซิ่นกล่าวย่อมมิได้ตั้งใจเจ้าค่ะ”

ฉวีซิ่นเห็นอันหลิงเฉว่พูดเพื่อตนจึงมีความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง “อันหลิงเกอ เจ้ายั่วยวนมู่ซื่อจื่อและริษยารูปโฉมของเฉว่เอ๋อ จงใจทำให้ใบหน้าของเฉว่เอ๋อเกิดบาดแผล เจ้าลืมเรื่องพวกนี้แล้วหรือ ? ”

เมื่ออันหลิงเกอได้ฟังฉวีซิ่นกล่าวเยี่ยงนี้ออกมาก็เข้าใจทันทีว่าต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้เกิดจากอันหลิงเฉว่

ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็เผยแววตาเข้าใจเรื่องราวออกมาเล็กน้อย มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน

น่าเสียดาย ‘เรื่องจริง’ ที่ฉวีซิ่นได้ฟังกลับเป็นเรื่องที่อันหลิงเฉว่ใส่สีตีไข่ลงไปแล้ว

อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปากแต่ใบหน้าอันงดงามยังเรียบนิ่งดังเดิม “ที่แท้คุณหนูฉวีได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานจึงมาตั้งคำถามกับข้าในวันนี้ ท่านเองก็เป็นบุตรสาวขุนนาง ควรรู้ว่าฟังความทั้งสองข้างตาจักสว่าง แต่หากฟังความข้างเดียวตาจักมืดบอด การที่ท่านมากล่าวหาข้าในวันนี้ก็เพราะคำกล่าวของน้องหญิงรองผู้เดียวมิใช่หรือ ? ”

เมื่ออันหลิงเกอกล่าวจบก็กวาดสายตามองผู้คนโดยรอบ ทันใดนั้นสายตาของอันหลิงเกอก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของเจียงหนิงแล้วกล่าวออกไปว่า “เมื่อวานคุณหนูเจียงก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มิสู้ให้คุณหนูเจียงเล่าเรื่องราวที่แท้จริงจักดีกว่า เล่าว่าน้องรองลื่นล้มเยี่ยงไรถึงเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของมู่ซื่อจื่อ และนางทำเยี่ยงไรจึงทำให้ข้าล้มลงไปที่พุ่มหนามพร้อมนาง แต่นางโดนหนามตำเข้าที่ใบหน้าเสียเอง”

เจียงหนิงรู้สึกอึดอัดใจ นางเกิดความรู้สึกนี้ตั้งแต่เห็นอันหลิงเกอและฉวีซิ่นทะเลาะกันและเมื่อนึกย้อนไปเมื่อวานนางคิดว่าอันหลิงเฉว่ดูเรียบง่าย มีจิตใจดีและคู่ควรแก่การคบหา เมื่อวานนางจึงเอ่ยเข้าข้างอันหลิงเฉว่

ทว่าพอกลับถึงจวน นางได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้มารดาฟัง ท่านกลับด่านางเสียยกใหญ่ บอกว่าอันหลิงเฉว่ใช้นางเป็นเครื่องมือเพื่อรับมือกับอันหลิงอีและอันหลิงเกอ

ในเช้าวันนี้นางจึงเลี่ยงจากบรรดาคุณหนูจวนโหว แต่คาดมิถึงว่าอันหลิงเฉว่จักลากฉวีซิ่นมาเป็นเครื่องมือจัดการอันหลิงเกอแทน

เจียงหนิงนิ่งคิดสักพัก เมื่อได้สติก็เห็นสายตาผู้คนจ้องมองมาที่ตน จึงได้แต่หันมองซ้ายขวาด้วยความลำบากใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยอมเล่าความจริงออกมา “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเยี่ยงที่คุณหนูใหญ่อันกล่าวมา คนที่ยั่วยวนมู่ซื่อจื่อคือคุณหนูรองมิใช่คุณหนูใหญ่”

“คุณหนูเจียง เหตุใดเจ้าให้ร้ายข้าเยี่ยงนี้ ? ” อันหลิงเฉว่กล่าวออกมาพร้อมดวงตามีน้ำใสคลออยู่ ทำราวกับเจ็บปวดที่โดนทรยศ “หรือเจ้ามิเห็นว่าเมื่อวานพี่หญิงรังแกข้า เหตุใดเจ้าถึง…”

อันหลิงเฉว่กล่าวยังมิทันจบ น้ำตาก็ไหลรินอาบแก้ม สภาพราวกับโดนรังแกมิผิดทำให้เจียงหนิงรู้สึกอึดอัดกว่าเดิมทั้งที่กล่าวความจริงออกไปแท้ ๆ แต่คำพูดและท่าทางของอันหลิงเฉว่ทำราวกับนางโกหกเสียเยี่ยงนั้น

ลูกไม้แสร้งร้องไห้เรียกคะแนนน่าสงสารของอันหลิงเฉว่มิเคยเปลี่ยนเลยจริง ๆ

อันหลิงเกอเห็นท่าทีของอันหลิงเฉว่ที่แสร้งร้องไห้ทำให้ผู้คนสงสารก็ได้แต่หัวเราะเยาะอยู่ภายในใจ นางมองไปที่อันหลิงเฉว่แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “น้องหญิงรอง การที่เจ้ารู้สึกอิจฉาก็เป็นเรื่องปกติ หากเจ้าทำเรื่องไร้มารยาทและทำให้จวนโหวของเราเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าต้องห้ามปรามเจ้าอยู่แล้ว ตอนนี้เราอยู่ที่สำนักศึกษาจิงตู เจ้าก่อเรื่องนี้ขึ้นและข้าก็คิดว่าเจ้าอายุยังน้อยจึงมิรู้ความ ท่านย่าก็เตือนเจ้าแล้วว่ามิอนุญาตให้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก หากเจ้ามิฟังแล้วท้ายที่สุดตัวเจ้าเองที่จักเจ็บปวด”

อันหลิงเฉว่ได้ยินอันหลิงเกอข่มขู่ก็น้ำตาซึมออกมา ในขณะที่นางกำลังจักตอบโต้กลับไป นางก็เห็นชายผู้หนึ่งสวมชุดสีเขียวเข้มเดินเข้ามา

บุรุษผู้นั้นรูปร่างผอมเพรียว คิ้วเหยียดตรง ท่าทีบ่งบอกว่าเป็นผู้มากความรู้ ตอนที่ชายผู้นั้นใช้สายตาเย็นชากวาดมองรอบห้องก็เป็นเหตุให้อันหลิงเฉว่ตกตะลึงจนลืมไปว่าจักกล่าวอันใดออกมา

“ที่นี่คือสำนักศึกษาจิงตูอันเคร่งครัด พวกเจ้าเอะอะโวยวายไร้มารยาทสิ้นดี”

กู่หยวนที่ดูสุภาพอ่อนโยนได้กล่าวคำเรียบง่ายมิซับซ้อน ทว่าเป็นเหตุให้ทุกคนในที่นี้เงียบกริบราวกับมิกล้ารบกวนชายหนุ่มผู้นี้

อันหลิงเกอนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน นางลอบสังเกตกู่หยวนด้วยความรู้สึกที่อธิบายมิถูก

เป็นเหตุให้อันหลิงเกอหวนนึกถึงชาติก่อน เดิมทีกู่หยวนหากมองเพียงภายนอกก็เป็นแค่*จิ้นซื่อผู้หนึ่ง ผู้ใดจักคาดคิดว่าอีกมิกี่ปีวรรณกรรมบทหนึ่งของเขาที่ชี้ให้เห็นการทุจริตในราชสำนักจักเป็นเหตุให้เขากลายเป็นนักปราชญ์ผู้โด่งดังในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเจ็ดจ้าวหลานหยู่ยังดึงตัวเขาไว้เป็นกุนซือและเขายังสามารถชักชวนผู้มีความรู้ในด้านต่าง ๆ เข้าพวกกับจ้าวหลานหยู่ได้มิน้อย

อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า อีกมิกี่ปีต่อจากนี้กู่หยวนจักกลายเป็นมือเท้าของจ้าวหลานหยู่ หากมิมีกู่หยวนผู้นี้คอยวางกลยุทธ์ให้องค์ชายเจ็ดจนสามารถสร้างชื่อเสียงในราชสำนักและในหมู่ราษฎร การคิดโค่นล้มองค์รัชทายาทและขึ้นครองราชย์ของจ้าวหลานหยู่ก็คงมิต่างอันใดจากความเพ้อฝัน

ในชาติที่แล้ว ยามที่จ้าวหลานหยู่มีอำนาจ เขาก็ทำให้หลี่ซื่อสองแม่ลูกได้ดีไปด้วย พวกนางทำตัววางอำนาจในจวนโหวยิ่งกว่าอันใดและยังวางแผนสังหารนางให้ตายในวันสมรสเพื่อให้อันหลิงอีแต่งเข้าจวนอ๋องมู่แทน

หากคราวนี้มิมีกู่หยวนคอยชี้แนะจ้าวหลานหยู่ แล้วจ้าวหลานหยู่จักยังมีความสามารถในการช่วงชิงราชบัลลังก์หรือไม่?

เมื่อนึกถึงตรงนี้อันหลิงเกอก็คิดว่าควรหาวิธีดึงกู่หยวนมาเป็นพวก หรือไม่ก็สังหารเขาทิ้งเพื่อตัดปัญหา

เป็นเหตุให้แววตาของอันหลิงเกอฉายประกายชั่วร้ายออกมา ตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดใหม่นี่เป็นครั้งแรกที่นางคิดสังหารใครสักคน

ดูเหมือนว่ากู่หยวนสังเกตเห็นอันใดบางอย่าง ดวงตาคู่งามของเขาจึงมาหยุดอยู่ที่อันหลิงเกอ นางจึงเก็บสายตาแล้วก้มหน้า พยายามทำให้เขามิเห็นว่าตนกำลังคิดอันใดอยู่

เมื่อครู่กู่หยวนเพียงสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกประหลาดจ้องมองมา แต่เขามิได้เก็บมาใส่ใจ ยังคงสอนบทเรียนที่เหลือของตนต่อไป

สิ่งที่กู่หยวนสอนในวันนี้คือสี่หนังสือห้าคัมภีร์ซึ่งมิใช่เรื่องที่ใช้เตือนหรือคุณธรรมของสตรีและยิ่งมิใช่ศาสตร์ทั้งหกของบุรุษ ตรงกันข้ามคือเรื่องที่เขาสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการปกครอง

“แม่ทัพถังเจียวมึนเมาแล้วล่วงเกินพระสนม ทว่าฮ่องเต้ฉู่จวงมีพระเมตตาปล่อยแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นไป ต่อมาฮ่องเต้โดนกบฏล้อมก็เป็นแม่ทัพถังเจียวเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยพระองค์ไว้…”

นี่คือประวัติศาสตร์น่าเบื่อที่สุดจึงมิมีคุณหนูผู้ใดอยากฟัง แม้พวกนางมิกล้าแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็มีคุณหนูมิน้อยที่เริ่มอ้าปากหาวออกมา

ทว่าอันหลิงเกอฟังเรื่องราวพวกนี้อย่างออกรส เคยมีนักปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวว่าประวัติศาสตร์คือกระจกเงาที่สามารถทำให้รู้ผลได้ผลเสีย แม้สิ่งที่กู่หยวนสอนจักเป็นประวัติศาสตร์แต่เรื่องราวพวกนี้ยังมีความจริงซ่อนอยู่ในนั้น บางอย่างก็ปรากฏให้เห็นมาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่พวกอ๋องเรืองอำนาจ ฮ่องเต้ต้องการกำจัดอำนาจเหล่านั้น ถ้ามิเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักเอาไว้บ้าง ต่อไปจักยืนหยัดอยู่ในวงเวียนแห่งการแย่งชิงอำนาจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ได้เยี่ยงไร?

จางหว่านหยีคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีเห็นอันหลิงเกอตั้งใจฟังก็อดหันไปมองด้วยความแปลกใจมิได้

จางหว่านหยีผู้นี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิด้วยการเขียนตัวอักษรและฮ่องเต้ตรัสชมมิขาดปาก

แม้แต่จางหว่านหยีที่คิดว่าตนเป็นคนใจเย็นแล้ว ทว่าพอได้เรียนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันน่าเบื่อ นางก็รู้สึกง่วงเช่นกัน แต่คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวกลับมีท่าทางเหมือนเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอน

เนื่องจากสายตาที่จางหว่านหยีจ้องมองมาทางอันหลิงเกอโจ่งแจ้งเกินไปจึงเป็นเหตุให้อันหลิงเกอรู้สึกตัวแล้วหันใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดพร้อมสายตาเปี่ยมคำถามให้อีกฝ่าย

โชคดีที่กู่หยวนสอนเสร็จพอดี หลังจากเขาเก็บข้าวของแล้วก็เดินออกไปจากห้อง จางหว่านหยีจึงเข้ามานั่งด้านข้างอันหลิงเกอทันที

“คาบเรียนบ้าบออันใดกัน เหตุใดเจ้าตั้งใจฟังอาจารย์ถึงเพียงนี้ ? ” จางหว่านหยีได้รับการศึกษามาอย่างดีตั้งแต่เด็กจึงคุ้นเคยกับสี่หนังสือห้าคัมภีร์เป็นอย่างดี ศาสตร์ทั้งหกของบุรุษก็เรียนมาเล็กน้อย แต่มิเคยคิดมาก่อนว่าฮ่องเต้จักมีราชโองการให้นางมาเรียนที่สำนักศึกษาจิงตูเยี่ยงนี้

*จิ้นซื่อ คือ บัณฑิตชั้นสูงจะได้รับการประเมินเพื่อบรรจุเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ โดยทั่วไปผู้ที่ได้รับวุฒิจิ้นซื่อในการสอบขุนนางจะได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการระดับสูงแห่งราชสำนัก